เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมดีใจอย่างมากที่สามารถหาทางรักษาลูกชายที่อยู่ในช่วงปลายอนุบาล 2 ให้หายจากโรคติกส์ได้
จึงได้มาลงเป็นกระทู้ในสิ่งที่พวกเราคิดว่าทำสำเร็จ เพราะในตอนนั้นผมรู้ว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษาในทางการแพทย์
แม้จะมีคนที่หายได้เอง แต่ก็ไม่ใช่หายได้เพราะการรักษาจากแพทย์ และไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีแบบนั้น
สำหรับ hater อาจจะมองว่าวิธีการของผม เป็นสิ่งที่ผมทึกทักไปเอง จริงๆแล้วลูกก็หายเอง เพราะก็มี
เด็กมากมายที่หายจากโรคนี้ได้เอง
มันจึงกลายเป็นเรื่องที่แต่ละคนอยากจะเชื่อแบบไหน
หากเชื่อว่าลูกผมหายเอง ก็จะตรงกับคำพูดของหมอด้วย ว่าโรคนี้หายเองได้
แต่นั่นเป็นเพียงลักษณะของโรค ที่ไม่มีใครสามารถบอกที่มาที่ไป และบอก
ไม่ได้ว่าเกิดขึ้นกับเด็กเล็กๆได้อย่างไร แล้วทำไมอยู่ๆถึงหาย ในขณะที่คนอื่นเป็นเรื้อรังขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งแพทย์ก็จะเปลี่ยนเป็นเรียกว่าโรคทูเร็ตต์
ผมสามารถรอคอยเพื่อดูว่าลูกจะหายหรือไม่ จะเป็นเดือน หรือจะเป็นปีก็ได้
ตามที่หมอบอกว่าอาจจะหายได้เอง แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องแล้วแต่โชคหรือดวง
เพราะเรื่องนี้หมอช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
แต่ในเวลาที่ลูกกำลังสะบัดหัวสุดๆในตอนนั้น ผมเคยเล่าไว้ว่าเป็นช่วงก่อนปิดเทอมใหญ่ของอนุบาล 2
ซึ่งถ้าเป็นไปได้ พวกเราอยากให้ลูกหายก่อนที่ลูกจะขึ้นอนุบาล 3 พวกเราจึงรอแบบนั้นไม่ได้
และสุดท้ายพวกเราก็ไม่ใช้ยาของหมอ ซึ่งเป็นยารักษาอาการทางจิต ไม่ใช่ยารักษาโรคติกส์ เพราะติกส์เอง
ไม่มียารักษาของมัน และยาจะทำร้ายสมองของเด็ก โดยมีผลข้างเคียงต่างๆนาๆมากมาย ถ้าลองศึกษา
หาข้อมูลดูสักนิด ก็จะรู้ว่าไม่ควรใช้ ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม
พวกเราสามารถศึกษาค้นคว้าจนเจอต้นตอของโรค และสามารถรีเวอร์สทุกอย่างได้ด้วยการควบคุม
ยีสต์โดยการเปลี่ยนแปลงเมนูอาหาร และขับสารปรอทด้วยวิธีการคีเลชัน แต่เราพบปัญหาบางอย่างกับ
คีเลชัน มันทำให้เกิดการย้อนกระจายกลับของสารปรอท ซึ่งในเวลานั้นไม่มีหมอคนไหนที่รู้เรื่องนี้
แต่มันมีพูดกันอยู่ในกลุ่มของนักเคมีในต่างประเทศเท่านั้น สิ่งที่ผมรีบทำก็คือการรีบลบกระทู้ใน pantip ไป เพื่อกัน
คนมาอ่านแล้วเข้าใจผิดคิดว่าคีเลชันนั้นสามารถรักษาโรคได้ และแจ้งข้อมูลกับคนที่เคยเข้ามาติดต่อทั้งหมด
แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ แต่ละคนที่ผมแนะนำก็จะเข้าใจกันไปคนละทิศคนละทาง คนที่เข้ามาอ่านกระทู้
ก็เข้าใจว่าการรักษาคือคีเลชัน ทั้งๆที่ผมเน้นหนักไปที่เรื่องของการควบคุมเปลี่ยนแปลงเมนูอาหาร
คนที่เข้ามาสอบถาม ก็จะแบ่งออกเป็นคนที่เลือกคุมอาหาร กับคนที่เลือกขับสารพิษ ซึ่งก็จะพยายาม
ไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อหาปรอท ทั้งๆที่ได้อธิบายไปแล้วว่า ปรอทที่เข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อสมองนั้น
ไม่สามารถตรวจพบได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า จะมีใครไปทำคีเลชันที่ไหนเองหรือไม่ ซึ่งนั่นจะเป็นอันตรายต่อเขา
เมื่อข้อมูลมีมากขึ้นเรื่อยๆเพราะมันเกี่ยวกับทางด้านเคมีและชีววิทยาเยอะมาก และยังเป็นข้อมูลที่เสี่ยงต่อการ
เข้าใจผิดสูงมาก ผมจึงได้ตัดสินใจเขียนเป็นหนังสือขึ้นมา ซึ่งเป็นเวลาประมาณเกือบ 2 ปีที่แล้ว
หนังสือเล่มนี้ทำยากมาก เพราะต้องศึกษาค้นคว้าเยอะมาก ต้องนั่งแช่อยู่หน้าจอทั้งวันทั้งคืน เหลือเวลาให้
ลูก 2 คนแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ผมอยากให้เด็กคนอื่นหายจากติกส์ ดังนั้นผมจึงต้องทำให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
การพบว่าปัญหาเกิดจากพิษสารปรอทและการติดเชื้อแคนดิด้า ทำให้เชื่อมโยงไปถึงโรคต่างๆเกือบทุกโรค
ที่กำลังฮิตอยู่ในปัจจุบัน โดยพบว่าโรคเหล่านั้นถูกรักษาตามอาการโดยแพทย์เท่านั้น แต่โรคจะไม่หาย
เพราะโรคไม่ได้ถูกรักษาที่ต้นเหตุเลย ซึ่งมันเป็นความจริง ปรอทและแคนดิด้าเข้าไปปั่นป่วน pathway
ต่างๆมากมาย ทำให้เกิดโรคที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละคนเป็นไม่เหมือนกัน มีความช้าเร็วของการดำเนินโรคไม่เท่ากัน
ต้นเหตุของการได้รับสารพิษและการติดเชื้อ มาจากสิ่งที่เป็นที่ถกเถียง และเกี่ยวข้องกับการเมืองและผลประโยชน์
ในทางการแพทย์ บางอย่างเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเลือก ซึ่งเราต้องใช้อย่างเช่นวัคซีน ซึ่งมีสารพิษอยู่ในนั้นจำนวนมาก
แต่ก็ต้องใช้ เพราะไม่มีอย่างอื่นทดแทน แต่อมัลกัมซึ่งเป็นวัสดุอุดฟันสีเงินนั้น มีวัสดุอื่นทดแทนได้
ไม่ต้องเถียงว่าวัคซีนและอมัลกัมเป็นพิษหรือไม่เป็นพิษจริง เพราะมีนักวิชาการ แพทย์ และนักวิทยาศาสตร์
backup ทั้งสองซีกขัดแย้ง ดังนั้นต้องศึกษางานวิจัยเอาเองแล้วใช้วิจารณญาณ ซึ่งในหนังสือก็จะมีหลักฐาน
และเหตุผลต่างๆอธิบายครบถ้วน ซึ่งถ้าไม่ใช่หนังสือ การจะทำให้ข้อมูลทั้งหมดออกมาได้อย่างครบถ้วนนั้น
เป็นไปไม่ได้จริงๆ
หนังสือเล่มนี้สำคัญอย่างไร มันสำคัญสำหรับคนที่ห่วงใย และใส่ใจเรื่องสารพิษ เรื่องอาหารและโภชนาการ
คนที่อยากหาต้นตอของโรคที่รักษาไม่หาย ซึ่งมันจะมีคำอธิบายทางเคมีและชีวะอยู่ในนี้ทั้งหมด
และมันสำคัญสำหรับคนที่ขับสารพิษ ไม่ให้ขับสารพิษด้วยวิธีที่ผิดๆ ซึ่งผมวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูล
จากต่างประเทศเอาไว้ทั้งหมด
ถามว่าสามารถพึ่งหมอได้ไหม ถ้าคุยกับหมอเรื่องสารพิษโลหะหนักกับเรื่องยีสต์ หมอจะคุยมาเป็นคนละเรื่อง
กับข้อมูลพวกนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่อยู่ในวงของนักเคมีและนักชีววิทยา หมอจะไม่ได้เรียนมาแบบนี้ในโรงเรียนแพทย์
หมอจะสามารถช่วยได้แค่บางเรื่อง บางอย่างที่จำเป็นต้องให้หมอใช้เครื่องไม้เครื่องมือช่วยเท่านั้น
แต่ถ้ารักษากับหมอ คุณอาจจะต้องได้รับพิษจากการย้อนกระจายกลับ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ครอบครัวของผมเจอมาแล้ว
และอีกหลายครอบครัวในต่างประเทศก็เจอเช่นเดียวกัน โรคจะเป็นมากขึ้น เรื้อรังขึ้น เป็นโรคใหม่ขึ้น
ในคลิปนี้ ผมบ่นกับภรรยาตอนท้ายว่า จะทำยังไงที่จะให้คนได้อ่านหนังสือเล่มนี้เยอะๆดี
ผมผู้ซึ่งสิงสถิตอยู่ในห้องรัชดามาตลอด ในใจก็คิดถึงแต่ pantip แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
แต่หวังว่าอย่างน้อยที่สุดคนที่เดือดร้อนจากโรคติกส์ ก็จะได้มาเจอกับทางออกที่ครอบครัวเราเจอมาแล้ว
ผมเปิดหน้า เปิดชื่อแซ่ทุกอย่าง เพราะมันไม่มีอะไรในกอไผ่ตรงนี้
เท่าที่ผมประเมินหนังสือของตัวเอง ก่อนที่จะพิมพ์ออกมา เรามีการรีวิวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพราะก็กลัวว่าจะออกมาไม่ดีพอเหมือนกัน แต่พอเสร็จออกมาได้ ถ้าหากเทียบกับหนังสือด้านสุขภาพ
ที่ตัวผมเคยอ่านๆมา ผมคิดว่ามันออกมาดีที่สุด และครบถ้วนทุกด้านที่สุดแล้ว ผมซึ่งเป็นคนศึกษาค้นคว้า
ได้หาคำตอบดักไว้หมดทุกทาง พยายามให้ไม่เกิดคำถามกับคนอ่าน และพยายามให้อ่านเข้าใจง่ายทั้งหมด
และทำงานโดยการใช้เหตุผลและความรับผิดชอบให้มากที่สุดด้วย
หลังจากง่วนมาตลอด 2 ปี เมื่อเขียนหนังสือจบแล้ว ก็อยากจะมีเวลาให้ลูกบ้าง
แต่ก็ต้องพยายามโปรโมทหนังสือ เพื่อให้มีคนได้อ่านให้มากที่สุด เพื่อที่จะช่วยคนที่ยังไม่สามารถรักษาลูก
หรือรักษาตัวเองได้สำเร็จ
แล้วค่อยมาต่ออีกที ตอนที่ 3 ครับ
เมื่อเราบอกว่ารักษาโรคติกส์หายได้ยังไง จากที่เคยลง Pantip มาทำเป็นหนังสือ 2 ปีต่อมา (โรคติกส์ ตอนที่ 2)
จึงได้มาลงเป็นกระทู้ในสิ่งที่พวกเราคิดว่าทำสำเร็จ เพราะในตอนนั้นผมรู้ว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษาในทางการแพทย์
แม้จะมีคนที่หายได้เอง แต่ก็ไม่ใช่หายได้เพราะการรักษาจากแพทย์ และไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีแบบนั้น
สำหรับ hater อาจจะมองว่าวิธีการของผม เป็นสิ่งที่ผมทึกทักไปเอง จริงๆแล้วลูกก็หายเอง เพราะก็มี
เด็กมากมายที่หายจากโรคนี้ได้เอง
มันจึงกลายเป็นเรื่องที่แต่ละคนอยากจะเชื่อแบบไหน
หากเชื่อว่าลูกผมหายเอง ก็จะตรงกับคำพูดของหมอด้วย ว่าโรคนี้หายเองได้
แต่นั่นเป็นเพียงลักษณะของโรค ที่ไม่มีใครสามารถบอกที่มาที่ไป และบอก
ไม่ได้ว่าเกิดขึ้นกับเด็กเล็กๆได้อย่างไร แล้วทำไมอยู่ๆถึงหาย ในขณะที่คนอื่นเป็นเรื้อรังขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งแพทย์ก็จะเปลี่ยนเป็นเรียกว่าโรคทูเร็ตต์
ผมสามารถรอคอยเพื่อดูว่าลูกจะหายหรือไม่ จะเป็นเดือน หรือจะเป็นปีก็ได้
ตามที่หมอบอกว่าอาจจะหายได้เอง แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องแล้วแต่โชคหรือดวง
เพราะเรื่องนี้หมอช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
แต่ในเวลาที่ลูกกำลังสะบัดหัวสุดๆในตอนนั้น ผมเคยเล่าไว้ว่าเป็นช่วงก่อนปิดเทอมใหญ่ของอนุบาล 2
ซึ่งถ้าเป็นไปได้ พวกเราอยากให้ลูกหายก่อนที่ลูกจะขึ้นอนุบาล 3 พวกเราจึงรอแบบนั้นไม่ได้
และสุดท้ายพวกเราก็ไม่ใช้ยาของหมอ ซึ่งเป็นยารักษาอาการทางจิต ไม่ใช่ยารักษาโรคติกส์ เพราะติกส์เอง
ไม่มียารักษาของมัน และยาจะทำร้ายสมองของเด็ก โดยมีผลข้างเคียงต่างๆนาๆมากมาย ถ้าลองศึกษา
หาข้อมูลดูสักนิด ก็จะรู้ว่าไม่ควรใช้ ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม
พวกเราสามารถศึกษาค้นคว้าจนเจอต้นตอของโรค และสามารถรีเวอร์สทุกอย่างได้ด้วยการควบคุม
ยีสต์โดยการเปลี่ยนแปลงเมนูอาหาร และขับสารปรอทด้วยวิธีการคีเลชัน แต่เราพบปัญหาบางอย่างกับ
คีเลชัน มันทำให้เกิดการย้อนกระจายกลับของสารปรอท ซึ่งในเวลานั้นไม่มีหมอคนไหนที่รู้เรื่องนี้
แต่มันมีพูดกันอยู่ในกลุ่มของนักเคมีในต่างประเทศเท่านั้น สิ่งที่ผมรีบทำก็คือการรีบลบกระทู้ใน pantip ไป เพื่อกัน
คนมาอ่านแล้วเข้าใจผิดคิดว่าคีเลชันนั้นสามารถรักษาโรคได้ และแจ้งข้อมูลกับคนที่เคยเข้ามาติดต่อทั้งหมด
แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ แต่ละคนที่ผมแนะนำก็จะเข้าใจกันไปคนละทิศคนละทาง คนที่เข้ามาอ่านกระทู้
ก็เข้าใจว่าการรักษาคือคีเลชัน ทั้งๆที่ผมเน้นหนักไปที่เรื่องของการควบคุมเปลี่ยนแปลงเมนูอาหาร
คนที่เข้ามาสอบถาม ก็จะแบ่งออกเป็นคนที่เลือกคุมอาหาร กับคนที่เลือกขับสารพิษ ซึ่งก็จะพยายาม
ไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อหาปรอท ทั้งๆที่ได้อธิบายไปแล้วว่า ปรอทที่เข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อสมองนั้น
ไม่สามารถตรวจพบได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า จะมีใครไปทำคีเลชันที่ไหนเองหรือไม่ ซึ่งนั่นจะเป็นอันตรายต่อเขา
เมื่อข้อมูลมีมากขึ้นเรื่อยๆเพราะมันเกี่ยวกับทางด้านเคมีและชีววิทยาเยอะมาก และยังเป็นข้อมูลที่เสี่ยงต่อการ
เข้าใจผิดสูงมาก ผมจึงได้ตัดสินใจเขียนเป็นหนังสือขึ้นมา ซึ่งเป็นเวลาประมาณเกือบ 2 ปีที่แล้ว
หนังสือเล่มนี้ทำยากมาก เพราะต้องศึกษาค้นคว้าเยอะมาก ต้องนั่งแช่อยู่หน้าจอทั้งวันทั้งคืน เหลือเวลาให้
ลูก 2 คนแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ผมอยากให้เด็กคนอื่นหายจากติกส์ ดังนั้นผมจึงต้องทำให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
การพบว่าปัญหาเกิดจากพิษสารปรอทและการติดเชื้อแคนดิด้า ทำให้เชื่อมโยงไปถึงโรคต่างๆเกือบทุกโรค
ที่กำลังฮิตอยู่ในปัจจุบัน โดยพบว่าโรคเหล่านั้นถูกรักษาตามอาการโดยแพทย์เท่านั้น แต่โรคจะไม่หาย
เพราะโรคไม่ได้ถูกรักษาที่ต้นเหตุเลย ซึ่งมันเป็นความจริง ปรอทและแคนดิด้าเข้าไปปั่นป่วน pathway
ต่างๆมากมาย ทำให้เกิดโรคที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละคนเป็นไม่เหมือนกัน มีความช้าเร็วของการดำเนินโรคไม่เท่ากัน
ต้นเหตุของการได้รับสารพิษและการติดเชื้อ มาจากสิ่งที่เป็นที่ถกเถียง และเกี่ยวข้องกับการเมืองและผลประโยชน์
ในทางการแพทย์ บางอย่างเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเลือก ซึ่งเราต้องใช้อย่างเช่นวัคซีน ซึ่งมีสารพิษอยู่ในนั้นจำนวนมาก
แต่ก็ต้องใช้ เพราะไม่มีอย่างอื่นทดแทน แต่อมัลกัมซึ่งเป็นวัสดุอุดฟันสีเงินนั้น มีวัสดุอื่นทดแทนได้
ไม่ต้องเถียงว่าวัคซีนและอมัลกัมเป็นพิษหรือไม่เป็นพิษจริง เพราะมีนักวิชาการ แพทย์ และนักวิทยาศาสตร์
backup ทั้งสองซีกขัดแย้ง ดังนั้นต้องศึกษางานวิจัยเอาเองแล้วใช้วิจารณญาณ ซึ่งในหนังสือก็จะมีหลักฐาน
และเหตุผลต่างๆอธิบายครบถ้วน ซึ่งถ้าไม่ใช่หนังสือ การจะทำให้ข้อมูลทั้งหมดออกมาได้อย่างครบถ้วนนั้น
เป็นไปไม่ได้จริงๆ
หนังสือเล่มนี้สำคัญอย่างไร มันสำคัญสำหรับคนที่ห่วงใย และใส่ใจเรื่องสารพิษ เรื่องอาหารและโภชนาการ
คนที่อยากหาต้นตอของโรคที่รักษาไม่หาย ซึ่งมันจะมีคำอธิบายทางเคมีและชีวะอยู่ในนี้ทั้งหมด
และมันสำคัญสำหรับคนที่ขับสารพิษ ไม่ให้ขับสารพิษด้วยวิธีที่ผิดๆ ซึ่งผมวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูล
จากต่างประเทศเอาไว้ทั้งหมด
ถามว่าสามารถพึ่งหมอได้ไหม ถ้าคุยกับหมอเรื่องสารพิษโลหะหนักกับเรื่องยีสต์ หมอจะคุยมาเป็นคนละเรื่อง
กับข้อมูลพวกนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่อยู่ในวงของนักเคมีและนักชีววิทยา หมอจะไม่ได้เรียนมาแบบนี้ในโรงเรียนแพทย์
หมอจะสามารถช่วยได้แค่บางเรื่อง บางอย่างที่จำเป็นต้องให้หมอใช้เครื่องไม้เครื่องมือช่วยเท่านั้น
แต่ถ้ารักษากับหมอ คุณอาจจะต้องได้รับพิษจากการย้อนกระจายกลับ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ครอบครัวของผมเจอมาแล้ว
และอีกหลายครอบครัวในต่างประเทศก็เจอเช่นเดียวกัน โรคจะเป็นมากขึ้น เรื้อรังขึ้น เป็นโรคใหม่ขึ้น
ในคลิปนี้ ผมบ่นกับภรรยาตอนท้ายว่า จะทำยังไงที่จะให้คนได้อ่านหนังสือเล่มนี้เยอะๆดี
ผมผู้ซึ่งสิงสถิตอยู่ในห้องรัชดามาตลอด ในใจก็คิดถึงแต่ pantip แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
แต่หวังว่าอย่างน้อยที่สุดคนที่เดือดร้อนจากโรคติกส์ ก็จะได้มาเจอกับทางออกที่ครอบครัวเราเจอมาแล้ว
ผมเปิดหน้า เปิดชื่อแซ่ทุกอย่าง เพราะมันไม่มีอะไรในกอไผ่ตรงนี้
เท่าที่ผมประเมินหนังสือของตัวเอง ก่อนที่จะพิมพ์ออกมา เรามีการรีวิวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพราะก็กลัวว่าจะออกมาไม่ดีพอเหมือนกัน แต่พอเสร็จออกมาได้ ถ้าหากเทียบกับหนังสือด้านสุขภาพ
ที่ตัวผมเคยอ่านๆมา ผมคิดว่ามันออกมาดีที่สุด และครบถ้วนทุกด้านที่สุดแล้ว ผมซึ่งเป็นคนศึกษาค้นคว้า
ได้หาคำตอบดักไว้หมดทุกทาง พยายามให้ไม่เกิดคำถามกับคนอ่าน และพยายามให้อ่านเข้าใจง่ายทั้งหมด
และทำงานโดยการใช้เหตุผลและความรับผิดชอบให้มากที่สุดด้วย
หลังจากง่วนมาตลอด 2 ปี เมื่อเขียนหนังสือจบแล้ว ก็อยากจะมีเวลาให้ลูกบ้าง
แต่ก็ต้องพยายามโปรโมทหนังสือ เพื่อให้มีคนได้อ่านให้มากที่สุด เพื่อที่จะช่วยคนที่ยังไม่สามารถรักษาลูก
หรือรักษาตัวเองได้สำเร็จ
แล้วค่อยมาต่ออีกที ตอนที่ 3 ครับ