จากความรู้สึกของพ่อแม่ของเด็กที่ป่วยเป็นโรคติกส์-ทูเร็ตต์ โรคที่ทำให้คนควบคุมตัวเองไม่ได้ (โรคติกส์ตอนที่ 1)

ผมจาก ช่อง Revelation
ลูกที่เป็นโรคติกส์-ทูเร็ตต์ ซึ่งมีพันธะที่จะต้องช่วยให้คนที่เป็นโรคติกส์-ทูเร็ตต์หายจาก
โรคนี้ให้ได้ จากการค้นพบที่ทำให้รู้ถึงสาเหตุของโรคนี้ และการรักษาโรคนี้ให้หายได้อย่างไร

ผมตัดสินใจว่าจะต้องทำให้ได้หลังจากที่เห็นวีดีโอมากมายของผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานตั้งแต่เด็ก
กับโรคนี้ตลอดชีวิต ผมรู้สึกทุกข์ใจไปกับพวกเขาและอยากให้พวกเขาหายได้เหมือนอย่างที่
ครอบครัวของเราสามารถทำได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องของความผิดปกติของสมองและเป็นเรื่องทางด้านเคมีทั้งสิ้น 
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาทางจิตเวชใดๆ และปัญหาทางเคมีต้องได้รับการแก้ไขทางด้านเคมีเท่านั้น

ผมอยากจะมาเล่าถึงความรู้สึกของพ่อแม่ที่ต้องมีลูกที่ป่วยเป็นโรคติกส์-ทูเร็ตต์ 
ซึ่งเป็นโรคปริศนาอีกหนึ่งโรคที่มีข้อมูลที่หลากหลาย 

ถ้าอธิบายอาการของโรคแบบสั้นๆก็คือ การที่ร่างกายควบคุมการกระทำของตัวเองไม่ได้
ทำให้เกิดอาการ เช่น กระตุก สะบัด บิดตัว พูดด่า ตบหน้า ขยิบตา ขยับปาก ยักไหล่ 
และอีกมาก อะไรที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการขยับ ก็จะควบคุมไม่ได้
ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ความรุนแรงของการขยับของกล้ามเนื้อ มีตั้งแต่เบาจนไปถึงขั้นรุนแรง
การสะบัดคอตลอดเวลาเป็นสิ่งที่ทรมาน เมื่อรวมกับทุกอาการ จะเป็นโรคที่โหดร้ายกับตัวเด็กอย่างมาก

เด็กสามารถเริ่มเป็นโรคนี้ตั้งแต่ยังเล็ก แต่จะมีบ้างที่หายไปเอง
โรคนี้ไม่มีอาการเจ็บป่วยเป็นโรคอื่นๆ
แต่จะทำให้คนๆหนึ่งทุกข์ทรมานใจอย่างหนัก จากการที่มีการแสดงออกที่ผิดปกติ ไม่เหมือนเพื่อน
เป็นปมด้อย รู้สึกวิตกกังวลกับร่างกาย เครียด ซึมเศร้าที่ไม่อาจหลุดพ้นจากโรคนี้ 
มีผลกระทบกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม ถูกเพ่งมอง หรือทำร้ายคนอื่น เช่น จู่ๆไปตบหน้าคนที่คุยด้วย
ด่าสบถ ค** ไ*เ*ี้ย ลงไปกลิ้งบิดตัวกับพื้น ระเบิดอารมณ์ทำลายข้าวของ และอื่นๆ
ทำให้แทบที่จะเป็นไปไม่ได้ในการเข้าสังคมได้ตามปกติ 
การที่คนเราที่เป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถเข้าสังคมได้ตามปกติ ทำให้มีความทุกข์อยู่ในใจ ตลอดเวลา

ทำให้เป็นโรคที่หมอไม่อยากเข้าไปยุ่งหรือแตะต้อง หมอจิตเวชต้องหาทางบำบัดหรือให้ยาไปตามเรื่องตามราว
ไม่ต่างจากคนไข้โรคจิตเภท หรือคนไข้โรคจิต 

เมื่อเป็นโรคนี้แล้วจะต้องปรับตัวอย่างมาก เพื่อให้ชีวิตตัวเองไม่พังป่นปี้ หรือพังป่นปี้ให้ได้น้อยที่สุด
ต้องหาทางแก้ไขสภาพจิตใจของตัวเองตามเรื่องตามราว ในแบบที่คิดว่าจะทำให้อาการของโรคลดน้อยลงได้
มากที่สุด คนที่เป็นโรคนี้จริงๆ และไม่ได้มีอาการที่หายไปเอง จะพบกับความเป็นจริงที่ว่า
การแพทย์ที่ไร้ประโยชน์นั้น หมายความว่าอย่างไร 

แต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่โรคติกส์นี้เท่านั้นที่สามารถทำให้รู้สึกแบบนั้น โรคที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ทั้งหมด 
ที่เด็กมักจะเป็นพ่วงร่วมกัน หรือเป็นโรคใดโรคหนึ่ง อย่างโรคออทิซึม โรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ
โรคไฮเปอร์ โรคสมาธิสั้น โรควิตกกังวล โรคแอลดี (บกพร่องในการเรียนรู้) ภาวะความจำบกพร่อง
โรคกลัวการเข้าสังคม ไบโพลาร์ และอื่นๆ

ซึ่งโรคทั้งหมดเหมือนกับอยู่ในพื้นที่สีเทา ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางระบบประสาท 
ปัญหาพัฒนาการด้านพฤติกรรมที่มาจากการเลี้ยงดู ปัญหาทางพันธุกรรม และอื่นๆที่ถูกผลักภาระ
การรักษาไปให้ หมอพัฒนาการเด็ก หมอระบบประสาท หมอจิตเวช ซึ่งถ้ารักษาไม่หาย
ก็อธิบายได้ว่ามาจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ซึ่งสาเหตุหรือคำอธิบายเหล่านั้น ทำให้เด็กและพ่อแม่
ของเด็กต้องทำใจที่จะต้องปรับตัว และอยู่ร่วมไปกับโรคให้ได้ตลอดชีวิตเท่านั้น 

ซึ่งในโลกปัจจุบัน โรคมากมายหลายโรค ก็มีสภาพที่เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว 
โรคที่เรียกว่า "โรคแปลกๆ" มักจะเป็นโรคที่แพทย์รักษาไม่ได้ และคนไข้ต้องทนอยู่ไปกับมัน
คนธรรมดาทั่วไปที่ปกติก็รู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องทุกข์ร้อนกับเรื่องโรคเหล่านี้ให้รู้สึกเสียใจ เพราะแต่ละคน
ก็รู้ว่า วันหนึ่ง ตัวเองก็อาจจะโชคร้ายเป็นโรคแปลกๆได้เช่นกัน ในยุคสมัยแบบนี้

"การทำใจ" และ "การอยู่ร่วมไปกับมัน" คือทางออกที่ดีที่สุด
ที่คนทั่วไปสนับสนุนและพร้อมที่จะให้กำลังใจในฐานะของเพื่อนมนุษย์
สำหรับคนที่เป็นโรคติกส์ คนรอบข้างเองก็พร้อมที่จะให้ความเข้าใจ
มีเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจ และให้กำลังใจกับคนที่เป็นโรคนี้

แต่ถ้าหากเป็นโรคติกส์ พร้อมกับความบกพร่องในการเข้าสังคมด้วยล่ะ?
นั่นก็จะเป็นปัญหาใหญ่มากขึ้น เพราะคนที่เป็น ก็จะไม่สามารถได้กำลังใจ 
หรือสามารถอยู่ร่วมกับใครได้เลย ซึ่งเกินขอบเขตที่คนทั่วไปที่อยู่รอบข้างจะสามารถ
ยื่นมือเข้ามาช่วยให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
ถ้าเป็นในกรณีนี้ ตัวของเขาอาจจะถูกมองว่าตัวเขาเองเป็นคนที่ผิด
ที่ทำให้คนอื่นๆไม่สามารถอยู่กับตัวเขาได้

แล้วถ้าหากเป็นโรคซึมเศร้าร่วมด้วยล่ะ?
"People with tic disorders at increased suicide risk"
พวกเขาก็จะมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตาย หรือรู้สึกอยากตายอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่อยากมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
จริงๆแล้วผมไม่จำเป็นต้องใส่ลิงค์เพื่ออ้างอิง เพราะตอนที่ลูกของผมป่วยเป็นโรคนี้
ผมก็รู้อยู่แล้วว่า ถ้าตัวของเขารู้สึกมีปมด้อยเพราะไม่สามารถเข้าสังคมได้เหมือนคนปกติ
เขาก็จะเป็นโรคซึมเศร้า และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เขาก็คงไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้

หากมองหาสาเหตุจริงๆ เท่าที่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโรคนี้มีอยู่ในปัจจุบัน
โดยตัดปัจจัยเรื่องของกรรมพันธุ์ออกไป ซึ่งค่อนข้างไม่มีเหตุผล
เพราะไม่สัมพันธ์กับระดับของโรคที่หลากหลาย และมีการหายเอง หรือไม่หายเอง

การที่เด็กบางคนเริ่มเป็นโรคติกส์ แต่สามารถหายได้เอง ทำให้การพยายามหาสาเหตุ
อาจถูกมองไปที่พ่อแม่ของเด็กที่รักษาไม่หายอย่างช่วยไม่ได้

สาเหตุทางพันธุกรรมยังคงถูกเก็บเอาไว้อยู่ เพื่อเป็นคำอธิบายที่ทำให้พ่อแม่รู้สึกดีขึ้นกับมัน
แต่ถ้าเจาะจงมองไปที่สาเหตุของการเลี้ยงดู พ่อแม่ก็ต้องถูกมองว่าเป็นผู้ที่ทำให้เด็กเกิดปัญหาขึ้น
โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ไม่ได้เป็นที่รักใคร่ของคนที่อยู่ในระแวกเดียวกัน พวกเขามักจะถูกมองว่าเป็นต้นเหตุ
ของโรคทางจิตหรือความผิดปกติทางจิตทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเด็ก 

ข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัดในปัจจุบัน เป็นไปได้อย่างสูงที่พ่อแม่ของเด็กมักจะถูกกล่าวโทษแบบนั้น

เพราะมันเป็นสิ่งที่ดูมีเหตุมีผลมากที่สุด

แม้ว่าจะเป็นครอบครัวที่ปกติและคบหาสมาคมกับคนทั่วไปได้อย่างดีก็ตาม
แต่ก็จะมีบางคนที่เขม่นกับเรา หรือ ไม่ชอบเรา หรือคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบเรา สามารถคิดและจินตนาการ
ในแบบนั้นได้ ซึ่งก็โทษพวกเขาไม่ได้ เพราะการคิดแบบนั้น ก็ถือได้ว่ามีเหตุผลที่รองรับได้อยู่
ซึ่งเราจะพบว่าคนที่เป็นโรคจิตมากมาย ก็มาจากโลก สังคม และครอบครัวที่แหลกสลายแทบทั้งนั้น
น้อยคนที่เราจะได้ยินเรื่องราวว่ามาจากครอบครัวที่ปกติ ซึ่งถ้าเกิดขึ้น ก็จะโทษไปที่เรื่องของพันธุกรรม

เมื่อเล่ามาถึงตรงจุดนี้จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เรียกว่ามนุษย์นั้น ไม่ว่าจะเติบโตและมีการศึกษามากขนาดไหน
ในก้นบึ้งของวิธีคิด ก็จะมีการสรุปในการโทษสาเหตุของปัญหาไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งตามที่ตัวเองเชื่อเสมอ
ซึ่งผ่านการคิดวิเคราะห์แล้ว จากประสบการณ์ ข้อมูล และความรู้ ซึ่งวิธีคิดแบบนี้ ก็อาจจะได้ผลสรุปที่
ถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้องก็ได้ แม้จะไม่ใช่คำตัดสินจากศาลเหมือนกับคนที่กระทำความผิดจนต้องได้รับโทษ
แต่การใช้ชีวิตอยู่ในสังคม จะต้องถูกมองด้วยสายตาที่มาจากการตัดสินของผู้อื่นอยู่เสมอ ตลอดเวลา
นอกเสียจากว่า คนๆนั้นจะสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับคนรอบข้างได้มากที่สุด จนไม่ว่าจะทำอะไร
ก็แล้วแต่ก็จะได้รับการให้อภัย หรือได้รับความเอ็นดู และมีเรื่องของการมีพรรคมีพวกเข้ามาร่วมด้วยเสมอ

โลกทุกวันนี้ มีโลกสองโลก ที่เดินควบคู่กันอยู่แบบนี้เสมอ

หากตัดเรื่องที่คนรอบข้างมองมา ใครจะมองเราอย่างไรก็ช่าง เราไม่สามารถบังคับจิตใจคนอื่นได้
จะไปวิตกกังวลไปเพื่ออะไร? จริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นเพียงการกล่าวนำก่อนเข้าสู่เรื่องราวเท่านั้น

พ่อแม่ส่วนใหญ่ย่อมรักลูกจนสามารถยอมตายแทนลูก เสียสละแขนขาให้ลูกได้ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลูกได้
เด็กที่เป็นโรคติกส์ก็เกิดขึ้นในครอบครัวแบบนี้ได้เช่นกัน พ่อแม่ที่ดีกับลูกทุกอย่าง มีพื้นฐานครอบครัวที่ดีที่สุด
แต่ลูกก็ยังเป็นโรคติกส์ได้ มุมมองการโทษจากสายตาคนรอบข้าง ก็จะไปที่เรื่องของพันธุกรรม 
แต่สำหรับตัวพ่อแม่เองนั้น พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้น นอกจากเรื่องที่จะทำยังไงให้ลูกหาย 

เมื่อข้อมูลในทางการแพทย์บอกว่า อาการติกส์เกิดจากการที่เด็กมีความเครียด
และเกิดจากการที่เด็กถูกทักเมื่อมีอาการเกิดขึ้น 

พวกเขาก็ทำทุกอย่างตามนั้น เพื่อให้โรคที่ลูกเป็นหาย หรือช่วยให้ลูกมีอาการน้อยลงเท่าที่จะทำได้
แต่แม้ว่าจะทำอย่างเต็มที่เพียงไร อาการของโรคก็ไม่ได้ลดน้อยลง และลูกก็ยังคงเป็นจนกระทั่งโต
ไปถึงอายุที่ในทางการแพทย์เรียกว่าเป็นทูเร็ตต์ แล้วต้องเป็นโรคดังกล่าวไปตลอดชีวิต

การเป็นโรคติกส์ทูเร็ตต์ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเด็กเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบกับพ่อแม่อย่างมาก
เพราะไม่มีใครรู้ว่าครอบครัวจริงๆเป็นยังไง คนที่มองว่าเป็นความผิดของครอบครัว หรือแม้แต่ตัวพ่อแม่
เองที่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พ่อแม่ก็ต้องทุกข์และโทษตัวเองอยู่แล้ว
ในเมื่อข้อมูลในทางการแพทย์ ระบุว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการที่ทำให้เด็กเกิดความเครียด 
เด็กถูกทัก ทั้งๆที่พวกเขาอาจจะไม่เคยทำเลยก็ตาม แต่ความบังเอิญเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้พวกเขา
ตกเป็นจำเลยของการกล่าวโทษต่อตัวเอง ซึ่งทำให้พ่อแม่หลายคนรู้สึกทุกข์จนกระทั่งเป็นโรคซึมเศร้า
แล้วต้องทำการรักษากับจิตแพทย์ 

ในเมื่อสาเหตุของโรคนี้ในข้อมูลทางการแพทย์ปัจจุบันยังไม่มีความแน่ชัด 
และมีด้านที่สามารถให้โทษได้หลายด้าน บางครั้งการโทษไปที่เรื่องพันธุกรรม
ก็อาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวพ่อแม่ของเด็กเอง ที่จะช่วยให้อยู่ไปกับโรคที่ลูกเป็นได้
พ่อแม่ของลูกที่เป็นโรคออทิซึมก็เช่นเดียวกัน การโทษไปที่เรื่องของพันธุกรรม ทำให้พวกเขารู้สึก
สบายใจขึ้น และสามารถอยู่ไปกับโรคนี้ได้ 

พันธุกรรม ในอีกด้านหนึ่ง ก็เหมือนเป็นโรคของกรรม คนเราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กให้รู้จักรับผล
ของกรรมที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราเคยไปทำอะไรไว้เมื่อชาติที่แล้ว แต่การที่ได้ชดใช้ในชาตินี้
เราควรที่จะมีความยินดี เพราะการชดใช้ก็จะช่วยให้เราได้รับการปลดปล่อยจากบ่วงกรรมในชาติภพหน้า

แม้จะเป็นคนที่ไม่ได้มีความเชื่อในเรื่องศาสนา แต่วิธีคิดแบบนี้ ก็ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นในระดับหนึ่ง
ซึ่งเราปลูกฝังให้ทุกๆคนมีความคิดแบบนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับความคิดให้มีจิตใจที่สูงขึ้น

แต่มันก็กลายเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งไปเสียแล้ว 

ครอบครัวของผมก็เช่นกัน เราควรจะมีความคิดแบบนี้ เพื่อให้จบปัญหาทุกอย่าง
พูดง่ายๆก็คือการรู้จักทำใจ เมื่อตัวเราหรือคนที่เรารักเป็นโรคที่รักษาไม่หายในทางการแพทย์
ถ้าหากเราดิ้นรนทำอะไรไปมากกว่านั้น นั่นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง
เราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะหาวิธีทางรักษาใดๆ
คนเราทั่วไปได้รับอนุญาตแค่การหมั่นออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์
และการพักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้น ที่เพิ่มมาอีกอย่างในตอนหลังก็คือ การทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส

ถ้าหากทำเพียงเท่านี้ ก็จะได้รับการสรรเสริญจากสังคมรอบข้างแล้ว
ที่ตัวเรารู้จักรักษาสุขภาพร่างกายของตัวเองให้แข็งแรง ด้วยความมีวินัย
มีความแข็งขัน และมีมุมมองในการปฏิบัติตัวในการใช้ชีวิตได้อย่างถูกต้อง

มีพ่อแม่หลายคนที่พยายามทำแบบนั้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้โรคติกส์หายไปหรือมีอาการลดลง

ในตอนนั้นผมและภรรยาโทษตัวเองทุกอย่างที่ทำให้ลูกต้องเป็นโรคนี้ 
ไม่ว่ามันจะมีสาเหตุมาจากอะไรก็ตาม 
แต่พวกเราก็คิดว่า ผู้ที่สมควรถูกโทษมากที่สุดก็คือพวกเราเอง 
มันอาจจะเป็นเรื่องของพันธุกรรม หรือ เรื่องการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้องของเราอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

ในช่วงเวลาที่ระทมทุกข์ การหาข้อมูลเท่าที่จะทำได้จึงเริ่มต้นขึ้น
อย่างน้อยๆเราก็ต้องมีรู้ข้อมูลพื้นฐานในทางการแพทย์ (มีต่อนะครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่