จากวันแรก จนถึงวันสุดท้ายที่ตัดสินใจลาออก จากบริษัทแรก


.
.
.     บทความนี้ขอแชร์เรื่องราวการทำงานที่แรกหลังเรียนจบ โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆจบใหม่ทุกคน และสำหรับคนที่ไม่จบใหม่ก็คงเป็นเรื่องราวที่อาจทำให้ได้คิดถึง Frist Job อีกครั้งหนึ่ง
.
.      เช้าวันจันทร์ของเดือนมีนาคม ที่อากาศควรสดใส แต่โชคร้ายที่วันนี้ฟ้าดันตก ผมได้รับโทรศัพท์เชิญเข้าสัมภาษณ์งานบริษัทมหาชน แห่งหนึ่ง ในตำแหน่ง HRD  ที่ตอนสมัครงานเขาต้องการคนมีประการณ์ แต่เราก็ไม่ได้หวังอะไรมาก กับการสัมภาษณ์ที่แรกระหว่างใกล้จบ
.
.     1 ในเหตุผลที่บริษัทเรียกสัมภาษณ์ คงเป็นส่วนหนึ่งมาจากการทำงาน part time ตั้งแต่อายุ 15 ผมไม่ได้จบมหาลัยชื่อดัง ไม่ได้จบสาขายอดนิยม จะมีใบเบิกทางก็แค่ประสบการณ์ทำงาน กับเกรดเฉลี่ยที่สวยงาม
.
.      ฝนตกเทลงมาในขณะที่ผมยังคงหาบริษัทไม่เจอ บทเรียนที่ได้จากวันนี้คือ ก่อนการสมัครงานควรตรวจสอบการเดินทางให้ดี การโทรไปสอบถามบริษัทบ่อยๆเกี่ยวกับเส้นทาง กำลังหมายถึงการขาดการเตรียมตัวที่ดี
รถมอเตอร์ไซต์คันเก่าๆของผม มาจอดหลบฝนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พลางเดินไปถามพี่ รปภ. ตรงนั้นว่ารู้จักบริษัท….ไหม  โชคดีที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น นำทางผมมาจนมาถึงบริษัท
.
.     ผมจอดรถ และเดินเข้าไปรอสัมภาษณ์ บรรยากาศดูหรูดีสมกับความเป็นมหาชน ผมเริ่มหวั่นใจแล้วว่า เราจะทำงานที่นี่ได้จริงหรอ ทั้งที่จริงแล้วพบว่า คนเรามักชอบประเมินตนเองต่ำกว่าความเป็นจริงเสมอ 
.
.      รอสักพัก ที่ รปภ คนเดิม ยื่นใบสมัครมาให้ พร้อมข้อสอบ 2 ชุด โอ้วววว นี่มันข้อสอบเลข  ผมไม่ใช่คนรังเกียจตัวเลขเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่ได้แก้โจทย์ ผมมักจะเอาจริงเอาจังกับมันเสมอ ผมคงจริงจังกับการทำข้อสอบนั้นเกินไป จนมีพี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาถามผมว่า  มาสมัครตำแหน่งอะไร  และใครจะรู้กันผู้ชายคนนั้นต่อมาจะกลายเป็น หัวหน้าคนแรก ในชีวิตการทำงานของผม
.
.      ผมใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะทำเสร็จ  และระหว่างรอก็สอดส่ายสายตาไปรอบๆ ดูทุกคนจริงจังกับการทำงาน ผมคงเหมือนกวางตัวน้อยที่พลัดหลง มาอยู่ในฝูงของเสือ ไม่รู้ว่านี่คือข้อดี หรือข้อเสีย แต่ผมมักจะอ่อนน้อม  เมื่อครั้งที่เราไปยังสถานที่ใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคยเสมอ
.
.     ไม่นานนัก พี่ผู้ชายคนเดิมก็เดินมาสัมภาษณ์ผม ผมไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับตำแหน่งงานนี้ ใจจริงผมอยากไปทำงานสายวิจัยตลาด หรือสายโครงการมากกว่า เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ถนัดและชอบมากตอนเรียน
.
.     การทำงาน HR เป็นตัวเลือกเกือบจะท้ายสุดที่ผมวางแผนไว้ ผมรู้สึกโชคดีนะที่ได้เลือกสายนี้ มันอาจจะไม่ใช่สายงานที่ทำเงินได้สูงที่สุด แต่ผมว่าการทำงานเกี่ยวกับคนก็มีอะไรให้เราได้เรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน
.
.    ผมตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้ในตำแหน่งได้ไม่ดีนัก แต่ก็โชคดีที่เขาให้โอกาสผมมาสัมภาษณ์รอบสอง ผมได้รับการบ้านมาไม่น้อย จนทำให้รู้สึกว่าตำแหน่งงานนี้ มันคงไม่ใช่ง่ายๆแล้วละ แต่มันจะดีแค่ไหน ถ้าเราได้เริ่มต้นในตำแหน่งที่ยากเช่นนี้ เพราะถ้าเราทำได้ ก็ถือเป็นการพิสูจน์ความสามารถของเราทางหนึ่ง
.
.      ผมมาสัมภาษณ์รอบ 2 กับทาง GM แต่โชคร้ายที่นัดสัมภาษณ์โดนเลื่อน โดยที่ผมมานั่งรอตั้งแต่ แปดโมงยันสิบเอ็ดโมง คุณมีทางเลือก 2 ทางคือ 1.โวยวายว่าบริษัทไม่ตรงต่อเวลา กับ 2. คือเข้าใจและอดทนรอต่อไป ไม่มีห้ามคุณเลือกทางไหน แต่สำหรับเด็กจบใหม่   เราคงไม่หยิ่งผยองพอที่จะเลือกทางแรก จริงไหม ฮ่าๆๆๆ บางทีการเลือกทางที่ 2 มันอาจจะกำลังสร้างโอกาสให้คุณก็ได้
.
.      ครั้งที่ 3 บริษัทนัดผมมาสัมภาษณ์กับ GM วันนี้มีคนแต่งตัวดีๆ ใส่สูทผูกไทมารอสัมภาษณ์เช่นผมตั้ง 2 คน สงสัยคงเป็นผู้สมัครตำแหน่งสูงๆ แต่เปล่าเลย ผมมารู้ดีหลังว่าที่มาทั้งหมดวันนั้น คือผู้สมัครตำแหน่งเดียวกับผม
และด้วยความไร้เดียงสา ผมก็ยกมือไหว้ทุกคน  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรรู้แค่ว่า มันไม่ส่งผลเสียอะไรกับผม  ผมเข้าสัมภาษณ์กับ GM   โชคดีอยู่บ้างที่ผมทำการบ้านมาดี แต่หลายๆคำถามผมก็ตอบไม่ได้ แต่ผมเลือกที่จะไม่แถ เพียงแต่บอกว่า “ผมจะกลับไปหาความรู้เพิ่มเติม” ผมตอบตามตรงทุกคำถาม คงเป็นเพราะรู้ดีกว่าเป็นคนโกหกไม่เนียน  จนมาถึงคำถามสุดท้าย  ต้องการเงินเดือนเท่าไหร่……… สำหรับเด็กจบใหม่  อยากให้คุณคิดเรื่องนี้ให้เรียบร้อยตั้งแต่ตื่นนอนล้างหน้าแปรงฟัน เพราะถ้าคุณไม่คิดมาก่อน  คุณจะคิดไม่ทันเมื่อเขาถามคุณ
.
.       การเรียกเงินเดือนถูก คืออาจจะตามเรทเด็กจบใหม่ หรือ + - ตามความสามารถตนเอง ก็เป็นสิ่งดีที่จะทำให้คุณได้มีโอกาสได้งานมากกว่าคนอื่น   ส่วนการเรียกเงินเดือนที่สูงขึ้นมาหน่อย มันก็ดีอยู่แล้ว   ทั้งนี้คุณก็ควรประเมินตนเองให้ดี ว่าควรค่ากับเงินเดือนเท่าไหร่ มันไม่มีใครห้ามคุณ  แต่สำหรับผม  ผมก็อยากได้เงินเดือนเยอะนะ แต่ผมอยากได้ความรู้ประสบการณ์ในช่วงแรกมากกว่า ผมเรียกเงินเดือนที่ถูกมาก ถ้าเทียบกับตำแหน่งงานนี้ แต่มันก็คุ้มกับสิ่งที่ได้รับมาตลอด 2 ปี   แต่ก็นั่นแหละการเรียกเงินเดือนถูกแต่แรก ก็มีผลเสียเหมือนกัน เพราะเวลาปรับเงินเดือนเขาปรับเป็น % ต่อให้คุณมีผลงานดีเพียงใด โอกาสที่คุณจะได้เงินเดือนแบบก้าวกระโดดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย    
.

.      จบคำถามสุดท้ายที่เงินเดือน ผมเดินลงมาพร้อมความสงสัยว่าผลเป็นอย่างไร  จนมาเจอพี่ HR ด้านล่าง ถามมาว่า พร้อมเริ่มงานวันไหน ผมเลยถามกลับไปว่า บริษัทรับผมเข้าทำงานแล้วใช่ไหมครับ  คำตอบคือใช่  วินาทีที่ได้งานแรก คือดีใจมาก  ไม่คิดว่างานแรกที่ได้จะได้ทำ HR และได้รับผิดชอบงานด้านพัฒนาบุคลากรในองค์กรที่มีคน 470 คน คนเดียว….หะทำคนเดียว !!!!
.

.       สิ่งตื่นเต้นต่อมาหลังจากได้งาน ก็คือตัวงานที่รับผิดชอบนี่แหละ เพราะบริษัทมีตำแหน่งนี้คนเดียว ในช่วงแรกผมจะมีผู้จัดการ หัวหน้าของผมคอยเป็นพี่เลี้ยงสอนงานทุกอย่าง   ต้องบอกเลยว่า เป็นงานที่ยากมาก  เพราะองค์กรเปิดมานาน ตำแหน่งนี้ที่ผมทำ ก็มีแต่เข้าๆออกๆ ไม่มีคนมาดูแลจริงๆจังๆนานมากแล้ว จึงทำให้ต้องค่อยๆเรียนรู้ระบบ และปรับแก้ ตบหัว ตบท้าย ให้มันเป็นระบบมากขึ้น
.
.     โชคดีของความเป็นเด็กใหม่คืออะไรรู้ไหมครับ คือการที่เราไม่รู้นี่แหละ พอไม่รู้เราเลยกล้า ที่จะเปลี่ยน  กล้าที่จะทำ และสิ่งหนึ่งที่เด็กจบใหม่ได้เปรียบคือ ในช่วงนี้เราจะมีอีโก้น้อยที่สุด  คือใครพูดอะไรเราจะรับฟังและทำตาม  แต่น่าเสียดายที่สิ่งนี้มันกลับค่อยๆหายไป เมื่อความเชี่ยวชาญเข้ามาแทนที่ ดูเหมือนตัวเราจะเริ่มบ่มเพาะ อีโก้น้อยๆ ขึ้นมาในใจ
.
.     อีก 1 สิ่งที่จะแนะนำคือการที่  ทำงานให้หลากหลายที่สุด พูดง่ายๆคือ เขาให้ทำอะไรก็ทำ ช่วงแรกๆผมก็ทำหมดเลยนะ ส่งเอกสาร นั่ง รปภ ขับมอเตอร์ไซต์ส่งผู้สมัคร  งานธุรการ ต่างๆนานา เราทำหมด มันส่งผลดีทำให้เราเรียนรู้งานในฝ่ายได้เร็วมาก แต่มันเริ่มจะส่งผลเสียต่อเมื่อ งานมากเข้า เราจะเริ่มเหนื่อย  และจะเกิดความผิดพลาดในการทำงาน   ทางที่ดีผมว่าถ้าเป็นไปได้นะ เราก็ควรรับงานที่เราคิดว่า มันเป็นประโยชน์และเราทำมันได้จริงๆดีกว่า
.

.       สำหรับผม งานแรกมันเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายต่อชีวิตเหมือนกันนะ มันเป็นช่วงเวลาที่ผลัดเปลี่ยนจากชีวิตการเรียนตลอด 20 ปี มาสู่การทำงาน เหตุการณ์สำคัญต่างๆเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ในชีวิตผมทั้ง  การย้ายที่อยู่อาศํยจากบ้านตั้งแต่เกิด มาเช่าหอพัก   การรับผิดชอบชีวิตตัวเองทั้งหมด การเลือกทางเดินชีวิตต่อไปอีก 10 20 ปี อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ มีเรื่องราวปลีกย่อยต่างๆมากมายที่เกิดขึ้น  การไปซื้อของเข้าบ้านในซุปเปอร์มาเก็ต การบริหารเงินเดือน การรับผิดชอบงาน การหาสิ่งที่รัก
.
.      รู้สึกโชคดี ที่เราได้เพื่อนร่วมทีมที่ดี อาจจะมีความแตกต่างในเรื่องวัย แต่อย่างน้อยๆตลอดเวลาที่ทำงาน ผมก็ไม่เคยเครียดเรื่องคนในทีม มันอาจจะไม่ใช่ความโชคดีที่สุดที่ได้งานนี้ แต่ผมก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ที่งานแรกของผม ส่งผลต่อทัศนคติของผม ในเรื่องๆต่างๆค่อนข้างเยอะ
.
.      ผมไม่รู้ว่าอีก 10 ปี จะยังคงเป็น HR อยู่ไหม แต่ ณ ขณะนี้ก็ยังชอบที่จะทำอยู่ งานแรกที่ดีอาจจะไม่ใช่งานที่ทำเงินให้คุณมากที่สุด แต่สิ่งที่พบเจอมา งานแรกที่ดีที่สุด ควรเป็นงานที่เราได้เรียนรู้มากที่สุด เพราะโอกาสในการเรียนรู้คือหนทาง ทำให้เราได้พบเจอกับสิ่งที่เราถนัด หรือชอบมันมากที่สุดได้
.
.      กลับมาที่การทำงานกันต่อ ผมเริ่มทำงานมาเรื่อยๆจนผ่านโปร 4 เดือน ช่วงผ่านโปรผมไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะการเรียนรู้ที่รวดเร็วของผม ทำให้ผมมั่นใจว่าผมสามารถทำงานในตำแหน่งนี้ได้
.
.      แต่ทุกๆงานย่อมมีปัญหา เพราะงานที่ไม่มีปัญหา อีกไม่นานบริษัทจะไม่จำเป็นต้องให้คุณทำ  ปัญหางานแรกของผมเริ่มตั้งแต่เริ่มตั้งแต่โครงสร้าง เปรียบเทียบอย่างนี้ดีกว่า  งานพัฒนาคนของบริษัทเหมือนบ้านหลังหนึ่ง  บ้านหลังนี้สร้างมานานแล้วแต่ขาดคนดูแลสนใจมันจริงๆ พอผมเข้ามาก็เริ่มจากปัดกวาด หยากใย เช็คถูให้มันสะอาด  พอทุกอย่างเริ่มสะอาด  ผมก็ต้องตรวจดูว่า มีตรงไหนที่ชำรุดหรือล้าหลังไหม ถ้ามีก็ปรับเปลี่ยน  ผมค่อยๆสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาใหม่ จนผมคิดว่าวันนี้มันเป็นบ้านที่พร้อมอยู่อาศัยสำหรับคนที่มาทำงานต่อจากผม
.
.     จากผ่านโปร จนกลายเป็น 1 ปี มาถึงช่วงเวลานี้ ผมเฝ้ามองเพื่อนคนอื่นๆที่เริ่มงานพร้อมกัน ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนเพราะหลายคนพอทำงานครบปี จะเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่ามันใช่หรือไม่ใช่ บางคนเลือกที่จะออกด้วยเหตุผลหลักๆคือ งานที่ทำไม่ถนัด กับ 2 เบื่อปัญหาเรื่องคน   แต่ผมโชคดีที่ 2 เหตุผลนี้ ผมไม่เจอมันเมื่อทำงานครบปี สถานะเด็กจบใหม่ของคุณจะเริ่มใช้การไม่ได้ต่อไปแล้วนะ ของจริงคงจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อเข้าสู่ปีที่ 2 คุณจะกลายเป็นคนทำงานคนหนึ่ง ที่ถ้าพลาดคุณก็โดนไม่ต่างจากคนอื่น แต่คุณก็จะมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น รวมทั้งทักษะการต่อรองที่มากขึ้นด้วย ฮ่าๆๆ เข้ามาแรกๆ ใครบอกอะไรคุณอาจจะ ครับๆๆๆๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันจะเริ่มมีคำว่า แต่...ผมคิดว่า….มากขึ้น 
.
.     ผลงานคุณจะเริ่มโดดเด่นเมื่อเข้าสู่ปีนี้  ถ้าปีที่หนึ่งคือการเรียนรู้ คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ทุกสิ่งอย่างให้มากที่สุดในบริษัท และปีที่ 2 คุณจะมืออาชีพมากขึ้น ยิ่งคุณทำมากคุณก็รู้มาก โดยเฉพาะ HR คุณจำเป็นต้องคอยตอบคำถามพนักงานอยู่ตลอดเวลา การตอบว่าไม่รู้ อาจทำให้คุณดูเป็น HR ที่ไม่เข้าใจองค์กรอย่างแท้จริงได้
.
.      อีก 1 สิ่งที่ผมได้จากการทำงานตำแหน่ง พัฒนาบุคลากรก็คือ ผมได้เรียนรู้ทักษะเยอะมาก  ผ่านการสัมมนาอบรม ต่างๆมากมายที่ บริษัทให้โอกาสผม จากกวางตัวน้อยในวันแรก พอก้าวขึ้นสู่ปีที่ 2 ผมกลายเป็นกวางที่คล่องแคล่วว่องไว  มีทักษะเฉพาะตัวยิ่งขึ้น
.
.      ช่วงเวลาปีที่ 2 ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงปลายปี คือช่วงเวลาประเมินผลงาน  สิ่งที่อยากแนะนำคือ คุณควรบันทึกข้อมูลไว้ว่าในระหว่างคุณทำผลงานอะไรไว้บ้าง เพราะเชื่อสิถ้าคุณมานึกช่วงท้ายปี บางงานเจ๋งๆที่คุณทำตั้งแต่ต้นปี อาจหลงลืมไป และคงน่าเสียดาย ถ้าไม่มีใครจดจำมันได้
..
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่