สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
มีการให้เด็กทดสอบทางไอคิวและเก็บข้อมูล
และแล้วก็มีการออกกฏหมายบังคับทำหมันเกิดขึ้นจริงๆในหมู่ชาวต่างชาติในปี1913 แต่ถูกแย้งโดยผู้ว่าการ จอห์น โมเฮด ที่เป็นชาวคริตส์เพรสไบทีเลียน ออกมากล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกด้วยศีลธรรมในทางกฏหมายและทางกฏหมายที่สูงสุดคือศาสนา การกระทำแบบนี้คือแนวคิดของพวกคนเถื่อนพ่อมดหมอผีไม่ใช่แนวทางดีงามของคริสเตียน ในขณะที่พวกหัวสมัยใหม่เข้าข้างโครงการยูเจนิค หัวหน้าคณะ อีแวนเจลิสอเมริกัน Evangeliscal American นามว่า วิลเลี่ยม เจนนิ่ง ไบรอัน William Jennings Bryan ก็ออกมาต่อต้านเช่นกัน ในขณะที่สันตะปาปาแห่งโรมกล่าวหาโครงการนี้ว่าเป็นการขอร้องให้รัฐบาลออกกฏหมายในการฝืนธรรมชาติในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ลูกผสมคนดำกับคนขาว
พวกเขาโดนต่อต้านต่างๆนาๆแต่ก็ผ่านกฏหมายนี้สำเร็จในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ยูเจนิคทำสำเร็จในการบังคับให้คนที่เป็นชาวต่างชาติโดนจับทำหมันเพื่อไม่ให้แพร่เชื้อสายซึ่งมีคนที่โดนทำหมันไปทั้งหมดในเวลานั้น6หมื่นคน ในขณะที่นาซีเยอรมันบังคับชาวต่างชาติทำหมันเป็นหลายล้านคน
นักพันธุวิทยา เจมส์ วัตสัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลออกมากล่าวว่าดีเอนเอของคนอัฟริกันนั้นต่ำต้อยกว่าคนผิวขาวจริงๆดูได้จากวิวัฒนาการ
ชารอน เวสตัน บรูม Sharon Weston Broome เธอเป็นหญิงชาวอัฟริกันอเมริกันที่ได้เป็นนายกเทศมนตรี ของแบตันรูช
หลุยเซียน่า จากปี 2005 ถึงปี 2016
บรูมเป็นผู้หญิงชาวแอฟริกันอเมริกันคนแรกที่ทำหน้าที่เป็นนายกเทศมนตรี เธอประกาศว่าทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน คือแหล่งข้อมูลที่นำไปสู่การที่พวกเหยียดเชื้อชาตินำไปใช้ในยุคต่อๆมา เธอเสนอต่อสภาว่าควรจะมีการสอนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่นำเสนอว่ามนุษย์สามารถพัฒนาได้เท่าเทียมกันไม่ว่าชนชาติไหน
ชารอน บรูม
ชารอน บรูม กล่าวว่าเธอไม่ได้ขอให้เอาหลักสูตรเรื่องวิวัฒนาการของดาร์วินออกจากการเรียนการสอนในโรงเรียนของเด็กแต่เธอต้องการจะให้มีการเสริมให้เด็กเข้าใจว่าทฤษฏีของดาร์วินนั้นนำไปสู่การโปรโมทความแตกแยกทางเชื้อชาติ
ทำให้วุฒิสภาที่เป็นคนผิวขาวบางคนแย้งว่าแนวคิดของบรูมเป็นแบบพวกchristian supremacist พวกคลั่งศาสนา
ชาวคริตส์ที่เอาเรื่องศาสนานำก่อนเหตุผล….. และเพื่อเป็น
กลางกับทั้งสองฝ่ายจึงลงมติตัดบางส่วนของทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วินที่ซึ่งกล่าวถึงวิวัฒนาการมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์ต่างกันซึ่งฟังดูเป็นการเหยียดเชื้อชาติอื่นให้ต่ำต้อยออกจากการเรียนการสอนสากล
มีการให้เด็กทดสอบทางไอคิวและเก็บข้อมูล
และแล้วก็มีการออกกฏหมายบังคับทำหมันเกิดขึ้นจริงๆในหมู่ชาวต่างชาติในปี1913 แต่ถูกแย้งโดยผู้ว่าการ จอห์น โมเฮด ที่เป็นชาวคริตส์เพรสไบทีเลียน ออกมากล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกด้วยศีลธรรมในทางกฏหมายและทางกฏหมายที่สูงสุดคือศาสนา การกระทำแบบนี้คือแนวคิดของพวกคนเถื่อนพ่อมดหมอผีไม่ใช่แนวทางดีงามของคริสเตียน ในขณะที่พวกหัวสมัยใหม่เข้าข้างโครงการยูเจนิค หัวหน้าคณะ อีแวนเจลิสอเมริกัน Evangeliscal American นามว่า วิลเลี่ยม เจนนิ่ง ไบรอัน William Jennings Bryan ก็ออกมาต่อต้านเช่นกัน ในขณะที่สันตะปาปาแห่งโรมกล่าวหาโครงการนี้ว่าเป็นการขอร้องให้รัฐบาลออกกฏหมายในการฝืนธรรมชาติในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ลูกผสมคนดำกับคนขาว
พวกเขาโดนต่อต้านต่างๆนาๆแต่ก็ผ่านกฏหมายนี้สำเร็จในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ยูเจนิคทำสำเร็จในการบังคับให้คนที่เป็นชาวต่างชาติโดนจับทำหมันเพื่อไม่ให้แพร่เชื้อสายซึ่งมีคนที่โดนทำหมันไปทั้งหมดในเวลานั้น6หมื่นคน ในขณะที่นาซีเยอรมันบังคับชาวต่างชาติทำหมันเป็นหลายล้านคน
นักพันธุวิทยา เจมส์ วัตสัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลออกมากล่าวว่าดีเอนเอของคนอัฟริกันนั้นต่ำต้อยกว่าคนผิวขาวจริงๆดูได้จากวิวัฒนาการ
ชารอน เวสตัน บรูม Sharon Weston Broome เธอเป็นหญิงชาวอัฟริกันอเมริกันที่ได้เป็นนายกเทศมนตรี ของแบตันรูช
หลุยเซียน่า จากปี 2005 ถึงปี 2016
บรูมเป็นผู้หญิงชาวแอฟริกันอเมริกันคนแรกที่ทำหน้าที่เป็นนายกเทศมนตรี เธอประกาศว่าทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน คือแหล่งข้อมูลที่นำไปสู่การที่พวกเหยียดเชื้อชาตินำไปใช้ในยุคต่อๆมา เธอเสนอต่อสภาว่าควรจะมีการสอนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่นำเสนอว่ามนุษย์สามารถพัฒนาได้เท่าเทียมกันไม่ว่าชนชาติไหน
ชารอน บรูม
ชารอน บรูม กล่าวว่าเธอไม่ได้ขอให้เอาหลักสูตรเรื่องวิวัฒนาการของดาร์วินออกจากการเรียนการสอนในโรงเรียนของเด็กแต่เธอต้องการจะให้มีการเสริมให้เด็กเข้าใจว่าทฤษฏีของดาร์วินนั้นนำไปสู่การโปรโมทความแตกแยกทางเชื้อชาติ
ทำให้วุฒิสภาที่เป็นคนผิวขาวบางคนแย้งว่าแนวคิดของบรูมเป็นแบบพวกchristian supremacist พวกคลั่งศาสนา
ชาวคริตส์ที่เอาเรื่องศาสนานำก่อนเหตุผล….. และเพื่อเป็น
กลางกับทั้งสองฝ่ายจึงลงมติตัดบางส่วนของทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วินที่ซึ่งกล่าวถึงวิวัฒนาการมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์ต่างกันซึ่งฟังดูเป็นการเหยียดเชื้อชาติอื่นให้ต่ำต้อยออกจากการเรียนการสอนสากล
ความคิดเห็นที่ 1
โครงสร้างมนุษย์ในทัศนะของHeckle จากต่ำสุดไปยังสูงสุดคือ
1.) นิกิโต้ในปาปัวนิวกินี หรือฟิลิปปินส์
2.) Hottentot ในอัฟริกาพวกคอยซาน
3.) Kaffre ในคองโกอัฟริกา
4.) นิโกร คนดำในเซเนกัล แกมเบีย ไนจีเรีย
5.) ออสเตรเลียนอะบอริจิ้น
6)ชาวมาเลย์ พวกโพลีนีเชียน
7.) มองโกล ซึ่งแตกเป็นพวกสายพูดอัลแตคเช่นจีนทิเบต กับสายอูราริคเช่น ญี่ปุ่น เอเชียกลาง
8.) Homo arctic พวกเอสกีโม เนทีฟอเมริกันในอเมริกาเหนือ
9.) อเมริกันโฮโม เช่น พวกเนทีฟอินเดียนแดงทั้งหมดในอเมริการวมเหนือและใต้
10.) ชาวดราวิเดียน เช่นชาวฮินดูสถาน ซีลอน อินเดียใต้
11.) ชาวนูเบี้ยน ต้นตระกูลแขกมัวร์ อียิปต์ ซูดานเหนือ อัฟริกาตะวันออกฯ
12.) ชาวเมดิเตอร์เรเนียน -แตกไปเป็นนอร์ดิก, พวกตะวันออกกลาง ชาวอาหรับ, อัฟริกาเหนือ, ชาวยุโรปใต้, เอเชียตะวันตกเช่น อิรักอิหร่าน. อินเดียเหนือ ฯลฯ
แซมมวล ฟิลลิป วาร์น่า มีสชันนารีชาวอเมริกันได้เป็นผู้เสนอพาชนเผ่าปิ๊กมี่จากอัฟริกาไปจัดแสดงที่สวนสัตว์มนุษย์ที่อเมริกา เขาเดินทางไปที่คองโก้พร้อมอาวุธครบมือเพื่อตามหาเอาตัวชาวปิ๊กมี่ในคองโกไปจัดแสดงที่สวนสัตว์มนุษย์ที่อเมริกาตามคำขอของนักมนุษยวิทยา วิลเลี่ยม แม็คกี้
พวกปิ๊กมี่ที่ถูกนำตัวไปถูกจัดให้เป็นมนุษย์กลุ่มที่ตกscale วิวัฒนาการว่าอยู่ระหว่างการวิวัฒนาการออกจากลิงชิมแปนซีไปสู่การเป็นมนุษย์ชั่นล่างสุด ในขณะที่ชนเผ่าอื่นๆที่นำมาจัดแสดงที่นำมาจากเอเชียตะวันออกไกลและที่อื่นๆเช่น ชาวเกาะฟิลิปปินส์ ชาวเกาะไอนุฯลฯ โดนจัดอยู่ในหมวดมนุษย์วิวัฒนาชั่นล่าง
ภาพของโอทาบังก้า
เรื่องสุดสะเทือนใจได้เริ่มขึ้นในสวนสัตว์มนุษย์ หนึ่งในเด็กชายวัยรุ่นร่างเล็กชาวปิ๊กมี่นามว่า โอทาบังก้า Ota bunga
เป็นเด็กหนุ่มชาวปิ๊กมี่ที่ที่มีฟันแหลมคมทำให้เขาดูจะเป็นจุดสนใจในการถูกจับมาศึกษาเป็นพิเศษในทัศนะของแม็คกี้ เด็กชายคนนี้ไม่ได้ถูกจับมา
จากอัฟริกาเช่นเดียวกับปิ๊กมี่คนอื่นๆหากแต่มิชชันนารีวาร์น่าซื้อเขามาจากตลาดทาส…… วิลเลี่ยม แม็คกี้มองว่าลักษณะฟันที่แหลมของโอทาบังก้าเป็นตัวที่ชี้ชัดว่าชาวปิ๊กมี่เป็นพวกที่อยู่ระหว่างรอยต่อของมนุษย์และลิงชิมแปนซีและยังไม่ได้เข้าสู่คลาสความเป็นมนุษย์หมวดชั้นล่างเช่นชนชาติอื่นๆที่ถูกจัดแสดงในสวนสัตว์ และโอทาบังก้าเป็นตัวทดลองที่ทำให้ทฤษฏีนี้เห็นภาพชัดขึ้น
บรรดามนุษย์ทุกชาติพันธุ์ที่นำมาจัดแสดงจากทั่วทุกมุมโลกต่างสร้างชุมชนบ้านเรือนอยู่ภายในสวนสัตว์มนุษย์ที่จะมีลูกกรงเหล็กกั้นไว้และมีสะพานแคบๆให้บรรดาชาวผิวขาวเดินเข้าไปดู สำหรับชาวปิ๊กมี่ที่ถูกจับมาแสดงที่นี้พวกเขาถูกปฏิบัติแย่ยิ่งกว่าชนเผ่าอื่นๆที่ถูกจัดเป็นมนุษย์สายพันธุ์ชั้นล่างเพราะชาวปิ๊กมี่ถูกมองเป็นเพียงแค่มนุษย์วานรเท่านั้น ชาวผิวขาวบางคนเอาร่มแหย่ไปที่ตัวของพวกเขาไม่ต่างจากที่ทำแบบเดียวกันกับลิงชิมแปนซีที่ชาวปิ๊กมี่อุ้มอยู่ บางคนหัวเราะ แลบลิ้น ใส่พวกเขา
หลังจากจบการแสดงนิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์ในครั้งนั้น
แซมมวล วาร์น่าได้นำชนเผ่าปิ๊กมี่ที่เขานำมาแสดงกลับสู่
อัฟริกาแต่แล้วในปี1906ก็นำโอทาบังก้าเด็กหนุ่มปิ๊กมี่ที่มีฟันแหลมกลับไปที่อเมริกาอีกโดยเรือขนส่งของอังกฤษ เขาเดินทางไปครั้งนั้นกับสัตว์ป่าอื่นๆที่ถูกจับมาได้จากอัฟริกาเช่น ลิงชิมแปนซี นกแก้ว และ งู ฯลฯที่จะถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิทธภัณฑ์นิวยอร์ครวมทั้งตัวโอทาบังก้าด้วย ที่นั้นเขาได้ถูกปล่อยให้เป็นอิสระมากขึ้นได้เดินเล่นดูสิ่งต่างๆในพิพิทธภัณฑ์แต่แล้วไม่นานเจ้านายผู้นำเขามา แซมมวล วาร์น่าก็ได้ย้ายเขาไปแสดงอีกที่หนึ่งคือสวนสัตว์มนุษย์ bronx zoo เพราะเจ้านายผู้นำเขามาเกิดทะเลาะกับพิพิทธภัณฑ์เรื่องลิกขสิทธิ์ในตัวโอทาบังก้า
ที่สวนสัตว์มนุษย์ bronx zoo มีผู้อำนวยการคือ วิลเลี่ยม เทมเพิล ฮอนาเดย์ William Temple Hornaday เขาเป็นนักสวนสัตว์วิทยาและทำงานร่วมกับสมิทโซเนียนและเป็นประธานร่วมกับ Henry Fairfield Ausbon เฮนรี่ แฟร์ฟิว ออสบอน ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่สวนสัตว์นี้ไม่ได้มีแค่สัตว์แต่จะมีการจัดแสดงมนุษย์ชนเผ่าอื่นด้วยเช่นอินเดียนแดงพื้นเมืองแต่ก่อนจะทำเช่นนั้นพวกเขาวางแผนที่จะแสดงโชว์เด็กหนุ่มชาวปิ๊กมี่ โอทาบังก้าก่อนโดยการนำเขาใส่กรงเดียวกันกับลิงชิมแปนซีและติดป้ายไว้ว่า
โอทาบังก้าอัฟริกันปิ๊กมี่อายุ23ปีความสูง4ฟุต11นิ้ว หนัก103ปอน นำมาจากแม่น้ำ คาไซ kasai
มีการลงข่าวในหนังสือพิมพ์ชวนเชิญให้ชาวเมือง
มาดูหนุ่มปิ๊กมี่คนนี้ซึ่งกลายเป็นว่าเจ้าของสวนสัตว์และพรรคพวกทำเงินมหาศาลเพราะมีประชาชนครึ่งล้านแห่กันมาดูโอทาบังก้า
Reverend Robert Stuart MacArthur รีเวอร์เรน โรเบิร์ต สจ๊วต แม็คอาเธอร์ เพสเตอร์ผู้เป็นผู้นำแห่งโบสถ์เบพตีสที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริการู้สึกไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับสวนสัตว์มนุษย์ท่านกล่าวว่ามันเป็นการดูถูกท่านพอๆกับการดูถูกชนชาติที่ถูกนำมาแสดงคือการหมิ่นศีลธรรมความเป็นมนุษย์ แทนที่จะสร้างสัตว์ร้ายจากเด็กชายคนนี้(โอทาบังก้า) เขาควรจะถูกส่งไปโรงเรียนเช่นเดียวกับเด็กผู้ชายคนอื่นๆ ท่านเพสเตอร์แห่งโบสถ์เบพตีสกล่าว
ฝ่ายประธานแห่งชุมชนอัฟริกันอเมริกันแห่งกรุงนิยอร์คได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแย่กับการกระทำของพวกนักวิทยาศาสตร์ที่ก่อตั้งสวนสัตว์มนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เขาได้ก่อตั้งกลุ่มต่อต้านสวนสัตว์มนุษย์ขึ้นและเข้าไปเยี่ยมโอทาบังก้าในสวนสัตว์
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือเด็กหนุ่มผิวดำตัวเล็กๆคนหนึ่งที่มีท่าทางขี้อายต่อเสียงโห่ร้องขว้างปาและล้อเลียนของบรรดาพวกคนขาวที่เข้ามาดูเขาที่นิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์ ประธานแห่งชุมชนคนผิวดำอเมริกันได้บอกให้ทางนักวิจัยเหล่านี้นำเด็กหนุ่มออกจากสวนสัตว์และส่งไปโรงเรียนเสีย
เจมส์ เอช กอร์ดอน supervisor ของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในความเมตตาของศาสนาคริตส์ในเมืองบรุคลินได้ยื่นฟ้องสวนสัตว์มนุษย์ให้หยุดการนำเสนอเด็กหนุ่มอัฟริกันปิ๊กมี่โอทาบังก้าในแง่ที่เหยียดชาติพันธุ์เช่นนั้น เขากล่าวว่า
"นี้คือดินแดนของคริสเตียนในนามของศาสนาคริตส์มนุษย์ทุกคนเป็นฝีพระหัตถ์การสร้างของพระเจ้าและมีความสวยงามโดดเด่นแตกต่างกันไป ไม่มีมนุษย์ชาติพันธุ์ใดที่ด้อยกว่าชาติพันธุ์ใดและไม่มีมนุษย์ชาติพันธุ์ใดที่มาจากลิงหรือคาบเกี่ยวกับลิง" นอกจากนี้เขายังต่อต้านทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน ว่าผิดศีลธรรมและเหยียดเชื้อชาติ
ชาร์ลส์ ดาร์วิน
ฝ่ายวาร์น่าผู้นำโอทาบังก้ามาขายให้นักวิจัยด้านมนุษยศาสตร์ในอเมริกาจัดแสดงจึงตอบโต้กลับไปว่า นิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์ไม่ได้นำโอกาบังก้ามาแสดงด้วยเหตุผลนั้น เรานำเด็กหนุ่มอัฟกันคนนั้นมาไว้ในกรงเพียงเพราะเขามีหน้าที่ดูแลสัตว์ป่าก็แค่นั้นในขณะที่ฮอลิเดย์ศาสตราตารย์ด้านมนุษยวิทยาผู้เป็นเจ้าของนิทรรการมองว่าผู้นำกลุ่มคนอัฟริกันอเมริกันเหลวไหล
เขากล่าวว่า "ถึงแม้ตัวผมเองจะเชื่อในทฤษฏีวิวัฒนาการของดาร์วินแต่ผมไม่ได้มีจุดประสงค์จะเอาเด็กหนุ่มปิ๊กมี่คนนั้นมาโขว์ในสวนสัตว์เพื่อจะเปรียบเทียบเขากับลิงมันไร้สาระ แต่ที่เขามาอยู่ที่นั้นเพราะฝูงชนอยากเห็นเขาก็เท่านั้นเอง…..เขาได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีและก็มีความสุขดี เขาฉลาดกว่าคนขาวหลายคนที่ผมรู้จักมาตลอดชีวิตด้วยซ้ำ"
ศาสตราจารย์ฮอนาเดย์กล่าวต่อไปว่านิทรรศการโชว์นี้จะยังมีต่อไปและจะล้มเลิกก็ด้วยเหตุผลเดียวคือถ้าเจ้าของปาร์คที่เขาเช่าที่ทำสวนสัตว์จะเลิกให้เช่าที่ ซึ่ง เฮนรี่ แฟร์ฟิว ออสบอน ประธานชมรมสวนสัตว์วิทยาของอเมริกาออกจะชื่นชมศาสตราจารย์ฮอนาเดย์มากและมองว่าโอทาบังก้านำชื่อเสียงมาสู่วงการนักมนุษยวิทยาอเมริกัน
ผู้นำชุมชนอัฟริกันอเมริกันแห่งนิวยอร์คจึงยื่นฟ้องเรื่องนี้ต่อGeorge Macclallen Junior นายกเทศมนตรีกรุงนิวยอร์ค ซึ่งเป็นบุตรชายของนายพลผู้ขัดแย้งกับ อับบราฮัม ลินคอร์นในช่วง Civil war ผู้ที่พยามจะชิงตำแหน่งจากประธาราธิปดี
ลินคอร์น….. เขาจึงออกมากล่าวว่าเขายอมรับว่าตัวเองเป็นพวกนิยมเชื้อชาติคนขาว และยังกล่าวเชิงดูหมิ่นอีกด้วยว่าเขาไม่ชอบกลิ่นแพะและกลิ่นพวก "นิโกร" เขาปฏิเศทที่จะออกไปพบกับตัวแทนของกลุ่มประธานคนอัฟริกันนิวยอร์คที่นำหนังสือมาร้องเรียนให้ยกเลิกนิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์
พวกประธานชุมชนคนอัฟริกันจึงนำหนังสือร้องเรียนไปพบกับ มาดิสัน กราน Madison Grant ซึ่งเป็นนักกฎหมายนักเขียนและนักสัตววิทยาชาวอเมริกันที่ดำรงค์ตำแหน่งเลขาฯของชมรมสัตววิทยา ซึ่งหารู้ไหมว่าผู้ชายคนนี้เป็นพวกเหยียดเชื้อชาติตัวยงอย่างเปิดเผยเขาเป็นคนดังในหมู่สังคมไฮโซนิวยอร์คและจบจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเป็นกรรมการ
พิพิทธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์อเมริกาและเป็นผู้ก่อตั้งสวนสัตว์มนุษย์ตัวจริง
โครงสร้างมนุษย์ในทัศนะของHeckle จากต่ำสุดไปยังสูงสุดคือ
1.) นิกิโต้ในปาปัวนิวกินี หรือฟิลิปปินส์
2.) Hottentot ในอัฟริกาพวกคอยซาน
3.) Kaffre ในคองโกอัฟริกา
4.) นิโกร คนดำในเซเนกัล แกมเบีย ไนจีเรีย
5.) ออสเตรเลียนอะบอริจิ้น
6)ชาวมาเลย์ พวกโพลีนีเชียน
7.) มองโกล ซึ่งแตกเป็นพวกสายพูดอัลแตคเช่นจีนทิเบต กับสายอูราริคเช่น ญี่ปุ่น เอเชียกลาง
8.) Homo arctic พวกเอสกีโม เนทีฟอเมริกันในอเมริกาเหนือ
9.) อเมริกันโฮโม เช่น พวกเนทีฟอินเดียนแดงทั้งหมดในอเมริการวมเหนือและใต้
10.) ชาวดราวิเดียน เช่นชาวฮินดูสถาน ซีลอน อินเดียใต้
11.) ชาวนูเบี้ยน ต้นตระกูลแขกมัวร์ อียิปต์ ซูดานเหนือ อัฟริกาตะวันออกฯ
12.) ชาวเมดิเตอร์เรเนียน -แตกไปเป็นนอร์ดิก, พวกตะวันออกกลาง ชาวอาหรับ, อัฟริกาเหนือ, ชาวยุโรปใต้, เอเชียตะวันตกเช่น อิรักอิหร่าน. อินเดียเหนือ ฯลฯ
แซมมวล ฟิลลิป วาร์น่า มีสชันนารีชาวอเมริกันได้เป็นผู้เสนอพาชนเผ่าปิ๊กมี่จากอัฟริกาไปจัดแสดงที่สวนสัตว์มนุษย์ที่อเมริกา เขาเดินทางไปที่คองโก้พร้อมอาวุธครบมือเพื่อตามหาเอาตัวชาวปิ๊กมี่ในคองโกไปจัดแสดงที่สวนสัตว์มนุษย์ที่อเมริกาตามคำขอของนักมนุษยวิทยา วิลเลี่ยม แม็คกี้
พวกปิ๊กมี่ที่ถูกนำตัวไปถูกจัดให้เป็นมนุษย์กลุ่มที่ตกscale วิวัฒนาการว่าอยู่ระหว่างการวิวัฒนาการออกจากลิงชิมแปนซีไปสู่การเป็นมนุษย์ชั่นล่างสุด ในขณะที่ชนเผ่าอื่นๆที่นำมาจัดแสดงที่นำมาจากเอเชียตะวันออกไกลและที่อื่นๆเช่น ชาวเกาะฟิลิปปินส์ ชาวเกาะไอนุฯลฯ โดนจัดอยู่ในหมวดมนุษย์วิวัฒนาชั่นล่าง
ภาพของโอทาบังก้า
เรื่องสุดสะเทือนใจได้เริ่มขึ้นในสวนสัตว์มนุษย์ หนึ่งในเด็กชายวัยรุ่นร่างเล็กชาวปิ๊กมี่นามว่า โอทาบังก้า Ota bunga
เป็นเด็กหนุ่มชาวปิ๊กมี่ที่ที่มีฟันแหลมคมทำให้เขาดูจะเป็นจุดสนใจในการถูกจับมาศึกษาเป็นพิเศษในทัศนะของแม็คกี้ เด็กชายคนนี้ไม่ได้ถูกจับมา
จากอัฟริกาเช่นเดียวกับปิ๊กมี่คนอื่นๆหากแต่มิชชันนารีวาร์น่าซื้อเขามาจากตลาดทาส…… วิลเลี่ยม แม็คกี้มองว่าลักษณะฟันที่แหลมของโอทาบังก้าเป็นตัวที่ชี้ชัดว่าชาวปิ๊กมี่เป็นพวกที่อยู่ระหว่างรอยต่อของมนุษย์และลิงชิมแปนซีและยังไม่ได้เข้าสู่คลาสความเป็นมนุษย์หมวดชั้นล่างเช่นชนชาติอื่นๆที่ถูกจัดแสดงในสวนสัตว์ และโอทาบังก้าเป็นตัวทดลองที่ทำให้ทฤษฏีนี้เห็นภาพชัดขึ้น
บรรดามนุษย์ทุกชาติพันธุ์ที่นำมาจัดแสดงจากทั่วทุกมุมโลกต่างสร้างชุมชนบ้านเรือนอยู่ภายในสวนสัตว์มนุษย์ที่จะมีลูกกรงเหล็กกั้นไว้และมีสะพานแคบๆให้บรรดาชาวผิวขาวเดินเข้าไปดู สำหรับชาวปิ๊กมี่ที่ถูกจับมาแสดงที่นี้พวกเขาถูกปฏิบัติแย่ยิ่งกว่าชนเผ่าอื่นๆที่ถูกจัดเป็นมนุษย์สายพันธุ์ชั้นล่างเพราะชาวปิ๊กมี่ถูกมองเป็นเพียงแค่มนุษย์วานรเท่านั้น ชาวผิวขาวบางคนเอาร่มแหย่ไปที่ตัวของพวกเขาไม่ต่างจากที่ทำแบบเดียวกันกับลิงชิมแปนซีที่ชาวปิ๊กมี่อุ้มอยู่ บางคนหัวเราะ แลบลิ้น ใส่พวกเขา
หลังจากจบการแสดงนิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์ในครั้งนั้น
แซมมวล วาร์น่าได้นำชนเผ่าปิ๊กมี่ที่เขานำมาแสดงกลับสู่
อัฟริกาแต่แล้วในปี1906ก็นำโอทาบังก้าเด็กหนุ่มปิ๊กมี่ที่มีฟันแหลมกลับไปที่อเมริกาอีกโดยเรือขนส่งของอังกฤษ เขาเดินทางไปครั้งนั้นกับสัตว์ป่าอื่นๆที่ถูกจับมาได้จากอัฟริกาเช่น ลิงชิมแปนซี นกแก้ว และ งู ฯลฯที่จะถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิทธภัณฑ์นิวยอร์ครวมทั้งตัวโอทาบังก้าด้วย ที่นั้นเขาได้ถูกปล่อยให้เป็นอิสระมากขึ้นได้เดินเล่นดูสิ่งต่างๆในพิพิทธภัณฑ์แต่แล้วไม่นานเจ้านายผู้นำเขามา แซมมวล วาร์น่าก็ได้ย้ายเขาไปแสดงอีกที่หนึ่งคือสวนสัตว์มนุษย์ bronx zoo เพราะเจ้านายผู้นำเขามาเกิดทะเลาะกับพิพิทธภัณฑ์เรื่องลิกขสิทธิ์ในตัวโอทาบังก้า
ที่สวนสัตว์มนุษย์ bronx zoo มีผู้อำนวยการคือ วิลเลี่ยม เทมเพิล ฮอนาเดย์ William Temple Hornaday เขาเป็นนักสวนสัตว์วิทยาและทำงานร่วมกับสมิทโซเนียนและเป็นประธานร่วมกับ Henry Fairfield Ausbon เฮนรี่ แฟร์ฟิว ออสบอน ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่สวนสัตว์นี้ไม่ได้มีแค่สัตว์แต่จะมีการจัดแสดงมนุษย์ชนเผ่าอื่นด้วยเช่นอินเดียนแดงพื้นเมืองแต่ก่อนจะทำเช่นนั้นพวกเขาวางแผนที่จะแสดงโชว์เด็กหนุ่มชาวปิ๊กมี่ โอทาบังก้าก่อนโดยการนำเขาใส่กรงเดียวกันกับลิงชิมแปนซีและติดป้ายไว้ว่า
โอทาบังก้าอัฟริกันปิ๊กมี่อายุ23ปีความสูง4ฟุต11นิ้ว หนัก103ปอน นำมาจากแม่น้ำ คาไซ kasai
มีการลงข่าวในหนังสือพิมพ์ชวนเชิญให้ชาวเมือง
มาดูหนุ่มปิ๊กมี่คนนี้ซึ่งกลายเป็นว่าเจ้าของสวนสัตว์และพรรคพวกทำเงินมหาศาลเพราะมีประชาชนครึ่งล้านแห่กันมาดูโอทาบังก้า
Reverend Robert Stuart MacArthur รีเวอร์เรน โรเบิร์ต สจ๊วต แม็คอาเธอร์ เพสเตอร์ผู้เป็นผู้นำแห่งโบสถ์เบพตีสที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริการู้สึกไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับสวนสัตว์มนุษย์ท่านกล่าวว่ามันเป็นการดูถูกท่านพอๆกับการดูถูกชนชาติที่ถูกนำมาแสดงคือการหมิ่นศีลธรรมความเป็นมนุษย์ แทนที่จะสร้างสัตว์ร้ายจากเด็กชายคนนี้(โอทาบังก้า) เขาควรจะถูกส่งไปโรงเรียนเช่นเดียวกับเด็กผู้ชายคนอื่นๆ ท่านเพสเตอร์แห่งโบสถ์เบพตีสกล่าว
ฝ่ายประธานแห่งชุมชนอัฟริกันอเมริกันแห่งกรุงนิยอร์คได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแย่กับการกระทำของพวกนักวิทยาศาสตร์ที่ก่อตั้งสวนสัตว์มนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เขาได้ก่อตั้งกลุ่มต่อต้านสวนสัตว์มนุษย์ขึ้นและเข้าไปเยี่ยมโอทาบังก้าในสวนสัตว์
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือเด็กหนุ่มผิวดำตัวเล็กๆคนหนึ่งที่มีท่าทางขี้อายต่อเสียงโห่ร้องขว้างปาและล้อเลียนของบรรดาพวกคนขาวที่เข้ามาดูเขาที่นิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์ ประธานแห่งชุมชนคนผิวดำอเมริกันได้บอกให้ทางนักวิจัยเหล่านี้นำเด็กหนุ่มออกจากสวนสัตว์และส่งไปโรงเรียนเสีย
เจมส์ เอช กอร์ดอน supervisor ของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในความเมตตาของศาสนาคริตส์ในเมืองบรุคลินได้ยื่นฟ้องสวนสัตว์มนุษย์ให้หยุดการนำเสนอเด็กหนุ่มอัฟริกันปิ๊กมี่โอทาบังก้าในแง่ที่เหยียดชาติพันธุ์เช่นนั้น เขากล่าวว่า
"นี้คือดินแดนของคริสเตียนในนามของศาสนาคริตส์มนุษย์ทุกคนเป็นฝีพระหัตถ์การสร้างของพระเจ้าและมีความสวยงามโดดเด่นแตกต่างกันไป ไม่มีมนุษย์ชาติพันธุ์ใดที่ด้อยกว่าชาติพันธุ์ใดและไม่มีมนุษย์ชาติพันธุ์ใดที่มาจากลิงหรือคาบเกี่ยวกับลิง" นอกจากนี้เขายังต่อต้านทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน ว่าผิดศีลธรรมและเหยียดเชื้อชาติ
ชาร์ลส์ ดาร์วิน
ฝ่ายวาร์น่าผู้นำโอทาบังก้ามาขายให้นักวิจัยด้านมนุษยศาสตร์ในอเมริกาจัดแสดงจึงตอบโต้กลับไปว่า นิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์ไม่ได้นำโอกาบังก้ามาแสดงด้วยเหตุผลนั้น เรานำเด็กหนุ่มอัฟกันคนนั้นมาไว้ในกรงเพียงเพราะเขามีหน้าที่ดูแลสัตว์ป่าก็แค่นั้นในขณะที่ฮอลิเดย์ศาสตราตารย์ด้านมนุษยวิทยาผู้เป็นเจ้าของนิทรรการมองว่าผู้นำกลุ่มคนอัฟริกันอเมริกันเหลวไหล
เขากล่าวว่า "ถึงแม้ตัวผมเองจะเชื่อในทฤษฏีวิวัฒนาการของดาร์วินแต่ผมไม่ได้มีจุดประสงค์จะเอาเด็กหนุ่มปิ๊กมี่คนนั้นมาโขว์ในสวนสัตว์เพื่อจะเปรียบเทียบเขากับลิงมันไร้สาระ แต่ที่เขามาอยู่ที่นั้นเพราะฝูงชนอยากเห็นเขาก็เท่านั้นเอง…..เขาได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีและก็มีความสุขดี เขาฉลาดกว่าคนขาวหลายคนที่ผมรู้จักมาตลอดชีวิตด้วยซ้ำ"
ศาสตราจารย์ฮอนาเดย์กล่าวต่อไปว่านิทรรศการโชว์นี้จะยังมีต่อไปและจะล้มเลิกก็ด้วยเหตุผลเดียวคือถ้าเจ้าของปาร์คที่เขาเช่าที่ทำสวนสัตว์จะเลิกให้เช่าที่ ซึ่ง เฮนรี่ แฟร์ฟิว ออสบอน ประธานชมรมสวนสัตว์วิทยาของอเมริกาออกจะชื่นชมศาสตราจารย์ฮอนาเดย์มากและมองว่าโอทาบังก้านำชื่อเสียงมาสู่วงการนักมนุษยวิทยาอเมริกัน
ผู้นำชุมชนอัฟริกันอเมริกันแห่งนิวยอร์คจึงยื่นฟ้องเรื่องนี้ต่อGeorge Macclallen Junior นายกเทศมนตรีกรุงนิวยอร์ค ซึ่งเป็นบุตรชายของนายพลผู้ขัดแย้งกับ อับบราฮัม ลินคอร์นในช่วง Civil war ผู้ที่พยามจะชิงตำแหน่งจากประธาราธิปดี
ลินคอร์น….. เขาจึงออกมากล่าวว่าเขายอมรับว่าตัวเองเป็นพวกนิยมเชื้อชาติคนขาว และยังกล่าวเชิงดูหมิ่นอีกด้วยว่าเขาไม่ชอบกลิ่นแพะและกลิ่นพวก "นิโกร" เขาปฏิเศทที่จะออกไปพบกับตัวแทนของกลุ่มประธานคนอัฟริกันนิวยอร์คที่นำหนังสือมาร้องเรียนให้ยกเลิกนิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์
พวกประธานชุมชนคนอัฟริกันจึงนำหนังสือร้องเรียนไปพบกับ มาดิสัน กราน Madison Grant ซึ่งเป็นนักกฎหมายนักเขียนและนักสัตววิทยาชาวอเมริกันที่ดำรงค์ตำแหน่งเลขาฯของชมรมสัตววิทยา ซึ่งหารู้ไหมว่าผู้ชายคนนี้เป็นพวกเหยียดเชื้อชาติตัวยงอย่างเปิดเผยเขาเป็นคนดังในหมู่สังคมไฮโซนิวยอร์คและจบจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเป็นกรรมการ
พิพิทธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์อเมริกาและเป็นผู้ก่อตั้งสวนสัตว์มนุษย์ตัวจริง
แสดงความคิดเห็น
สวนสัตว์มนุษย์ประวัติศาสตร์การเหยียดมนุษย์ที่สุดในมนุษยชาติ
ภาพเด็กหญิงชาวผิวดำในสวนสัตว์มนุษย์ที่ยุโรป
ชาร์ลส์ ดาวิน ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักชื่อของเขา เขาเป็นนักธรรมชาติวิทยา นักธรณีวิทยาและ นักชีววิทยาชาวอังกฤษ เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในผลงานเรื่องทฤษฏีวิวัฒนาการของมนุษย์และสัตว์
หลังจากดาร์วินตีพิมพ์หนังสือเรื่อง The origin of species ทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาพร้อมหลักฐานที่น่าสนใจในหนังสือปี 2402 งานวิจัยของเขาก็ได้เกิดผลกระทบต่อมนุษยชาติอย่างมหาศาลราวกับห่วงโซ่ หนังสือของดาร์วินทำให้ชาวผิวขาวในยุโรปและอเมริกาต้องการจะตีแผ่แนวคิดนี้เป็นเหตุให้มีการจัดแสดงนิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์ขึ้นมากมายทั้งในยุโรปและอเมริกา หนึ่งในสวนสัตว์มนุษย์ที่ชื่อดังและมีผลกระทบต่อมนุษยชาติการเหยียดสีผิวและเชื้อชาติที่สุดเริ่มจากนิทรรศการ Louise world's fair ซึ่งในเวลานั้นไม่ได้มีแค่สวนสัตว์มนุษย์ที่มีการโชว์คนแปลกๆเช่น เด็กสาวชาวอาเซียนที่เป็นโรคทำให้มีขนขึ้นตามตัวเหมือนลิง หรือชายอัฟริกันที่มีศรีษะยาวและใหญ่โตกว่าคนทั่วๆไปซึ่งถูกนำไปเปรียบเทียบกับหัวของลิงชิมแปนซี….. แต่ที่งาน Louise world's fair ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเช่นมีสวนสวยแบบโรมันโบราณ สวนสนุกและลานขายของกิน, ข้าวของ, ไอสครีม และ ร้านอาหาร ฯลฯ แต่ในงานก็มีส่วนที่ทำเป็นสวนสัตว์มนุษย์ขนาดใหญ่
จุดประสงค์ของสวนสัตว์มนุษย์คือการตีแผ่ทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ดาร์วินและเรื่องราวในงานเขียน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำสวนสัตว์มนุษย์ในอเมริกาคือหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์และนักมนุษยวิทยาชื่อดังของอเมริกา William Macgee
วิลเลี่ยม แม็คกี้ ผู้มีตำแหน่งรักษาการประธานองค์กรความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของอเมริกา Advance association of science of America มีการจัดแสดงชนชาติพื้นเมืองนับ1000 ชนเผ่าที่มีการนำลงเรือมาจากต่างประเทศเพื่อแสดงการเรียงลำดับวิวัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่การวิวัฒนาการออกจากลิงชิมแปนซีมายังมนุษย์
มีชนเผ่ามากมายที่จัดแสดงและมีหมู่บ้านตามแบบชนเผ่าของตัวเองแบ่งเขตกันในส่วนต่างๆของสวนสัตว์ อาทิเช่น ชาวไอนุจากเกาะญี่ปุ่น, ชาวพาทาโกเนียนจากอเมริกาใต้, ชนเผ่าปิ๊กมี่ในอัฟริกา, ชาวพื้นเมืองฟิลิปปินส์ ฯลฯ แม็คกี้ต้องการจะลำดับให้เห็นแผนผังของชาติพันธุ์มนุษย์แต่ละกลุ่มตั้งแต่พวกที่จัดอยู่ในกลุ่มชนชาติมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการทางร่างกาย,ความฉลาดและวัฒนธรรม ฯลฯ ต่ำที่สุดไปยังลำดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จัดกลุ่มให้คนอัฟริกัน ปิ๊กมี่และฮ็อตเต้นตอท hottentot และ คนพื้นเมืองออสเตรเลีย
อะบอริจิ้นเป็นกลุ่มที่ไม่จัดว่าอยู่ในกลุ่มชั้นต่ำสุดของscale มนุษย์แต่เป็นพวกที่แย่ยิ่งกว่า เพราะอยู่ก่ำกึ่งระหว่างมนุษย์วานรคือลิงที่กำลังคาบเกี่ยววิวัฒนาการที่จะเป็นมนุษย์และจัดว่าเป็นพวกวิวัฒนาการสูงในscaleของลิงชิมแปนซี แต่ตกscaleในวิวัฒนาการของมนุษย์
Ernest Heckle หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยาชื่อดังของเยอรมันในศตวรรษที่19-20สนับสนุนงานวิจัยวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน และดาร์วินเองก็ส่งเสริมไอเดียของแฮ็คเคิลแฮ็คเคิลเป็นคนที่วาดรูปสวย เขาเดินทางท่องเที่ยวมากมายไปหลายประเทศทั่วโลกและได้เขียนผังแสดงลำดับชั้นวิวัฒนาการของชนชาติต่างๆทั่วโลก
จากผังลำดับขั้นของมนุษย์โดย Haeckle เขามีความเห็นต่างจากดาร์วินอย่างหนึ่งตรงที่ดาร์วินเชื่อว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิงและค่อยๆกลายเป็นคนดำในอัฟริกา ในขณะที่ Haeckle เชื่อว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิงแล้วค่อยกลายเป็นชาวอาเซียนพื้นเมืองผิวดำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นพวกปาปัวนิวกีนี้และเกาะฟิลิปปินส์ที่ถือว่าเป็นคนดำ Nigito ประเภทหนึ่ง
ในขณะที่แฮ็คเคิลเชื่อว่า ต้นตระกูลชาวยุโรปได้เริ่มเกิดขึ้นครั้งแรกที่อินเดีย เขาเคยเดินทางไปหลายประเทศในเอเชียรวมทั้งอินเดียใต้เพื่อเก็บข้อมูลทางกายวิภาคของวิวัฒนาการมนุษย์แต่ละชนชั้นรวมทั้งตระกูลภาษาและศิลปะวัฒนธรรมเพื่อเรียงลำดับวิวัฒนาการของมนุษย์ เขาได้วาดภาพเรือนร่างเปลือยเปล่าของชายชาวฮินดูทมิฬผิวสีน้ำตาลจากชนชั้นที่อยู่ล่างสุดของระบบวรรณะในอินเดียที่ใส่เพียงผ้าขาวม้าแต่ เฮ็คเคิลกล่าวว่า
: มันเป็นอะไรที่แปลกเมื่อดูเผินๆชายฮินดูทมิฬคนนี้ก็ไม่ต่างจากคนเถื่อนทั่วๆไปแต่พอพิจารณาลายละเอียดในเรือนร่างชัดๆของเขาคนพวกนี้พวกเขาสืบทอดเชื้อสายเดียวกันกับชาวเมดิเตอร์เรเนียนเหมือนๆกับชาวยุโรปทั่วๆไป พวกเขาเป็นชาวอารยันเช่นกัน
เฮ็คเคิลปฏิเศทที่จะกรุ๊ปชาวอินเดียใต้(ทมิฬ) เป็นกลุ่มเดียวกับพวกมนุษย์ที่จัดอยู่ในชาติพันธ์ุชั้นล่าง ในทางกลับกับเฮ็คเคิลกล่าวว่า ชาวทมิฬจากอินเดียใต้พวกนี้มีริมฝีปากที่สวยมีรอยหยักได้รูป และดวงตาสีเข้มที่เป็นประกายสวยงามแต่ผิวคร้ำเพราะแสงแดดที่แรง แต่โดยรวมแล้วพวกเขาคือชาวอารยันไม่ต่างจากชาวยุโรป เขาได้พบความเชื่อมโยงกับภาษาของชาวอินเดียที่เชื่อมโยงกับชาวยุโรปและรู้สึกทึ่งในสถาปัตยกรรมของอินเดียเป็นอันมาก