ถ้าวันหนึ่งเจอคนที่โกงเรา แต่เขากลับไปป่าวประกาศว่าเราโกงเค้า เราควรรับมือกับคนแบบนี้ยังไง?

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเรา เรื่องค่อนข้างจะยาวหน่อยเพราะเราจะพยายามใส่รายละเอียดที่จำได้
แต่ขอสาบานว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเรา และมันทำให้เราเครียดมาก ๆ

ก่อนอื่นต้องบอกกว่าเราเป็นนายหน้าขายบ้าน เราไม่ได้จบด้านการขายใดๆ แต่เราตัดสินใจมาด้วยใจเนื่องจากเราชอบ 
เราเข้ามาศึกษางานโดยการเป็นผู้ช่วยให้กับคนที่ทำงานด้านนี้ ค่อย ๆ เรียนรู้งานจนเริ่มหาลูกค้าได้ แต่ติดตรงที่เรายังไม่มีนายทุนเป็นของตัวเอง 

จนวันหนึ่งเรามีปัญหาเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ที่ไม่เป็นไปตามตกลงกับพี่ที่เราเป็นผู้ช่วย (สมมุติชื่อพี่ A )  
สำหรับเรานั้นเราค่อนข้างจะเคารพแกมากในระดับหนึ่ง เพราะถือว่าพี่แกได้สอนงานต่าง ๆ เรามา เราไม่อยากมีปัญหามากไปกว่านี้เราเลยถอยออกมา
ซึ่งตอนที่ออกมาเรามีลูกค้าเก่าของเราที่ยังทำเรื่องต่าง ๆ ค้างคากับพี่ A อยู่ เราเลยต้องหาทางออกให้ลูกค้าโดยหานายทุนใหม่ให้เร็ว

จนเรามาเจอพี่อีกคน (สมมุติว่าชื่อ B) เรารู้จักพี่เค้าผ่านเฟสมา 2 ปีแล้วล่ะ ก็เคยเจอตัวเคยคุยกัน จนพักหลัง ๆ เราเห็นพี่ B โพสต์เกี่ยวกับงานอสังหาฯ
งานรับเหมา และบอกว่าตัวเองมีนายทุน แล้ววันนึงแกได้โพสต์ประกาศหาผู้ช่วย ซึ่งตอนนั้นด้วยความที่เรากำลังหาทางออกให้ลูกค้าเก่า 
เราเลยรีบทักไปแล้วเล่าปัญหาต่างๆของเรา 
พี่ B นั้นก็เล่าว่าตัวเองโดนเลขาเก่าโกงมา ไปหลอกเก็บเงินลูกค้าแล้วก็เชิดเงินไปจึงต้องหาผู้ช่วยใหม่ ด้วยความที่คุยกันถูกคอพี่ B จึงชวนเรามาทำงาน 
แต่ก็มีออกตัวว่างานที่พี่ B ทำนั้นบางงานอาจจะเทา ๆ  และงานบางงานก็ไม่สามารถออกสื่อได้ เพราะมันเกี่ยวกับคนใหญ่คนโต เขาไม่ต้องการให้เป็นข่าว 
เราต้องเก็บความลับเก่งด้วย เราก็ตอบโอเคเราทำได้ 

แต่เราก็แจ้งแกว่าในช่วงนี้เรามีปัญหาเรื่องเงิน เราแทบจะไม่มีเงินติดตัวเลย พี่ B ก็บอกว่าไม่เป็นไร ค่าใช้จ่ายพวกค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าที่พักที่เกี่ยวกับการทำงานบริษัทซัพพอตทั้งหมด เราออกแค่ค่าใช้จ่ายส่วนตัวเท่านั้น ลักษณะงานที่ทำคือเป็นผู้ช่วยติดตามแกไปทุกที่ ทำงานไม่มีวันหยุด
ไม่มีเวลาเข้างานเลิกงานที่แน่นอน ซึ่งเราโอเค เพราะเราเป็นฟรีแลนซ์ ปกติเราก็ไม่มีวันหยุดอยู่แล้ว ช่วงแรกอาจจะไม่มีเงินเดือน แต่จะให้เป็นค่าคอมเราแทน ทุกงานที่ทำไม่ว่าจะได้ค่าคอมเท่าไหร่ ก็หารเท่าๆ กัน 

จนวันนึง แกโทรให้เราไปหา เราไปถึงแกก็อยู่กับหุ้นส่วนแกอีกคนนึง พี่แกจึงอธิบายว่าตอนนี้แกมีโปรเจ็คทำโครงการหมู่บ้าน และส่งรายงานเล่มนึงให้เราพิมพ์ บอกเราพิมพ์งานให้เสร็จภายในวันนั้น ซึ่งในระหว่างที่เราพิมพ์งานแกก็ชวนเราคุยตลอด  พองานเสร็จพี่ B ก็บอกกับหุ้นส่วนตรงนั้นว่าจะให้เรามาเป็นเลขา เริ่มงานตั้งแต่วันนี้เลย โดยบอกว่าจะให้เงินเดือนเรา 20,000 บาท แล้วมีโบนัสมีคอมต่างหากในบางงาน แล้วแต่ความเหมาะสม เราก็โอเครมาก เพราะตอนอยู่กับพี่ A  เราได้เดือนละ 5,000 ทำงานทุกอย่างไม่มีวันหยุดเหมือนแต่มีบวกค่าคอมต่างหาก ซึ่งตอนนั้นเงินอาจจะน้อยแต่เราก็ถือว่ามันคือช่วงเรียนรู้งาน ประสบการณ์จึงสำคัญกว่ารายได้ 

หลังจากนั้นเราก็เริ่มออกต่างจังหวัดกับทีมงานของพี่ B ไปดูที่ดิน ไปดูบ้านที่โครงการหมู่บ้าน โดยพี่ B ได้เสนอเจ้าของที่ว่าควรจะเอาที่มาปรับปรุง 
และสร้างโครงการใหม่บนที่ดินเพิ่มมูลค่า ให้เจ้าของที่ดินออกที่ดิน ส่วนพี่ B ที่มีนายทุน จะหาทุนให้เอง แล้วมาเซ็นเป็นหุ้นส่วนธุรกิจร่วมกัน
แบ่งกำไรกันตามสัดส่วน ซึ่งตัวเราก็ติดตามแกไปก็รู้สึกชื่นชมแกว่าดูพี่ B เป็นผู้หญิงที่ทำงานเก่ง  มีงานเข้ามามากมาย งานใหญ่ ๆ มูลค่าเยอะ
เราจึงมีความเชื่อมั่นในตัวแกขึ้นไปอีกระดับหนึ่งว่าเราเลือกทำงานด้วยถูกคนแล้ว 

แต่เมื่อได้ทำงานจริง งานใหญ่ๆ ที่พี่ B รับมากลับเฟล

ยกตัวอย่างงานหนึ่งซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับติดตั้งกล้องวงจรปิดตามถนนที่พี่ B แจ้งว่าได้เซ็นสัญญาไว้ ทางเราในฐานะผู้ช่วยก็ไปทำการรวบรวมทีมช่างเข้ามารับงาน ด้วยความช่วยเหลือจากอดีตแฟนที่ทำงานด้านนี้อยู่จึงสามารถรวบรวมช่างได้เป็นร้อยชีวิต แต่พอช่างมาจริงๆช่างกลับไม่สามารถลงทำงานได้เนื่องจากติดปัญหาเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่พี่ B ได้รับปากไว้ว่าจะติดต่อดำเนินการ  สรุปงานกล้องจึงล่ม เราค่อนข้างจะเสียเครดิตจากช่างที่ทิ้งงานอื่นมาเพื่องานนี้ โดยเฉพาะกับแฟนเก่าที่เป็นคนหาช่างให้
แต่เราก็ยังไม่ได้คิดโทษอะไรพี่ B เพราะคิดว่างานมันยากมากๆ เฟลบ้างก็ต้องสู้กันต่อ

ซึ่งในช่วงที่มีงานกล้องพี่บีได้เสนอให้เราเปลี่ยนมาเป็นหุ้นส่วน โดยบอกว่าเห็นเรารู้จักคนในสายงานนี้เยอะ และสามารถหาช่างได้ คุมงานได้ ถ้าเราเลือกเป็นหุ้นส่วนหากงานสำเร็จเราจะได้ส่วนแบ่งจากกำไรที่ได้ แต่ก็ไม่ได้เงินเดือนเหมือนการเป็นเลขา ณ จุดนี้เราก็ดีใจที่ดูเหมือนพี่ B จะยอมรับในตัวเรา
แต่ก็เริ่มเอ่ะใจนิดหน่อย เนื่องจากเราเพิ่งทำงานได้ไม่นานแถมไม่มีเงินทุนใดๆ เราจึงไม่ได้ตอบตกลงอะไรไป แค่บอกจะเอากลับมาคิด

แถมหลังจากร่วมงานกันไม่ถึงเดือน วันหนึ่งพี่ B ก็ขอมาค้างกับเราเนื่องจากทะเลาะกับสามี ซึ่งพี่ B บอกว่าตัวเองนั้นมีบ้าน และคอนโดอีกสองที่แต่ทุกที่คือสามีสามารถตามหาได้ จึงอยากจะขอมาพักกับเราซักระยะ แต่ตอนนั้นเราค่อนข้างจะแปลกใจมาก เพราะห้องเราเป็นแค่ห้องเช่าพัดลมขนาดเล็ก 
และพี่ B มักจะพูดกับเราเสมอว่าเขามีเงินเก็บเป็นสิบๆล้านเก็บไว้ที่คอนโด แถมในระหว่างที่อยู่กับเรา พี่ B ก็แทบไม่ได้มีเงินใช้จ่ายใดๆ 
กลับมาขอยืมเราทีละเล็กละน้อย  บางครั้งเรื่องงาน ก็ไปเรียกเก็บค่าทำเอกสารกับลูกค้า โดยเอาเงินนั้นมาใช้จ่าย แต่กลับไม่ทำงานนั้นให้ลูกค้า 

ช่วงที่พี่ B ได้มาพึ่งพิงเรา เราอึดอัดมาก ๆ เพราะเป็นคนโลกส่วนตัวสูง แถมพี่ B แกยังโทรด่าสามีลั่นหอ แต่ด้วยความที่เรายังมีความเชื่อมั่นในตัวพี่ B เพราะจากการติดต่องานต่าง ๆ แกดูเป็นคนเก่งและดูมีทีมที่มีนายทุนจริง เราจึงอดทนและพยายามมองผ่านเรื่องส่วนตัวแกไป 

แล้วเช้าวันหนึ่งพี่ B ก็พูดขึ้นมากลางวงกับหุ้นส่วนของพี่ B ว่าจะให้เราเป็นหุ้นส่วน เพราะคอนเน็คชั่นส่วนใหญ่เป็นคนที่เราหามา รวมถึงการดูแลงาน 
คุยงาน เราก็เป็นคนติดต่อเองทั้งหมด กำไรที่ได้ทั้งหมดจึงอยากจะหารเรา แต่หุ้นส่วนอีกคนไม่โอเค เพราะเรายังเด็ก เราก็บอกว่าก็ไม่เป็นไรเพราะไม่อยากมีปัญหา ซึ่งสุดท้ายหุ้นส่วนคนนี้ก็มีปัญหากับพี่ B และเลิกทำงานร่วมกัน แถมเราก็ไม่ได้เงินเดือน ซึ่งตอนนั้นเข้าใจว่าพี่ B คงคิดว่าเราเลือกทำเป็นหุ้นส่วนแล้วจึงปล่อยไป

หลังจากนั้นพี่ B ยังคงพาเราไปทำงานตามที่ต่างๆ ซึ่งมีทั้งไปดูงานที่โรงแรมแถวภาคใต้ โดยบอกว่ามีนายทุนต่างชาติต้องการซื้อ ซึ่งการพูดคุยการติดต่องานมันมีจริง ๆ เราได้พบเจอเจ้าของโรงแรม รวมถึงงานเกี่ยวกับหาสินค้าไปขายยังต่างประเทศ มีการลงพื้นที่ไปคุยกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ 
มีการคุยรายละเอียดต่างๆซึ่งดูเป็นทางการมาก พี่ B มักให้เราไปคุยเพื่อรวบรวมเจ้าของสินค้าเนื่องจากมันมีความต้องการมากระดับร้อยๆตัน เราก็พยายามติดต่อรวบรวม และทุกครั้งหลังจากเราทำงานไปได้ระดับหนึ่งทุกอย่างก็จะเงียบหาย 

แต่ก็จะมีงานใหม่ๆ เข้ามาเสมอ โดยทุกครั้งจะมีการไปติดต่อกับเจ้าของโครงการต่างๆ แต่ในรายละเอียดเราจะไม่ได้รับรู้รายละเอียดข้อตกลงต่างๆมาก
เรารู้แค่ว่าคนนั้นคือเจ้าของโครงการ คนนี้คือนายหน้าฝ่ายประสาน

งานต่อไปเราขอเล่าแบบลงรายละเอียดซักหน่อยนะคะ

คือมีครั้งหนึ่งที่ดิวงานกับโครงการซึ่งเขามีทำโครงการหมู่บ้านด้วยและต้องการเอาที่ดินอีกที่มาทำขายฝาก พี่ B เลยบอกว่าเขาสามารถหานายทุนขายฝากให้ และขายโครงการหมู่บ้านที่เหลือให้ได้นะ เขามีทีมขาย มีลูกค้าพร้อมที่จะซื้อแล้ว และหลังจากกลับมาพี่ B ก็อ้างว่าตัวเองได้เซ็นสัญญาเป็นหุ้นส่วนกับโครงการเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ไงว่าเซ็นจริงหรือไม่จริง เพราะไม่ได้อยู่ด้วยตอนเซ็น

โดยพี่ B ได้พาเราเข้าไปดูโครงการที่นั่น ไปคุยกับเซลล์ ตอนคุยก็ดูสนิทสนมกันมาก ๆ  พอกลับมาเรามาทำการตลาดเก็บลูกค้า ทั้งลูกค้าเก่าเราที่มีปัญหาค้างคา และลูกค้าใหม่ที่เข้ามาจากในเพจส่วนตัว โดยเงื่อนไขมีอยู่ว่าบ้านขายสองล้านบาททำเงินเหลือได้ 500,000 บาทต่อหลัง
และพี่ B มีทีมธนาคารในการช่วยทำให้ลูกค้าสามารถกู้ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเครดิตจะเป็นยังไงแกก็ทำได้หมดไม่มีปัญหา 
เราจึงคุยกับลูกค้าทุกคนที่เข้ามาว่าสามารถทำได้ ถ้าสนใจก็นัดเซ็นสัญญาจองกัน มีค่าจองบ้าน 5,000 บาทต่อหลัง 

แต่ถ้าใครเครดิตไม่ปกติ ไม่ว่าจะหนี้แน่น หรือมีติดล่าช้านิดหน่อย เขาสามารถช่วยดันได้ โดยมีค่าใช้จ่ายในการทำเอกสารนี้ 30,000 บาท 
ซึ่งพี่ B ต้องการให้เราเก็บทั้งหมด แต่เราต่อรองแทนลูกค้า ว่าลูกค้าไม่มีหรอก ถ้าเก็บเพียง 10% แบบนี้เราพอคุยกับลูกค้าได้ แถมยังมีค่าทำสัญญาซื้อขายบ้านอีก 30,000 บาทด้วยนะ ตอนนั้นเราก็งงๆว่าใครเขาเก็บค่าทำสัญญากันแต่ก็ทำงานไปตามที่ได้รับคำสั่งมา (ค่าใช้จ่ายพวกนี้เราจะพยายามต่อรองให้ลูกค้าจ่ายทีหลังนะ) โดยทุกครั้งที่นัดเซ็นสัญญาพี่ B จะมารอรับเงินลูกค้าและเซ็นรับเงินด้วยตัวเอง พร้อมแนบเอกสารบัตรประชาชน
โดยมีเราเซ็นเป็นพยาน ซึ่งบางครั้งลูกค้าไม่มีเงินสดก็จะใช้การโอนเงิน ซึ่งเงินทุกบาทโอนเข้าบัญชีพี่  B ทั้งหมด 

และเนื่องจากก่อนหน้านี้แฟนเก่าเราโทรมาต่อว่าเราเรื่องให้ลูกค้าโอนเงินผ่านบัญชีเรา แล้วเราโอนต่อให้พี่ B โดยแฟนเก่าได้เตือนว่า
ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตามอย่าให้เงินผ่านบัญชีตัวเอง ตอนนั้นเราก็คิดว่าแฟนเก่าเราคงอคติแต่ก็ทำตามไม่ให้ลูกค้าโอนเงินผ่านบัญชีเรา 

หลังจากรับเงิน พี่ B จะแจ้งว่าระยะเวลาหลังจากเก็บเอกสารมาแล้วจะใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์สินเชื่อก็จะอนุมัติ ซึ่งระหว่างนั้นเราตามงานตลอดนะว่าเรื่องไปถึงไหน เพื่อคอยอัพเดทให้ลูกค้า  พี่ B ก็มักจะพูดว่าอยู่ระหว่างขั้นตอนแบ็งก์ เอกสารส่งแบ็งก์แล้ว ตอนนี้รอแบ็งก์สรุปว่าจะกู้อะไรยังไงบ้าง
แต่เมื่อเวลามันชักนานไป เราจึงไปตามกับพี่ B ก็ได้คำตอบว่า เจ้าหน้าที่แบ็งก์ต้องการเงินค่าทำเอกสารทั้งหมด 30,000 บาทก่อนเลยถึงจะทำเรื่องให้
เราก็เริ่มท้วงว่าไหนตอนแรกคุยกันบอกว่าแบ็งก์โอเคไง

และเรื่องก็โป๊ะแตกวันที่เราไปทำงานด้วยกันที่ ตจว. เราช่วยขนกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถพี่ B แล้วได้เจอกับซองเอกสาร
ซึ่งมันคือเอกสารของลูกค้าของเราทั้งหมด ตอนนั้นเราอึ้งไปเลย เราพยายามใจเย็นและกลับมาถามพี่ B ว่าไหนว่าเอาเอกสารไปให้ธนาคารแล้ว แต่หนูยังเห็นมันวางอยู่ท้ายรถพี่อยู่เลย คำตอบที่ได้คือแกได้ถ่ายเอกสารส่ง เราก็ถามต่อว่าถ่ายเอกสารส่งทำไมในเมื่อลูกค้าถ่ายมาให้แล้วแยกเป็นชุด ๆ พร้อมใช้งานเลย ที่จริงหยิบอันนี้ให้ธนาคารได้เลย ซึ่งก็จบด้วยการที่แกเลี่ยงไปเรื่องอื่น และเมื่อกดดันมาก แกก็จะหายเงียบตัดการติดต่อ 

เราเริ่มจับโกหกพี่ B ได้อีกหลายเรื่อง รวมถึงหลายครั้งที่เห็นการเลี่ยงจ่ายเงินคนที่เข้ามาทำงานให้ 
ที่มันพีคคือบางครั้งจะขับรถไปทำงานยังมีการติดต่อมาขอยืมเงินค่าน้ำมัน 
จนวันหนึ่งพี่ B ก็โทรหาเราบอกว่าเกิดอุบัติเหตุในวันที่มีนัดกันจะไปทำงาน ตอนนั้นเรากลับคิดว่าพี่แกโกหกหรือเปล่า แต่พี่ B โดนรถชนจริงจนกระดูกหลังหัก ซี่โครงหัก โดยในระหว่างที่เราเฝ้าไข้แกอยู่ที่โรงพยาบาล แกก็เอางานมาอ้างว่ามีงานติดค้างที่ต้องทำ จะนัดนายทุนมาที่ห้องพิเศษโรงพยาบาลเลยให้เราช่วยทำได้มั้ย เราก็ตอบตกลง เพราะเราอยากทำงานให้จบซักงาน เพราะตั้งแต่ทำงานกับพี่ B เรายังไม่เคยได้เงินซักบาท

สิ่งต่างๆที่เจอมันเริ่มชัดเจนแล้วว่าเราอาจโดนหลอกใช้ ลูกค้าที่กู้บ้านที่เราหามาก็เริ่มตามเรา ที่ยังไม่ออกตัวให้พี่ B ว่าเราเริ่มมีความสงสัยในตัวแก
แต่ก็ยังคงมาเฝ้าที่โรงพยาบาลก็เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ขอตามเรื่องลูกค้าเราให้จบ  ถ้าเราหายไปเลย เราจะไม่รู้เลยว่าลูกค้าเราจะยังไงต่อ
แต่ถ้าเรายังอยู่กับพี่ B เราก็ยังหาจังหวะตามเรื่องต่างๆได้ ตอนนั้นความรู้สึกคือโคตรฝืน ต้องปั้นหน้าเหมือนไม่รู้อะไร 
หาข้าวหายามาให้คนที่ดูเหมือนจะหลอกใช้เรา 

อ่านต่อในคอมเม้นต์นะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่