จอร์ช สตินนี่ เด็กผู้ชายผิวดำที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่โดนจับนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าทั้งที่บริสุทธิ์



พอดีมีเพื่อนชาวฮีสปานิคนในเฟซบุ๊คแชร์เรื่องนี้มาแล้วเรารู้สึกมันน่าสะเทือนใจมากๆเลยเอามาแปลให้ฟังกัน

และเข้าใจเลยว่าทำไมคนผิวดำจึงมีความเซนซิทีฟกับเรื่องแบบนี้มาก

ในปี1944 จอร์ช สตินนี่ George Stinney วัยเพียง14ปี เป็นเด็กผู้ชายอัฟริกันที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่และน้องสาวอายุ8ขวบคือ แอมมี่ Amie และญาติๆในบ้านของบริษัทที่พ่อแม่ทำงานด้วยในชุมชนที่ทำโรงเลื่อยและไร่ฝ้ายในเมือง Alcolu ในรัฐ South Carolina โดยมีทางรถไฟตัดผ่านตรงกลางป่าที่แบ่งแยกชุมชนคนขาวออกเป็นฝั่งหนึ่งและชุมชนคนดำอยู่อีกฝั่งหนึ่ง…… ในสมัยนั้นทั้ง โบสถ์ โรงเรียน ฯลฯของทั้งคนดำและคนขาวจะอยู่แยกกันแม้แต่บาทหลวงและครูที่สอนหนังสือเด็กก็จะแยก



แม่ของจอร์ชเป็นแม่ครัวที่โรงเรียนเด็กผิวสีส่วนพ่อทำงานเป็นช่างโรงสี….. ทุกเช้าพ่อแม่ของจอร์ชจะไปทำงานในขณะที่เด็กทั้งสองก็ช่วยทำงานโดยการเอาวัวของนายจ้างชาวผิวขาวไปเลี้ยงในทุ่งในยามเช้าท้ามกลางปุยละอองของฝ้ายที่ปลิวคลุ้งสวยงามตัดกับขอบฟ้า

แต่แล้วชีวิตของจอร์ชก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อในวันหนึ่งที่เขาและน้องสาวได้พาวัวของเจ้านายผิวขาวไปกินหญ้าริมทางรถไฟ ระหว่างนั้นเองเป็นเวลาเลิกเรียนในตอนเย็นก็มีเด็กผู้หญิงฝรั่งสองคนกลับจากโรงเรียนพร้อมจักรยานที่ผ่านมาทางที่จอร์ชและน้องเลี้ยงวัวอยู่ เด็กผู้หญิงผิวขาวคนที่อายุ11ขวบชื่อว่าเบ็ตตี้ จูน บินนิคเกอร์ Betty June Binnicker เป็นเด็กผู้หญิงผมหยักศกสีทอง ส่วนเด็กผู้หญิงอีกคนอายุแค่7ขวบเธอชื่อว่า แมรี่ เอมมา ทาเมส Mary Emma Thames เป็นเด็กหญิงผมสีน้ำตาล ซึ่งมาด้วยกัน ทั้งสองหยุดถามจอร์ชและน้องสาวว่าแถวนั้นมีดอกเมย์ป็อปอยู่ตรงไหนเพราะพวกเธออยากจะไปเก็บดอกไม้ท้องถิ่นนี้ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ผลิตผลไม้รสชาติอร่อยซึ่งนำไปทำขนมกินได้และเด็กๆที่โรงเรียนนิยม

เบ็ตตี้ จูน วัย 11ขวบ



แต่ทั้งจอร์ชและแอมมี่น้องสาวไม่รู้จึงแค่ตอบไปว่า พวกเขาไม่รู้หลังจากนั้นเด็กหญิงทั่งสองก็ปั่นจักรยานผ่านไป
เรื่องราวดูจะมีเพียงเท่านี้ หากไม่เป็นเพราะจอร์ชเป็นคนซื่อเขาก็คงไม่ถูกเอี่ยวเข้าไปกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเพราะในเย็นวันนั้นเด็กผู้หญิงคนขาวทั้งสองคนไม่ได้กลับไปบ้านทำให้พ่อแม่ของพวกเธอต้องเกณฑ์คนในชุมชนช่วยกันตามหาในขณะที่พ่อแม่ของจอร์ชมีงานเลี้ยงสังสรรค์อยู่ในเขตชุมชนคนผิวสีที่อีกฟากของทางรถไฟและจอร์ชกับน้องอยู่ที่บ้านในเย็นวันนั้นลูกพี่ลูกน้องวัยใกล้เคียงกันกับจอร์ชได้มาเล่นที่บ้านและนอนค้างที่บ้านของพวกเขา 

แมรี่ เอมมา 7 ขวบชุดชมพู



กลุ่มค้นหาเด็กหายชาวผิวขาวนับ200คนได้ไปที่งานเลี้ยงในชุมชนคนผิวสีที่พ่อกับแม่ของจอร์ชไปร่วมเพื่อบอกให้ช่วยตามหาซึ่งถ้าไม่เป็นเพราะว่าจอร์ชบอกกับพ่อแม่ว่าเขาเห็นเด็กผู้หญิงผิวขาวสองคนปั่นจักรยานมาแล้วถามว่าหาดอกเมย์ป็อปว่าเจอได้ที่ไหน ป่านนี้จอร์ชก็คงไม่ต้องเข้าไปเอี่ยวในคดีนี้

พวกเขาพยามค้นหาเด็กหญิงผิวขาวทั่งสองคนจนเช้าตรู่ในเช้าวันรุ่ง จอร์ช เบิร์ค ซีเนียร์ หัวหน้าโรงเลื่อยไม้ได้ให้คนงานออกตามหาจนในที่สุดกลุ่มของพวกเขาก็พบเด็กหญิงทั้งสองเสียชีวิตอยู่ในคูน้ำบริเวณป่าโดยมีจักรยานที่พวกเธอปั่นทับร่างไว้



 บ่ายวันนั้นจอร์ชและแอมมี่กลับมาบ้านกับจอห์นนี่ลูกพี่ลูกน้องที่มานอนค้างด้วยเมื่อคืน เพราะจอห์นนี่มาเยี่ยมบ้านของคุณยายในเมืองไพน์วู้ดใกล้ ๆ  พ่อแม่ของจอร์ชและแอมมี่ออกไปข้างนอกและชาร์ลส์ญาติที่อยู่บ้านเดียวกันไปร้านเสริมสวยกับ
แคทเธอรีนน้องสาว
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
ยกเลิกโทษประหาร กลัวแต่คนร้ายถูกประหาร แล้วคนร้ายฆ่าคนอื่นมันไม่น่ากลัวเหรอครับ
ที่ผ่านมาไม่นานก็จ่าคลั่ง ฆ่าไปกี่ศพ ทั้งเด็กทั้งผู้หญิง, ผอ.ปล้นร้านทอง ยิงไปกี่คน

การพิจารณาคดี เขาก็ไม่ได้พิจารณากันชุ่ยๆ นะครับ ไม่ใช่ว่าจะยัดข้อหาใครก็ยัดได้
นิติวิทยาศาสตร์ก็มี วิทยาศาสตร์ก็มี กล้องวงจรปิดก็มี ตรวจ DNA ก็มี มันต้องมีพยานชัดทั้งหลักฐานและบุคคลถึงจะตัดสินได้
อย่าไปเทียบกับสมัยโบราณ ที่คนยังไม่มีเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้า
ทุกวันนี้ขนาดมีโทษประหาร คนยังปล้นฆ่าข่มขืนกันรายวัน

ผมว่าอย่าห่วงเรื่องพิจารณาคดีเลย ห่วงเรื่องสภาพสังคมในปัจจุบันก่อนดีกว่า ถ้าสังคมมันเหลวแหลกแบบนี้
คนฆ่ากันเอง มันน่ากลัวกว่าการประหารนักโทษเยอะ ขนาดการวิสามัญฆาตกรรมยังจำเป็นเลย
ถ้าหากอยู่เหตุการณ์คับขันที่มันอันตรายต่อชีวิตประชาชน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่