+ โสเภณีก็มีหัวใจ +
เหตุการณ์ในพระคัมภีร์ เมื่อมีหญิงคนหนึ่งเข้ามาสัมผัสเท้าของพระเยซูในงานเลี้ยงของผู้เคร่งศาสนาชาวยิว พวกเขากล่าวขึ้นมาว่าพระเยซูคงไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่ เพราะยอมให้หญิงชั่วเร่ขายตัวพวกนี้มาแตะต้องร่างกายตัวเองเนื่องจากชาวยิวมีหลักการ เรื่องความสะอาดสกปรกของคนชั่วคนบาป ดังนั้นโสเภณีที่เป็นนางบาปนอกจากนางไม่มีสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับสถานที่และพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ พวกเขายังถือว่าเพียงแค่การถูกเนื้อต้องตัวคนพวกนี้ก็จะมี มลทิน ไปด้วย ดังนั้น เมื่อพระเยซู ที่อ้างว่าตนมาจากพระเจ้า กลับยอมให้หญิงโสเภณีแตะต้องตัวโดยไม่รังเกียจคนชั่วแบบนี้อย่างเช่นพวกเขา ก็เลยโดนสรุปไปว่าเป็น พวกเดียวกัน
Prostitute เป็นคำในภาษาโรมัน แปลว่า “แสดงออกอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ” เรามักได้ยินได้ฟังกันว่าโสเภณีเป็นอาชีพเก่าแก่ที่สุดอาชีพหนึ่ง และไม่เพียงเท่านั้น หากนับย้อนกลับไปนับพัน ๆ ปีก่อน อาชีพโสเภณีถือว่าเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป และยังถึงขนาดเป็นที่ยกย่องเชิดชูของศาสนาโบราณหลายศาสนาอีกด้วย หลายคนอาจเข้าใจว่าการที่โสเภณีในวิหารของศาสนาโบราณเป็นอาชีพศักดิ์สิทธิ์ แปลว่ามันคือสิ่งที่ดีได้รับการยกย่องแต่ด้านเดียว แต่การที่อาชีพที่ต้องใช้ร่างกายตนเองปรนเปรอความสุขทางเพศให้ผู้ชาย ในสังคมที่ "ชายเป็นใหญ่" แบบเบ็ดเสร็จ(แม้แต่การมีโสเภณีชายก็ยังให้บริการแก่ผู้ชาย) ในวิหารเทพเจ้าที่นักบวชเป็นชาย แท้จริงอาจเป็นการหลอกกดขี่หญิงให้ยินยอมบำเรอชายในนามศาสนาของสังคมชายเป็นใหญ่ก็เป็นได้
ในบรรดาศาสนายุคเก่านั้น ชาวยิวที่ได้รับบัญญัติผ่านโมเสส ได้มีการเขียนชัดเจนในพระคัมภีร์ว่าห้ามให้ลูกหลานทำอาชีพนี้ และยิ่งไปกว่านั้น ชาวยิวยังเคร่งครัดเรื่องเพศขนาดกล่าวแบบสรุปได้ว่า ชายจะหลั่งน้ำอสุจิได้ที่เดียวคือช่องคลอดของภรรยาตนเองเท่านั้น นอกนั้นมีความผิด บางความผิดเช่นการหลั่งออกมาตัวคนเดียวเปรอะเสื้อผ้าจะมีมลทินถึงตอนเย็น แต่ถ้าถึงขั้นมีความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่ภรรยา จะถูกปาหินจนตาย
แต่น่าแปลกแม้มีโทษหนักขนาดนี้ อาชีพโสเภณีก็ยังคงมีอยู่ในหมู่ชาวยิวจนถึงสมัยของพระเยซู แต่ทว่าถูกรังเกียจเดียดฉันท์มากจากบรรดายิวที่เป็น คนดีๆ ขยะแขยงขนาดไม่ให้แตะต้องสัมผัสร่างกาย
โสเภณีในยุคพระเยซูจึงไม่ต่างจากโสเภณีในไทยมากนัก คืออยู่ในสังคมปากว่าตาขยิบ มีกฎหมายห้ามแต่ให้แอบทำได้ ทำรังเกียจในที่สาธารณะ แต่ไม่รู้ว่าตอนมืดค่ำมีใครไปใช้บริการบ้าง ถึงรู้กันหมดว่าคนไหนทำอาชีพนี้ จึงน่าตลกขบขันมาก ที่ฝ่ายหญิงเท่านั้นที่ถูกรังเกียจไม่ยอมให้แตะตัว แต่ชายมากมายที่ร่วมเพศกับเธอกลับอยู่ในสังคมอย่างหน้าชื่นตาบานไม่มีใครรังเกียจ จริยธรรมที่สองมาตรฐานและจอมปลอม ดัดจริต จึงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรของโลกนี้ แต่น่าเศร้าที่มันก็ไม่เคยหมดไปตราบทุกวันนี้
สำหรับสังคมไทย คำว่า กxxรี่ เป็นการเรียกโสเภณีอย่างเหยียดหยาม ที่สำคัญมันคือคำเจาะจงสำหรับโสเภณีหญิงคือใช้ด่าผู้หญิงเท่านั้น ต้นทางมาจากภาษาแขก " โฉกกฬี " แปลว่า " เด็กหญิง " เช่นเดียวกับภาษาไทยที่ชอบเรียกผู้หญิงสาวๆที่หากินทางนี้ว่า " อีหนู " คำว่า โฉกกฬี นี่เอง ที่ได้เพี้ยนมาเป็น ชอกกาลี และกร่อนมาเป็น กxxรี่ ในภาษาไทย
ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากคนทำอาชีพนี้จะถูกรังเกียจ พวกเธอมักถูกตัดสินจากสังคมว่าไม่มีหัวใจ พวกเธอถูกมองว่าหมดโอกาส เป็นเมีย หรือเป็นแม่ หรือมีครอบครัวที่ดีตามมาตรฐานสังคม และยังถูกมองว่าไม่มีความรัก และไม่มีหัวใจไปเสียแล้ว เพราะพวกเธอให้บริการทางอารมณ์ด้านกามรมณ์เป็นอาชีพ ใครก็ตามที่ก้าวเข้าสู่วังวนนี้ ก็ตกอยู่ในเส้นทางมืดมนไปตลอดชีวิต หมดหนทางกลับออกมาใช้ชีวิตแบบคนปกติไปตลอด
แต่ในวันที่หญิงโสเภณีคนหนึ่งได้บุกเข้ามาหาพระเยซู ที่เธอเชื่อว่าคือ ผู้เป็นความหวัง เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่จะมาช่วยกอบกู้ชีวิตเธอ เธอก็ไม่ผิดหวังและยังได้รับมากกว่าที่คาดหวัง เพราะชายคนนี้ไม่เหมือนชายคนอื่นที่ขยะแขยงเธอตอนสว่างต่อหน้าคนอื่น แต่แอบเกลือกกลั้วกับเธอตอนมืดมิดไม่มีใครเห็น ประกาศกคนนี้แสดงความรักความเมตตาต่อเธอต่อหน้าคนอื่นโดยไม่เกรงกลัวว่าตนเองจะถูกมองในแง่ลบไปด้วย เขาอวยพรเธอ ให้ชีวิตเธอมีความสุข เขาหันไปว่าคนที่ดูถูกเธอ และยังบอกทุกคนว่า เธอคนนี้ก็มีหัวใจ มีความรักมาก และมีความศรัทธาในพระเจ้ามาก มากยิ่งกว่าบรรดาชายชอบธรรมชาวยิว "คนดี" ทุกคนในห้องนี้
พระเยซูจึงไม่เพียงให้อภัยบาปของเธอ แต่กอบกู้ศักดิ์ศรี และคืนความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมคนอื่นให้ คืนความชอบธรรม และมอบโอกาสอันเท่าเทียมในสังคมชายเป็นใหญ่ที่ปิดตายความยุติธรรมต่อผู้หญิงให้กับเธอ ถึงวันนี้เราคงต้องถามตัวเองว่า ที่เรายังรู้สึกว่ามีคนเลวในสังคมมากมายจนอยากฆ่าให้ตายให้หมดเพื่อสังคมจะดีขึ้น เป็นเพราะเขาเหล่านั้นเลว หรือเพราะเหล่าคนดีกดขี่และไม่เคยให้โอกาสพวกเขาเลยกันแน่
CR. :
https://www.facebook.com/100000534736435/posts/1356005191093959/?d=n
โสเภณีก็มีหัวใจ
เหตุการณ์ในพระคัมภีร์ เมื่อมีหญิงคนหนึ่งเข้ามาสัมผัสเท้าของพระเยซูในงานเลี้ยงของผู้เคร่งศาสนาชาวยิว พวกเขากล่าวขึ้นมาว่าพระเยซูคงไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่ เพราะยอมให้หญิงชั่วเร่ขายตัวพวกนี้มาแตะต้องร่างกายตัวเองเนื่องจากชาวยิวมีหลักการ เรื่องความสะอาดสกปรกของคนชั่วคนบาป ดังนั้นโสเภณีที่เป็นนางบาปนอกจากนางไม่มีสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับสถานที่และพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ พวกเขายังถือว่าเพียงแค่การถูกเนื้อต้องตัวคนพวกนี้ก็จะมี มลทิน ไปด้วย ดังนั้น เมื่อพระเยซู ที่อ้างว่าตนมาจากพระเจ้า กลับยอมให้หญิงโสเภณีแตะต้องตัวโดยไม่รังเกียจคนชั่วแบบนี้อย่างเช่นพวกเขา ก็เลยโดนสรุปไปว่าเป็น พวกเดียวกัน
Prostitute เป็นคำในภาษาโรมัน แปลว่า “แสดงออกอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ” เรามักได้ยินได้ฟังกันว่าโสเภณีเป็นอาชีพเก่าแก่ที่สุดอาชีพหนึ่ง และไม่เพียงเท่านั้น หากนับย้อนกลับไปนับพัน ๆ ปีก่อน อาชีพโสเภณีถือว่าเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป และยังถึงขนาดเป็นที่ยกย่องเชิดชูของศาสนาโบราณหลายศาสนาอีกด้วย หลายคนอาจเข้าใจว่าการที่โสเภณีในวิหารของศาสนาโบราณเป็นอาชีพศักดิ์สิทธิ์ แปลว่ามันคือสิ่งที่ดีได้รับการยกย่องแต่ด้านเดียว แต่การที่อาชีพที่ต้องใช้ร่างกายตนเองปรนเปรอความสุขทางเพศให้ผู้ชาย ในสังคมที่ "ชายเป็นใหญ่" แบบเบ็ดเสร็จ(แม้แต่การมีโสเภณีชายก็ยังให้บริการแก่ผู้ชาย) ในวิหารเทพเจ้าที่นักบวชเป็นชาย แท้จริงอาจเป็นการหลอกกดขี่หญิงให้ยินยอมบำเรอชายในนามศาสนาของสังคมชายเป็นใหญ่ก็เป็นได้
ในบรรดาศาสนายุคเก่านั้น ชาวยิวที่ได้รับบัญญัติผ่านโมเสส ได้มีการเขียนชัดเจนในพระคัมภีร์ว่าห้ามให้ลูกหลานทำอาชีพนี้ และยิ่งไปกว่านั้น ชาวยิวยังเคร่งครัดเรื่องเพศขนาดกล่าวแบบสรุปได้ว่า ชายจะหลั่งน้ำอสุจิได้ที่เดียวคือช่องคลอดของภรรยาตนเองเท่านั้น นอกนั้นมีความผิด บางความผิดเช่นการหลั่งออกมาตัวคนเดียวเปรอะเสื้อผ้าจะมีมลทินถึงตอนเย็น แต่ถ้าถึงขั้นมีความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่ภรรยา จะถูกปาหินจนตาย
แต่น่าแปลกแม้มีโทษหนักขนาดนี้ อาชีพโสเภณีก็ยังคงมีอยู่ในหมู่ชาวยิวจนถึงสมัยของพระเยซู แต่ทว่าถูกรังเกียจเดียดฉันท์มากจากบรรดายิวที่เป็น คนดีๆ ขยะแขยงขนาดไม่ให้แตะต้องสัมผัสร่างกาย
โสเภณีในยุคพระเยซูจึงไม่ต่างจากโสเภณีในไทยมากนัก คืออยู่ในสังคมปากว่าตาขยิบ มีกฎหมายห้ามแต่ให้แอบทำได้ ทำรังเกียจในที่สาธารณะ แต่ไม่รู้ว่าตอนมืดค่ำมีใครไปใช้บริการบ้าง ถึงรู้กันหมดว่าคนไหนทำอาชีพนี้ จึงน่าตลกขบขันมาก ที่ฝ่ายหญิงเท่านั้นที่ถูกรังเกียจไม่ยอมให้แตะตัว แต่ชายมากมายที่ร่วมเพศกับเธอกลับอยู่ในสังคมอย่างหน้าชื่นตาบานไม่มีใครรังเกียจ จริยธรรมที่สองมาตรฐานและจอมปลอม ดัดจริต จึงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรของโลกนี้ แต่น่าเศร้าที่มันก็ไม่เคยหมดไปตราบทุกวันนี้
สำหรับสังคมไทย คำว่า กxxรี่ เป็นการเรียกโสเภณีอย่างเหยียดหยาม ที่สำคัญมันคือคำเจาะจงสำหรับโสเภณีหญิงคือใช้ด่าผู้หญิงเท่านั้น ต้นทางมาจากภาษาแขก " โฉกกฬี " แปลว่า " เด็กหญิง " เช่นเดียวกับภาษาไทยที่ชอบเรียกผู้หญิงสาวๆที่หากินทางนี้ว่า " อีหนู " คำว่า โฉกกฬี นี่เอง ที่ได้เพี้ยนมาเป็น ชอกกาลี และกร่อนมาเป็น กxxรี่ ในภาษาไทย
ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากคนทำอาชีพนี้จะถูกรังเกียจ พวกเธอมักถูกตัดสินจากสังคมว่าไม่มีหัวใจ พวกเธอถูกมองว่าหมดโอกาส เป็นเมีย หรือเป็นแม่ หรือมีครอบครัวที่ดีตามมาตรฐานสังคม และยังถูกมองว่าไม่มีความรัก และไม่มีหัวใจไปเสียแล้ว เพราะพวกเธอให้บริการทางอารมณ์ด้านกามรมณ์เป็นอาชีพ ใครก็ตามที่ก้าวเข้าสู่วังวนนี้ ก็ตกอยู่ในเส้นทางมืดมนไปตลอดชีวิต หมดหนทางกลับออกมาใช้ชีวิตแบบคนปกติไปตลอด
แต่ในวันที่หญิงโสเภณีคนหนึ่งได้บุกเข้ามาหาพระเยซู ที่เธอเชื่อว่าคือ ผู้เป็นความหวัง เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่จะมาช่วยกอบกู้ชีวิตเธอ เธอก็ไม่ผิดหวังและยังได้รับมากกว่าที่คาดหวัง เพราะชายคนนี้ไม่เหมือนชายคนอื่นที่ขยะแขยงเธอตอนสว่างต่อหน้าคนอื่น แต่แอบเกลือกกลั้วกับเธอตอนมืดมิดไม่มีใครเห็น ประกาศกคนนี้แสดงความรักความเมตตาต่อเธอต่อหน้าคนอื่นโดยไม่เกรงกลัวว่าตนเองจะถูกมองในแง่ลบไปด้วย เขาอวยพรเธอ ให้ชีวิตเธอมีความสุข เขาหันไปว่าคนที่ดูถูกเธอ และยังบอกทุกคนว่า เธอคนนี้ก็มีหัวใจ มีความรักมาก และมีความศรัทธาในพระเจ้ามาก มากยิ่งกว่าบรรดาชายชอบธรรมชาวยิว "คนดี" ทุกคนในห้องนี้
พระเยซูจึงไม่เพียงให้อภัยบาปของเธอ แต่กอบกู้ศักดิ์ศรี และคืนความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมคนอื่นให้ คืนความชอบธรรม และมอบโอกาสอันเท่าเทียมในสังคมชายเป็นใหญ่ที่ปิดตายความยุติธรรมต่อผู้หญิงให้กับเธอ ถึงวันนี้เราคงต้องถามตัวเองว่า ที่เรายังรู้สึกว่ามีคนเลวในสังคมมากมายจนอยากฆ่าให้ตายให้หมดเพื่อสังคมจะดีขึ้น เป็นเพราะเขาเหล่านั้นเลว หรือเพราะเหล่าคนดีกดขี่และไม่เคยให้โอกาสพวกเขาเลยกันแน่
CR. : https://www.facebook.com/100000534736435/posts/1356005191093959/?d=n