หมอตำแย

สวัสดีค่ะ พี่ๆ เพื่อนๆ ทั้งหลาย
วันนี้เรามีเรื่องประสบการณ์ด้านมืดบางอย่าง มาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังกัน 
มันเป็นความเชื่อของคนสมัยโบราณ ที่สืบทอดกันมาเนิ่นนานจากรุ่นสู่รุ่น
ที่เราเองได้เข้าไปสัมผัสกับมันโดยไม่รู้ตัว

ย้อนกลับไปสมัยที่เรายังเป็นเด็ก ครอบครัวเรามีอาชีพทำนา
ฐานะทางบ้านตอนนั้นถือว่ายากจนค่ะ
แต่ไม่เคยถึงขั้นต้องอดมื้อกินมื้อหรอกนะคะ
เพราะสมัยก่อน ในน้ำมีปลาในนามีข้าว
เงินทองแทบไม่จำเป็นสำหรับครอบครัวเราเลย
เราอยู่กับพ่อแม่ ยาย แล้วก็พี่สาว กับ เจ้าตูบ และควายอีก 4ตัว
บ้านที่เราอยู่ ก็เป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง ไม่มีไฟฟ้าใช้
ปลูกห่างจากบ้านหลังอื่นๆในละแวกนั้น พอสมควร

มีครั้งหนึ่ง ช่วงที่เรายังไม่เดียงสามากนัก น่าจะสักสี่ ห้าขวบ 
ในหน้าแล้ง น้ำในบ่อที่บ้านเรามันแห้งจนไม่มีน้ำใช้
ทำให้พี่สาวกับแม่ต้องไปหาบน้ำจากบ่อน้ำท้ายหมู่บ้าน มาไว้ใช้อาบในบ้าน
ระยะทางก็ไกลพอสมควร น่าจะเกือบๆกิโลหนึ่งได้
เราตามแม่กับพี่สาวไปด้วย
ขาไป เราก็นั่งรถเข็นน้ำไป 
พอไปถึง ก็มีคนมาตักน้ำที่บ่อนั้น
คิวยาวพอสมควร จนพวกเราต้องรอนานเลย
กว่าจะตักน้ำได้ก็เย็นมากแล้ว
คนอื่นๆก็กลับกันหมด เหลือเรากับแม่กับพี่สาว
พอได้น้ำแล้วแม่ก็เข็นรถใส่น้ำเดินนำหน้าไป
พี่สาวก็หาบน้ำเดินตามหลัง
มีเราเดินตาม แล้วก็พูดจ้อไปเรื่อยตามประสาเด็กเล็ก
พอไปถึงประมาณช่วงครึ่งทาง
ตรงนั้นมีต้นไม้ใหญ่ สูงเด่นอยู่ข้างทาง
มีเสียงจั๊กจั่น ร้องดังระงม บรรยากาศเริ่มสะโหลสะเหลมากแล้ว
พี่สาวรีบเดินไปหยุดพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั่น
ส่วนแม่ก็เข็นรถน้ำเดินไปก่อน ไม่ได้หยุด

เราเห็นพี่สาวหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ ก็เข้าไปคุยเล่นกับพี่สาว
แล้วเราก็เดินเล่นอยู่รอบๆต้นไม้ใหญ่นั้นแบบเด็กที่หาอะไรเล่นซนไปเรื่อย
เรานั่งยองๆเล่น เอาไม้เขี่ยอะไรที่พื้นดินอยู่หลังพุ่มไม้
สักพักได้ยินเสียง รองเท้าแตะเสียดสีกับฝ่าเท้าดัง เอี๊ยด เอี๊ยด ถี่ๆ
เรารีบยืน ชะโงกหน้าไปดู 
เห็นพี่สาวเราหาบน้ำเดินไป แบบคนรีบๆ  
เราก็ งง มาก
ทำไมต้องรีบเดินจ้ำอ้าว แบบนั้น 
แค่นึกเท่านั้นแหละไม่ทันได้ พูดอะไร
เราก็รู้สึกว่า เหมือนต้นไม้มันสั่นๆ
พอรีบแหงนหน้าขึ้นไปมองบนต้นไม้  ก็ปรากฏว่า 
เห็นต้นไม้มันเขย่าๆ เหมือนคนเหยียบกิ่งไม้แล้วเขย่าแรงๆ
ใบไม้ก็ร่วงลงมาเป็นสาย ตามแรงเขย่า 
แต่เรามองยังไง ก็ไม่เห็นใครอยู่บนนั้นค่ะ
พอเห็นต้นไม้มันเขย่าแรงขึ้น ทั้งๆที่ต้นอื่นๆก็ไม่มีลมพัดกระดิกเลย
ขนแขนเราลุกตั้งเลยตอนนั้น
รีบร้องลั่น วิ่งตามพี่สาวไปอย่างไว 
จนเราแซงพี่สาวแล้วก็รีบวิ่งไปเกาะที่แขน แม่ 
แต่แม่ไม่ถามว่าร้องทำไม
เราก็ได้แต่เงียบเกาะแขนแม่ไว้แน่นไปตลอดทาง

นั่นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เรารู้สึกกลัวผีขึ้นมาแบบเฉียบพลัน
เหตุการณ์ครั้งนั้น
ผ่านไปโดยที่เราไม่ได้รู้อะไรมากนักกับสิ่งที่เราได้พบเจอที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น
แต่เราจดจำบรรยากาศและภาพที่เห็นในวันนั้นได้อย่างชัดเจน
จนเราโต พี่สาวก็ถึงเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังโดยบังเอิญว่า
วันนั้นที่แก รีบหาบน้ำเดินหนีจากตรงนั้น เพราะแกเห็นต้นไม้มันเขย่า
แล้วพอมองไปบนต้นไม้ก็ไม่เห็นใคร แกก็เลยรีบหนีเลย
พอมาถึงบ้าน แม่ก็ถึงเล่าให้พี่สาวฟังว่า ตรงนั้น พึ่งมีคนไปผูกคอตายใส่ 
อ๋อ เรื่องก็เป็นแบบนี้นี่เอง 

เล่ามาสะยาวเลย ยังไม่เข้าเรื่องสักที 
มาเข้าเรื่องกันเลยค่ะ
ช่วงที่เราอยู่ ป.5 เป็นช่วงที่แม่เรากำลังตั้งท้องแก่ๆค่ะ
วันนั้นพ่อไม่ได้อยู่บ้าน
เพราะออกไปรับงานไสไม้ ที่ต่างหมู่บ้าน กับกลุ่มเพื่อนๆ
ช่วงประมาณ สี่ทุ่ม แม่ก็ปวดท้องน้ำเดิน  
คือทุกคนไม่คิดว่า แม่จะปวดท้องในคืนนั้น 
พอยายรู้ว่าแม่น้ำเดินแล้ว ยายก็ให้พี่สาวไปต้มน้ำ  
ยาย จัดแจงให้แม่ไปนอนที่มุมบ้านติดกับหน้าต่าง
เอาผ้าขาวม้ามาผูกกับเสา แล้วก็ให้แม่ดึงไว้
แล้วยายก็เข้าไปในครัว เอาไม้ไผ่ที่ยายเหลาไว้เป็นแผ่นเท่าฝ่ามือ
ออกมาจากในครัว  
แล้วยายก็ทำคลอดให้แม่ค่ะ
เราก็พึ่งรู้ตอนนั้น ว่ายาย เป็นหมอตำแย 
พี่สาวเรา ยายก็เป็นคนทำคลอดให้

เราตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นมาก จนทำอะไรไม่ถูก
เสียงแม่ร้อง โอ๊ย โอ๊ย  ประสานกับเสียง ยายที่บอกว่า เบ่งอีก เบ่งอีก
ยื้อกันอยู่อย่างนั้น
สักพักใหญ่ แม่ก็คลอดน้องออกมา 
เป็นเด็กผู้ชายค่ะ

ยายก็เอาแผ่นไม้ไผ่ตัดสายสะดือ 
ก่อนจะจัดแจงทุกอย่างไปตามขั้นตอน ของยาย 
สุดท้ายเราเห็นยาย โกยเอาอะไรบางอย่างใส่ลงไปในหม้อดิน
ยายเอาผ้าพันน้องเราแล้วก็เอาไปวางไว้ข้างๆแม่ 
ก่อนที่แกจะลุกขึ้น ถือหม้อดิน ไว้ในมือ
แล้วก็บอกกับเรากับพี่สาว
พวกเอ็งดูแม่แกไปก่อนนะ เดี๋ยวยายมา

เราก็รีบเข้าไปดูน้องตัวแดง ใกล้ๆ 
แม่ก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ ว่าเรามาเล่นกับน้อง
พี่สาวก็เก็บข้าวของต่างๆที่เอามาทำคลอดให้แม่ 

เห็นพี่สาวเดินเก็บโน่นเก็บนี่ไปมาอยู่พักหนึ่ง
เราก็สงสัยว่า เอ ทำไมยาย หายไปนานจัง 
มืดๆค่ำๆ สายตาของยายก็ยิ่งไม่ค่อยดีอยู่ 

เราก็เลยคิดว่าจะลงไปดูยายสักหน่อย ว่าหายไปทำอะไร
พอเดินลงบันไดหน้าบ้านไป มองไปใต้ถุนบ้านมันมืดมาก
ตอนแรกกะว่า จะเดินขึ้นไปเอาไฟฉายมาส่องทาง
แต่มองไปตรงหลังบ้านไม่ไกล  เห็นแสงตะเกียง ส่องมารางๆ
พอเพ่งมองดูดีๆ ก็เห็นหลังยายนั่งยองๆทำอะไรอยู่ ตรงข้างๆตะเกียงนั้น
เราก็เลยตัดสินใจเดินทะลุใต้ถุนบ้านไปหายาย 

พอเดินไปใกล้ๆยาย เราก็ถามว่า ยายทำอะไร
พูดจบ ยายก็รีบหันขวับมาอย่างไว
พอยายหันมา ตัวเราก็ชาไปทั้งร่างแบบไม่รู้ตัวเลยค่ะ
เห็นยายมีแต่ตาขาว เบิกโพง จ้องมาตาถล่น
หน้ายายมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นทั่วใบหน้า 
มีสายสะดือกับรกค้างอยู่ในปาก เลือดเลอะติดแก้ม
เคี้ยวรกนั้นไปมา จับจับ จับจับ

เราร้อง ลั่นขึ้นมาจนเป็นลม สลบไปเลยค่ะ

มารู้ตัวอีกที ก็นอนอยู่ในมุ้งกับพี่สาวแล้ว
พอรู้ตัวเราก็ รีบกอดพี่สาวไว้แน่น เลยตอนนั้น 

ตื่นเช้ามา  
พี่สาวก็มาเล่าให้ฟังว่า 
ยายมาตามให้ไปช่วยเราที่นอนสลบอยู่ข้างล่าง
ยายบอกว่าที่เราสลบ สงสัยคงเห็นงู 

เล่าจบพี่สาวก็ถามว่า แล้วตกลงเห็นอะไรถึงได้กลัวขนาดนั้น
ตอนนั้นยายก็นั่งอยู่ด้วย 
เราเลยไม่กล้าเล่า 
ก็เลยบอกว่า ก็กลัว งู อย่างที่ยายบอกนั้นแหละ

ตั้งแต่นั้นมาเราไม่กล้าเข้าใกล้ยายเราอีกเลย 
แต่แกก็พูดกับเราปกติทุกอย่าง 
เวลาใช้เรา หยิบโน่น หยิบนี่ให้   
เราก็ทำให้ แก
แต่เราก็จะพยายามเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้ๆแก

จนผ่านไปหลายปี ยายก็เสียชีวิตลงค่ะ
เราก็บอกไม่ถูก ว่าเราจะดีใจหรือเราจะเสียใจดี
เพราะภาพในคืนนั้นมันยังหลอนติดตาเราอยู่
เราไม่รู้ว่าทำไมยายถึงเป็นแบบนั้น 
แต่เราก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังค่ะ

จนกระทั่งเราเรียนจบ และเริ่มทำงาน
ช่วงทำงานใหม่ๆ พ่อเราก็เสียไปอีกคน
 ก็เลยเหลือแค่ แม่กับพี่สาว แล้วก็น้องชาย อีกคนที่อยู่บ้าน
ส่วนเรา พอออกมาทำงานแล้ว นานๆครั้งเราถึงจะแวะไปเยี่ยมแม่บ้าง
พอเรามีแฟนและท้อง เราถึงได้กลับไปอยู่  บ้านแม่
และช่วงนี้นี่เอง ที่ทำให้เราได้รู้ความจริงว่า 
ทำไมยายเราถึงเป็นแบบนั้น

โปรดติดตามตอนต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่