ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว พูดคุยกันในฐานะประชาชน หรือผู้ประกอบการ ที่ก้าวข้ามความเป็นการเมืองออกไปครับ
ผมทำธุรกิจส่วนตัว โดยพื้นฐานของธุรกิจก็พอไปได้ แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่มีปัญหาตั้งแต่ปีที่แล้ว และปีนี้มีกระทบจากโควิด แต่ภาพรวมก็นับว่าธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้เพราะเป็นสินค้าจำเป็น อาจมีการชำระล่าช้าบ้างก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ในฐานะคนทำธุรกิจ และตามนโยบายภาครัฐที่ออกมาช่วยธุรกิจที่มีหลากหลาย ตรงจุดบ้างไม่ตรงจุดบ้างอันนี้ก็แล้วแต่มุมมอง แต่อย่างน้อยก็ยังมีนโยบายพยายามช่วยพยุงและส่งเสริม แต่ปัญหาที่รัฐบาลไม่รู้ คือ การเข้าถึงความช่วยเหลือนั้น ต่างหาก เหมือนกับนโยบายที่จะดีจะยิ่งใหญ่ยังไงแต่มาสะดุดล้มเพราะก้อนหินเล็กๆ
ผมเป็นลูกค้า SME Bank มาค่อนข้างนานพอสมควรหลายบัญชีก็ถูกปิดไปตามระยะเวลา ถึงแม้ว่า SME Bank ลูกค้าหลายคนจะรู้ว่า "ช้า" แต่ก็ต้องยอมรับว่าด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลในแต่ละยุคแต่ละสมัยทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อคนทำธุรกิจ อันนี้ก็ต้องยอมรับและอดทนกันไป แต่อีกปัญหาที่สำคัญคือ ตัวบุคคลากรเจ้าหน้าที่ธนาคาร โดยเฉพาะบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการชี้ความเป็นความตายในการทำธุรกิจ ซึ่งบุคคลนี้มักไม่เข้าใจการทำธุรกิจ แต่เป็นคนมีอำนาจวิเคราะห์สินเชื่อว่าจะให้ใครไม่ให้ใคร ซึ่งแม้จะกรอบมีระเบียบในการปฏิบัติ แต่...กระดาษขาวยังไงก็ยังต้องมีจุดดำ เพราะฉะนั้นบางครั้งจึงอยู่ที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ที่จะเลือกมองอะไร และค่อยหาเหตุผลมาประกอบ
อีกอย่างหนึ่งสำหรับการทำธุรกิจนอกจาก กระแสเงินสด แล้ว คือ "เวลา" ที่จะอธิบายยังไงเจ้าหน้าที่ก็คงไม่เข้าใจ หรือแม้เข้าใจก็ไม่ได้รู้สึกถึงความสำคัญ 1 วันของเจ้าหน้าที่ธนาคารรัฐฯ กับ 1 วันของผู้ประกอบธุรกิจ ความสำคัญไม่เท่ากัน และเหมือนกันว่าแม้จะมีกรอบเวลามาเป็นแนวนโยบาย แต่ก็มีวิธีการและสารพัดเหตุผลหาช่องโหว่ของนโยบายเช่นกัน
ปัญหาโควิดที่เข้ามามันบังคับให้ภาคธุรกิจปรับตัว แต่ผมเองก็อยากเห็นภาคธนาคารของรัฐ โดยเฉพาะธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพยุงภาคธุรกิจปรับตัวด้วยเช่นกัน แม้ไม่อาจปรับใหญ่ในเชิงโครงสร้างทั้งระบบอย่างเอกชน แต่อย่างน้อย จัดสรรบุคคลที่เหมาะสม บุคคลากรที่มีความสามารถ และเข้าใจธุรกิจ ซึ่งผมเชื่อว่ามีเป็นจำนวนมากในองค์กรมาเป็นผู้ตัดสินชะตากรรมของธุรกิจ ไม่ใช่ใครก็ได้... ที่ไม่ได้เข้าใจโลก แบบปัจจุบัน
โพสนี้ขอคิดแบบเข้าข้างรัฐบาลครับ.... ผมคิดว่าบางครั้งนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจะดีแค่ไหนก็ส่วนหนึ่งก็พังเพราะ SME Bank
ผมทำธุรกิจส่วนตัว โดยพื้นฐานของธุรกิจก็พอไปได้ แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่มีปัญหาตั้งแต่ปีที่แล้ว และปีนี้มีกระทบจากโควิด แต่ภาพรวมก็นับว่าธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้เพราะเป็นสินค้าจำเป็น อาจมีการชำระล่าช้าบ้างก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ในฐานะคนทำธุรกิจ และตามนโยบายภาครัฐที่ออกมาช่วยธุรกิจที่มีหลากหลาย ตรงจุดบ้างไม่ตรงจุดบ้างอันนี้ก็แล้วแต่มุมมอง แต่อย่างน้อยก็ยังมีนโยบายพยายามช่วยพยุงและส่งเสริม แต่ปัญหาที่รัฐบาลไม่รู้ คือ การเข้าถึงความช่วยเหลือนั้น ต่างหาก เหมือนกับนโยบายที่จะดีจะยิ่งใหญ่ยังไงแต่มาสะดุดล้มเพราะก้อนหินเล็กๆ
ผมเป็นลูกค้า SME Bank มาค่อนข้างนานพอสมควรหลายบัญชีก็ถูกปิดไปตามระยะเวลา ถึงแม้ว่า SME Bank ลูกค้าหลายคนจะรู้ว่า "ช้า" แต่ก็ต้องยอมรับว่าด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลในแต่ละยุคแต่ละสมัยทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อคนทำธุรกิจ อันนี้ก็ต้องยอมรับและอดทนกันไป แต่อีกปัญหาที่สำคัญคือ ตัวบุคคลากรเจ้าหน้าที่ธนาคาร โดยเฉพาะบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการชี้ความเป็นความตายในการทำธุรกิจ ซึ่งบุคคลนี้มักไม่เข้าใจการทำธุรกิจ แต่เป็นคนมีอำนาจวิเคราะห์สินเชื่อว่าจะให้ใครไม่ให้ใคร ซึ่งแม้จะกรอบมีระเบียบในการปฏิบัติ แต่...กระดาษขาวยังไงก็ยังต้องมีจุดดำ เพราะฉะนั้นบางครั้งจึงอยู่ที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ที่จะเลือกมองอะไร และค่อยหาเหตุผลมาประกอบ
อีกอย่างหนึ่งสำหรับการทำธุรกิจนอกจาก กระแสเงินสด แล้ว คือ "เวลา" ที่จะอธิบายยังไงเจ้าหน้าที่ก็คงไม่เข้าใจ หรือแม้เข้าใจก็ไม่ได้รู้สึกถึงความสำคัญ 1 วันของเจ้าหน้าที่ธนาคารรัฐฯ กับ 1 วันของผู้ประกอบธุรกิจ ความสำคัญไม่เท่ากัน และเหมือนกันว่าแม้จะมีกรอบเวลามาเป็นแนวนโยบาย แต่ก็มีวิธีการและสารพัดเหตุผลหาช่องโหว่ของนโยบายเช่นกัน
ปัญหาโควิดที่เข้ามามันบังคับให้ภาคธุรกิจปรับตัว แต่ผมเองก็อยากเห็นภาคธนาคารของรัฐ โดยเฉพาะธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพยุงภาคธุรกิจปรับตัวด้วยเช่นกัน แม้ไม่อาจปรับใหญ่ในเชิงโครงสร้างทั้งระบบอย่างเอกชน แต่อย่างน้อย จัดสรรบุคคลที่เหมาะสม บุคคลากรที่มีความสามารถ และเข้าใจธุรกิจ ซึ่งผมเชื่อว่ามีเป็นจำนวนมากในองค์กรมาเป็นผู้ตัดสินชะตากรรมของธุรกิจ ไม่ใช่ใครก็ได้... ที่ไม่ได้เข้าใจโลก แบบปัจจุบัน