วิเคราะห์ MV WayV - Turn Back Time (超时空回) ทะลุโพรงมิติแห่งกาลเวลากลับสู่ WAY ที่ควรเป็น

กระทู้สนทนา

K-POP C-POP WayV (นักร้องนักดนตรี) NCT (นักร้องนักดนตรี) S.M. Entertainment

วิเคราะห์ MV WayV - Turn Back Time (超时空回)

ทะลุโพรงมิติแห่งกาลเวลากลับสู่ WAY ที่ควรเป็น

'You take the blue pill - the story ends, you wake up in your bed and believe whatever you want to believe.
You take the red pill - you stay in Wonderland and I show you how deep the rabbit-hole goes'

- Morpheus (The Matrix, 1999)

บอกก่อนว่ากระทู้นี้จะไม่พูดถึงว่าทั้ง 7 คนเป็นใครในปีศาจบาปทั้ง 7 นะคะ คิดว่าน่าจะมีคนวิเคราะห์กันไปเยอะแล้ว (ส่วนทางนี้ก็คืนความรู้ให้อ.ไปหมดแล้ว สมัยเรียนเน้นแต่ Greek Mythology ด้วย เรื่องพระคัมภีร์แทบไม่ได้แตะเลยค่ะ 😅) กระทู้นี้จึงขอพูดถึงเส้นเรื่องของ mv ที่เชื่อมกับ mv ตัวก่อนและจักรวาลอื่น กับ message ใน mv แค่นี้พอนะคะ

จากกระทู้ที่แล้วถ้า Moonwalk คือเรื่องราวจุดเริ่มต้นของ WayV ณ ดินแดนล่มสลายเสาะแสวงหาดาวดวงใหม่(ดวงจันทร์)จนได้มาแฝงตัวใน Take Off ก่อนเริ่มศึกษารูหนอนศึกษาการเดินทางข้ามกาลเวลาใน Dream Launch ในที่สุด Turn Back Time ก็จะมาเล่าเรื่องราวต่อหลังตื่นขึ้นจากฝันแล้วพบโลกด้านนอกหน้าต่างในท้าย mv Dream Launch ซึ่งเด็กหนุ่มต่างดาวทั้ง 7 จะได้กลับสู่ยุคปัจจุบันทั้งแฟชั่น ดนตรี และ แนวทางของ WayV ที่ควรเป็นแต่แรกเริ่มเสียที

Welcome WayV to the WORLD ค่ะ

Keyword
Turn Back Time

Note
时空 aka Spacetime

เอ็มวีเปิดมาพร้อมกับเสียง Emergency Alert พร้อมกับเตนล์ที่มีกล้องและจอทีวีล้อมรอบ

ตามด้วยผู้ถูกคุมขังทั้ง 6 คน 6 สไตล์ ในห้องขัง 6 แบบ อันได้แก่ เซียวจวิ้น คุน วินวิน หยางหยาง ลูคัส และเฮนเดอรี่ อยากรู้ว่าใครเป็นใคร มีพลังอะไรไปดูใน trailer ของแต่ละคนได้จ้า

ก่อนเสียง Emergency Alert จะ fade ไปและตัดฉากมาที่โถงทางเดินห้องขัง เตนล์ที่ได้รับบทผู้คุม (สังเกตได้จากพวงกุญแจที่ห้อยเอวและเสียงย่ำฝีเท้าใน trailer) เดินมาท่าทางลอกแลกพร้อมการ์ดสีแดงในมือหนึ่งใบ

ทันใดนั้นนักโทษในห้องขังมองตรงมาด้วยสายตาประหลาดใจและยินดีอย่างปิดไม่มิด

(ซีนนี้ลูคัสเอาไป 100 เต็ม 10 สื่อสายตาดีมาก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกสัตว์ร้ายไร้เดียงสาจับจ้อง แววตาบริสุทธิ์ชวนให้เข้าหาทั้งที่รู้ว่านี่โคตรตัวอันตราย)

เกิดอะไรขึ้นที่สถานกักกันแห่งนี้ มาย้อนเวลาไปดูเหตุการณ์ก่อนหน้านี้กันสักหน่อยดีกว่า ด้วยการเดินถอยหลังตั้งแต่เริ่มเพลงเป็น parody กับเส้นเรื่องให้รู้ว่ากำลังจะเล่าอดีตนะจ๊ะ

ในอดีตนั้นเราจะเห็นว่าผู้คุมเตนล์ไม่ enjoy กับงานเอาเสียเลยด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อเต็มที แต่ลาออกก็ไม่ได้ยิ่งช่วงโควิด-19แบบนี้ออกแล้วจะพ้มเอาอะไรกิน #น้องเตนล์ไม่ได้กล่าว

ผู้ถูกคุมขังทั้ง 6 คนก็อาการไม่ต่างกัน อยากออกไปก็ออกไม่ได้ ใช้พลังก็แล้วยังแหกห้องขังไม่ได้ ถูกควบคุมทุกรูปแบบ ไหนจะโดนบังคับให้กินยาอีก (ช่างเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันต้องกักตัวอยู่ในบ้านห่างไกลโควิด-19 เสียจริง)

ใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจอยู่ในกรงจนบางคนก็จะกลายเป็น OCD แล้ว (น้องหยางป้าขอโทษ)

_{ซีนนี้ตอนแรกนึกว่ามาช่วยน้องม้าคขายครีมกันแดดเนเจอร์ รีพับลิคซะอีก}

จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงฮุคแรก stop (ปี๊บ) rewind (ปี๊บ) turn (ปี๊บ) back (ปี๊บ) time (ปี๊บ) กลับมาสู่ช่วงปัจจุบันใน mv

^{หนูไม่อยากอยู่ในนี้แล้วอะมี้ พาหนูออกไปได้ไหม ไม่งั้นหนูจะร้องแล้วนะ *เบะ* #ลูคัสไม่ได้กล่าว}

ใน mv แสดงให้เห็นสภาพผู้ถูกคุมขังทุกคนในปัจจุบัน การถูกกังขังทำให้ความไม่พอใจที่แต่ละคนสะสมเอาไว้เริ่มเดือดจนแสดงด้าน wild wild ออกมา แต่ไม่ทันได้เกิดการแหกห้องขังคุณผู้คุมของเราก็เดินลอกแลกมาซีนเดียวกับตอนต้น mv กวาดตามองคนในห้องขัง ก่อนตัดสินใจใช้การ์ดปล่อยทุกคนออกมา

ออกมาได้ก็ 4x100 สิครับ จะอยู่รอให้พ่อมาจับกลับเข้าห้องขังอีกรอบเหรอ!

จากนั้นก็เป็นซีนเทียบให้เห็นชีวิตระหว่างอยู่กรงกับนอกกรงว่าเป็นอย่างไรโดยใช้น้องลูคัสที่คาแรกเตอร์พลังวิเศษชัดสุด ซึ่งตอนอยู่ในกรงน้องโดนตัดปีกออก ตรงนี้สื่อถึงการถูกลิดรอนสิทธิและเสรีภาพออกไป

แต่เมื่อออกมาข้างนอกได้แล้วปีกก็งอกกลับมา ก็คือได้อิสระที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจฉันกลับคืนมา

แล้วภาพก็ตัดแวบมาที่โต๊ะยาว บนโต๊ะมีแก้วน้ำและยาแคปซูล 2 สีวางคู่กัน ฟ้าอันส้มอัน

ก่อนเผยให้เห็นว่าทุกคนนั่งประจำที่พร้อมยาที่ยังไม่ถูกกลืนเข้าไป สายตาที่มองตรงมาเหมือนจะถามว่าจะให้กินไหม จะเอาไง แล้วยานี่มันอัลไลอยากรู้ล่ะสิ ถ้าอ่านคำโปรยที่หัวกระทู้ถึงตรงนี้ก็น่าจะพอกันเดาได้แล้วนะคะ แต่ถ้าใครยังไม่รู้ก็ขออุบไว้ก่อนเช่นเคย

ซึ่งมาถึงตรงนี้จะเห็นว่าผ่านมาเกินครึ่งเพลงแล้วยังไม่เห็นว่ามันจะเชื่อมกับ mv อันอื่นหรือจักรวาลอื่นเลยใช่ไหมคะ

ค่ะ จะบอกว่าจะเริ่มที่ซีนถัดไปนี่แหละแบบเก๋ๆ ตัดเข้าสู่ Dance Break พร้อมกับท่าเต้นสุดเท่และมุมกล้องฉวัดเฉวียนไปมาที่มองเผินๆ แล้วเหมือนมังกรกำลังเคลื่อนตัวไปมา แต่จริงๆ มันไม่ใช่ค่า... แล้วมันท่าอิหยังวะ

มันคือท่าที่ทุกคนกำลังเดินทางผ่านมิติเวลาหรือเรียกกันว่า ‘ รูหนอน’ ค่ะ

อะ งงล่ะสิ...มันเป็นรูหนอนยังไงวะ 555

เดี๋ยวจะหาว่าเรามั่วเรื่องทางเต้นรูหนอนขึ้นมาเอง อยากให้ไปดู the STAGE ค่ะ background ตอนท่อน Dance Break น่ะเปิดจักรวาลเข้ารูหนอนชัดๆ (แต่เราคิดเรื่องท่าเต้นรูหนอนก่อน the STAGE ออกนะคะ พอได้ดูแล้วเลยยิ่งมั่นใจทฤษฎีที่คิดว่ามาถูกทางแล้ว)

_{เปิดจักรวาลจ้า}

ตอนแรกเราก็ไม่เอะใจค่ะ ตั้งแต่เอ็มวีออกยังตื่นเต้นกับลูกชายอยู่ มองอะไรไม่ออกเลยนอกจากลูคัสหล่อจัง ลูคัสหล่อมาก ลูคัสหล่อเกินไปแล้วเว้ย จนมองข้ามไปว่ามันเชื่อมกับ mv ก่อนหน้ายังไงวะคะ แต่พอตั้งสติได้เลยเริ่มจากดูชื่อเพลงภาษาจีนถึงการาเก็ตขึ้นมาว่า อ้อ ใน turn back time ทุกคนเดินทางผ่านอวกาศมาถึงโลกจนโดนกักตัวกันแล้วนี่เอง

ภาษาจีนคำว่า 时空 ที่เราแปะไว้ต้นกระทู้นั้นหมายถึง ปริภูมิ-เวลา หรือ Spacetime แต่ถ้าจะให้เด็กสายศิลป์อย่างเรามาอธิบายฟิสิกส์คงเป็นเรื่องเกินตัวไป เอาเป็นว่าใครดูหนังเรื่อง interstellar แล้วก็ให้เข้าใจว่าการเดินทางข้ามผ่านจักรวาลของหนุ่มๆ WayV ก็ประมาณนั้น ซึ่งไอ้รูหนอน(ที่เด็กๆ ศึกษากันใน Dream Launch)เนี่ยมันจะมีความพิเศษบางอย่างทำให้เมื่อเดินทางผ่านถึงจุดหมายปลายทางแล้วเวลาจะบิดเบี้ยวไปจากเวลาที่เคยอยู่ WayV ที่ก่อนหน้านี้เคยแต่อาศัยอยู่ในยุค 60-70 จึงได้กลับมาสู่ยุคปัจจุบัน หรือ เราขอเรียกว่ายุค NEO แล้วกันถือเป็น easter egg สำหรับจักรวาลนี้

จบจาก dance break ตัดกลับมาที่ช่วงท้ายของเพลงอันเป็นบทสรุปของ mv น้องเตนล์กำลังจ้องมองมายังกล้อง งุ้ย มันคุ้นๆ นะคะว่าไหม

เหมือนท่าใน SEE THE V เลยค่า บังเอิญหรือว่าตั้งใจกันนะ อิ๊wอิ๊ แต่ทางนี้มั่นใจว่าตั้งใจแน่นวล

จากนั้นก็ตัดให้เห็นว่าผู้คุมขังทั้งหมดที่หลบหนีออกมาได้แล้วกำลังนั่งประจัญหน้ากับคุณผู้คุมที่เป็นคนปล่อยตัวเองออกมา โดยทั้งหมดถูกกล้องจับบันทึกไว้

เห็นปอยผมทองๆ ของน้องเตนล์กันไหมคะ

ก่อนที่โซ่ที่เคยดึงรั้งอิสรภาพของเหล่าผู้ถูกคุมขังจะขาดสะบั้นลง

_{หนูง่วงปล่อยหนูกลับไปนอนได้ไหม}

และฉากประจัญหน้ากันตรงๆ ระหว่างแมวเร้ก🐱กับแมวยักษ์🦁 ฉากนี้มีความสำคัญมาก ถ้าดูใน mv ดีๆ จะเห็นว่าสองคนนี้ขยับมือพร้อมกันเหมือนภาพสะท้อนในกระจก มองผ่านๆ อาจคิดว่าไอ้หมอนี่มันกวนผู้คุม แต่ไม่ใช่ นี่คือภาพสะท้อนของการพูดคุยกับตนเอง