สวัสดีครับ ขอเริ่มเลยละกัน
1. ทำไมถึงไปขลิบ
- ที่ผมไปขลิบเพราะว่าหนังหุ้มปลายมันยังไม่เปิดครับ จริงๆก็เปิดแหละครับ สามารถล้างทำความสะอาดได้ แต่ทำได้แค่เฉพาะตอนอวัยวะเพศ
อ่อนตัวส่วนในตอนที่แข็งตัวก็ขอให้จินตนาการเป็นภาพของเห็ดนะครับ คือมันสามารถรูดหนังลงมาจากหัวได้ แต่หนังมันตีบไม่สามารถรูดกลับมาปิด
เหมือนเดิมได้ต้องรออ่อนตัวจึงจะรูดกลับมาปิดเหมือนเดิมได้
2. หาข้อมูลยังไง/จากไหน
- ผมเริ่มหาข้อมูลจาก google เลยครับ search คำว่า ขลิบ ก็ขึ้นมาเป็นพรวนเลย จนได้ไปเจอบล็อคของหมอท่านนึงที่ใช้ชื่อแฝงว่า สาลิกาโบยบิน
มีประโยชน์มากครับ ผมก็หาข้อมูลว่าที่ไหนรับทำบ้าง ก็มีหลายที่ครับ ตอนแรกกะว่าจะทำ รพ.เอกชน ใกล้บ้าน แต่ราคาค่อนข้างแพง เป็นหมื่นได้ครับ
จนค้นไปเจอของ รพ.รัชดา-ท่าพระ ก็เลยเลือกที่นี่ครับ สาเหตุที่เลือกที่นี่เพราะรีวิวเยอะและมีหลายคนบอกว่าดี และที่สำคัญมีคนบอกว่าที่นี่
จะขลิบแบบ low ซึ่งผมชอบเพราะตอนอ่อนตัวจะยังเหลือหนังย่นๆใต้หัวเห็ด และจะตึงตอนแข็งตัว เลยทำให้ไม่รู้สึกแปลกเวลาขลิบเสร็จแล้ว
3. เริ่มต้น/ติดต่อ/ไปยังไง
- ช่วงที่โควิดระบาด บริษัทมีนโยบายให้ทำงานที่บ้าน ผมก็เลยขออนุญาตหัวหน้าทำงานที่บ้าน โดยผมจะลากิจเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องไปหาหมอครับ
- เริ่มต้นวันอังคารที่ 14 เม.ย. 63 ผมโทรไปที่ รพ. บอกว่าจะขลิบ เจ้าหน้าที่ก็ให้วันนัดมา ผมได้วันขลิบวันพฤหัสที่ 16 เม.ย. 63 ช่วงบ่ายครับ
เจ้าหน้าที่บอกให้ใส่กางเกงหลวมๆมา และก็ให้โกนขนบริเวณนั้นมาด้วย บอกตามตรงครับเกิดมาผมก็เพิ่งเคยโกนขนตรงนั้นครั้งแรก ทุลักทุเลพอควร
เพราะกลัวมันจะบาด แต่มีเทคนิคก็คือ เล็มให้สั้นๆด้วยกรรไกรก่อน แล้วตอนโกนก็พยายามทำให้มันตึงๆเข้าไว้ครับ (ใช้ที่โกนคนละอันกับที่โกนหนวด
จะดีกว่านะครับ ฮา)
-วันที่พฤหัสที่ 16 เม.ย. 63 เที่ยงๆ ผมก็ขับรถจากบ้านที่อยู่รังสิต (ไกลมาก) ไปที่ รพ.รัชดา-ท่าพระ ถึงประมาณบ่ายโมงกว่าๆ ทำบัตรรอหมอซักครู่
ก็ได้เข้าพบหมอครับ
ช่วงพบหมอ หมอก็ถามว่าทำไมถึงมาขลิบและจะตัดเส้นสองสลึงด้วยไหม ผมก็บอกไปว่ามันตีบและขอตัดเส้นสองสลึงออกด้วยเลยเพราะ
รู้สึกว่ามันรั้งๆตอนรูดลงเหมือนกัน แล้วผมก็ถามว่านานไหมกว่าแผลจะหาย สามารถไปทำงานได้เลยไหม แล้วต้องล้างแผลทุกวันหรือเปล่า
หมอก็บอกว่าประมาณเดือนนึงแผลก็หายแล้ว หลังผ่าพัก 2-3 วัน ก็สามารถไปทำงานได้ ส่วนเรื่องล้างแผลผมอยู่รังสิตหมอก็ให้ล้างแผลวันเว้นวัน
ห้ามโดนน้ำ แล้วอีก 2 สัปดาห์ก็นัดมาดูแผลครับ
ช่วงผ่า หลังจากพบหมอเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็เรียกไปเข้าห้องผ่า (ขึ้นเขียง ฮา ) ที่นี่จะเป็นห้องรวมครับมีประมาณ 2-3 เตียง แต่มีม่านกั้น
พยาบาลก็ให้ขึ้นนอนบนเตียงแล้วก็บอกให้ถอดกางเกงลง (เขินมาก พยาบาลหญิงเต็มห้อง) จากนั้นพยาบาลก็เอาผ้ามาปิดตาครับ พอสักพัก
หมอก็มาฉีดยาชาประมาณ 4 จุดครับ เจ็บจี๊ดๆ ทนได้ครับ (แค่จะสะดุ้งโหยงนิดหน่อยตอนเข็มจิ้มลงไปเฉยๆ ฮา) แล้วหมอก็รอให้ยาชาออกฤทธิ์ครับ
พอยาชาออกฤทธิ์หมอก็เริ่มทำการขลิบครับ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ก็เสร็จครับ ในระหว่างทำไม่รู้สึกเจ็บใดๆเลยครับ รู้สึกแค่ว่าทำอยู่เท่านั้น
พอเสร็จเอาผ้าปิดตาออก ก็เลยขอเช็คของหน่อย เปิดออกมาเป็นแหนมตุ้มใหญ่ๆเลยครับ ฮา
ช่วงหลังขลิบเสร็จ ก็เดินออกมาจากห้องสบายๆเลยครับ ไม่เจ็บเลย รอจ่ายเงินกับรับยา แต่ !! ระหว่างรอเริ่มรู้สึกคล้ายอาการแสบๆ
ใช่ครับ ยาชาหมดฤทธิ์แล้ว รู้สึกแสบเจ็บคล้ายเอาพิมเสนกับมดไปอยู่ตรงนั้น รู้สึกซี้ดดดดเป็นระยะๆ (แต่ต้องทำขรึมๆ เพราะคนเต็ม รพ. ฮา)
ผมภาวนาให้เจ้าหน้าที่รีบคิดเงินไวๆจะได้รับยาแก้ปวดมากิน สักครู่ก็จ่ายเงินประมาณ 6 พันบาทต้นๆ ครับ จ่ายเสร็จก็ได้ยากับใบนัดมา
พอได้ยามาก็รีบกินพาราเลย จัดไป 2 เม็ด แล้วก็ขับรถกลับบ้าน ระหว่างขับรถกลับบ้านก็ซี้ดมาตลอดทาง พาราไม่ออกฤทธิ์สักที จนถึงบ้าน
เพิ่งจะออกฤทธิ์ (ผมกินยาพาราแค่วันนี้วันเดียว วันอื่นไม่ปวดแบบนี้แล้วครับ)
4. การดูแลรักษาแผล
ช่วง 1-3 วันแรก
- วันแรก (16 เม.ย.) พอกลับมาถึงบ้านตอนเย็น ผมลองอาบน้ำ แต่เพราะแผลห้ามโดนน้ำ ผมก็เลยใช้ถุงพลาสติกครอบไว้แล้วอาบ
ปรากฏเลอะน้ำแต่ไม่ถึงกับเปียกโชก ก็เลยเอาทิชชู่ซับให้แห้ง (การอาบน้ำวันแรกไม่สำเร็จ ฮา) ในส่วนของการฉี่นั้น ฉี่พุ่งไปทุกทิศทุกทางเลยครับ
น่าจะเป็นเพราะยังมีอาการบวมข้างในอยู่ ฉี่เสร็จก็เอาทิชชู่ซับด้วย
- วันที่สอง (17 เม.ย.) ตื่นมาตอนเช้า ตอนแข็งตัวเจ็บมาก !! ก็พยายามนอนขดเป็นกุ้งพร้อมกับหยิกตามตัวให้มันอ่อนตัวเร็วๆ
พออ่อนตัวลงแล้วก็ไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆที่แผลเลยครับ และเนื่องจาก WFH ผมเลยถือโอกาสไม่อาบน้ำช่วงเช้าครับ ฮา พอตกเย็น
สิ่งที่วัดใจที่สุดของวันมาถึงอีกแล้วครับ นั่นคือการอาบน้ำ เมื่อวานใช้ถุงพลาสติกครอบไว้แต่อาบไม่สำเร็จ วันนี้ลองใช้ wrap ห่ออาหารครับ
ก็บรรจงม้วนๆเข้าไป แต่พออาบจริงปรากฏเลอะน้ำ เปียกชุ่มเลยครับ (ฉันร้องกรี๊ดเลย ฮา) ผมก็พยายามซับให้แห้ง
จากที่หมอบอกให้ทำแผลวันเว้นวัน กลายเป็นว่าวันนี้ต้องทำแผลก่อนล่วงหน้า 1 วัน
ตอนทำแผล เปิดผ้าพันแผลออกมา พบว่าผ้าก็อซมีรอยฉี่ แต่เลือดไม่ค่อยมี ส่วนแผลก็ไม่ค่อยบวมครับ จากนั้นผมก็เอาผ้าก็อซออก
มือข้างนึงก็จับอวัยวะเพศตัวน้อยของเราไว้ (รู้สึกรอบๆแผลจะเป็นห่วงแข็งๆ แต่ก็พยายามไม่โดนมากครับ) มืออีกข้างก็เริ่มเอาสำลีชุบน้ำเกลือก่อน
แล้วค่อยๆซับ แตะเบาๆ (ไม่กล้าเช็ดครับ) จากนั้นก็เอาทิชชู่ที่ไม่เป็นขุยซับให้แห้ง แล้วป้ายยาแดง ปิดท้ายด้วยพันผ้าก็อซกับผ้าพันแผล
ก็เป็นอันเสร็จใช้เวลาทำแผลครั้งแรกไปครึ่ง ชม. ครับ (ครั้งแรกอ่ะเนอะ ฮา)
- วันที่สาม (18 เม.ย.) เหมือนเดิมครับตอนเช้าไม่อาบน้ำ ตอนเย็นเปลี่ยนใหม่ครับเป็นเช็ดตัวแทน เข็ด กลัวต้องทำแผลอีก ก็ไม่มีไรมาก
ผ่านไป 2 สัปดาห์ – ก็เริ่มปรับตัวได้ละครับ เวลาแข็งตัวตอนเช้าต้องทำยังไง ทำความสะอาดตัวยังไง ทำแผลยังไง เดินยังไง
วันนัดดูแผล (1 พ.ค.) – มาถึง รพ. ก็ยื่นใบนัด เจ้าหน้าที่เรียกไปขึ้นเตียง และก็ให้ถอดกางเกง ตอนแรกพยาบาลก็ดูแผลก่อน
แล้วก็ถามว่าจะเอาแม็กเย็บออกเลยไหม ผมเลยเพิ่งถึงบางอ้อครับ ว่าที่นี่คงทำแบบเป็นเครื่องขลิบ ก็เลยตอบไปว่าถ้าเอาออกได้ก็เอาออกครับ
พอหมอมาก็บอกว่าแผลดี ทำแผลอีก 3-4 วันก็โดนน้ำได้แล้ว แล้วก็บอกว่าถ้าจะเอาแม็กเย็บออกต้องฉีดยาชาและก็ต้องทำแผลอีกหน่อย
แต่ถ้าไม่เอาออก อีกสักสองสัปดาห์ แม็กก็จะหลุดเอง ผมก็เลยตัดสินใจว่ายังไม่ทำ แล้วก็กลับบ้านครับ ถึงตรงนี้ก็ไม่ต้องไปหาหมอแล้ว
สัปดาห์ที่ 3 - หลังจากวันที่พบหมอเสร็จ ก็มาสังเกตแผลตัวเองว่า มีแม็กเย็บจริงๆด้วย แล้วก็มีหลุดออกมาแล้วตัวนึง แต่ยังเหลือ
อีกเป็น 10 ที่ยังไม่หลุด ผมก็ทำแผลไปจนครบกำหนดก็อาบน้ำได้ครับ (ฟินมาก) พออาบน้ำเสร็จก็ซับให้แห้งด้วยทิชชู่ แต่ผมสังเกตเห็นว่า
แผลยังมีเลือดออกอยู่ ก็เลยทำแผลแล้วก็พันแผลไว้ไปเรื่อยๆก่อน สัปดาห์นี้ผมเริ่มไปทำงานแล้วครับ ก็พยายามเดินให้เป็นปกติครับ
เพราะมีเสียดสีที่หัวเห็ดบ้าง (ใส่กางเกงใน)
สัปดาห์ที่ 4 – แผลแห้งไม่ค่อยมีเลือดออกแล้ว มีซึมบ้างตรงช่วงเส้นสองสลึงบ้าง (หมอบอกตรงนี้จะหายช้ากว่าตรงอื่นครับ) ก็อาศัย
ซับด้วยทิชชู่หลังอาบน้ำเสร็จ แล้วก็ป้ายยาแดงครับ ถ้าไม่ได้ออกไปไหนผมก็จะใส่ boxer หรือกางเกงบอล แต่ถ้าออกไปข้างนอกก็จะใส่กางเกงใน
พอกลับถึงบ้านก็เปลี่ยนเป็น boxer หรือกางเกงบอลอย่างเดิมครับ
มาถึงเรื่องแม็กเย็บครับ ยังเหลืออีก 7-8 ตัว ที่ไม่ยอมหลุดสักที และดูท่าจะไม่ยอมหลุดง่ายๆ เพราะคล้ายๆมันจะจมลงเข้าไปในเนื้อ
ทีนี้ก็นึกถึงตอนวันที่หมอนัดดูแผล หมอบอกว่าถ้าจะเอาแม็กออกต้องฉีดยาชา แสดงว่า เอาแม็กเย็บออกได้แต่มันจะเจ็บนั่นเอง
(อันนี้ผมคิดไปเองนะครับ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนทำอะไรกับแผลนะครับ) พอหลังอาบน้ำทุกครั้งผมก็จะมานั่งเช็ดแผล ค่อยๆ แกะแม็กเย็บออก
วันละ 2-3 ตัว จนหมด ก็เจ็บอยู่ครับ แต่ต้องทนเพราะดูท่าแล้วไม่หลุดออกเองแน่ๆ บางจุดก็จะมีเลือดซิบๆออกมาบ้างก็จะทำแผลแบบช่วงแรกๆ
จนเลือดหยุดไหลก็ใช้วิธีซับให้แห้งและป้ายยาแดงพอ
จนถึงวันนี้ 20 พ.ค. 63 - แผลแห้งหมดแล้วครับ ในจุดที่มีเลือดออกซิบๆก็ตกสะเก็ดแล้ว เดินเหินนั่งสบาย พอแข็งตัวก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไรด้วย
แต่ยังไม่ได้ใช้งานอะไรมากนะครับ ยังกลัวเจ็บอยู่ คิดว่าอีกซัก 1-2 สัปดาห์น่าจะหายดีหมดแล้ว
5. ความรู้สึกตอนทำมาแล้ว – พอทำมาแล้วรู้สึกดีมาก ทำความสะอาดง่าย รอยขลิบก็สวยดีครับเป็นที่น่าพอใจ
ส่วนเรื่องที่เขาบอกกันว่าขลิบแล้วจะใหญ่ขึ้นนั้น ผมว่าไม่จริงครับ มันแค่ดูหลอกตาเพราะหนังหุ้มปลายมันหายไปก็เท่านั้น
จบละครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังตัดสินใจจะขลิบนะครับ
มาแชร์ประสบการณ์ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายครับ
1. ทำไมถึงไปขลิบ
- ที่ผมไปขลิบเพราะว่าหนังหุ้มปลายมันยังไม่เปิดครับ จริงๆก็เปิดแหละครับ สามารถล้างทำความสะอาดได้ แต่ทำได้แค่เฉพาะตอนอวัยวะเพศ
อ่อนตัวส่วนในตอนที่แข็งตัวก็ขอให้จินตนาการเป็นภาพของเห็ดนะครับ คือมันสามารถรูดหนังลงมาจากหัวได้ แต่หนังมันตีบไม่สามารถรูดกลับมาปิด
เหมือนเดิมได้ต้องรออ่อนตัวจึงจะรูดกลับมาปิดเหมือนเดิมได้
2. หาข้อมูลยังไง/จากไหน
- ผมเริ่มหาข้อมูลจาก google เลยครับ search คำว่า ขลิบ ก็ขึ้นมาเป็นพรวนเลย จนได้ไปเจอบล็อคของหมอท่านนึงที่ใช้ชื่อแฝงว่า สาลิกาโบยบิน
มีประโยชน์มากครับ ผมก็หาข้อมูลว่าที่ไหนรับทำบ้าง ก็มีหลายที่ครับ ตอนแรกกะว่าจะทำ รพ.เอกชน ใกล้บ้าน แต่ราคาค่อนข้างแพง เป็นหมื่นได้ครับ
จนค้นไปเจอของ รพ.รัชดา-ท่าพระ ก็เลยเลือกที่นี่ครับ สาเหตุที่เลือกที่นี่เพราะรีวิวเยอะและมีหลายคนบอกว่าดี และที่สำคัญมีคนบอกว่าที่นี่
จะขลิบแบบ low ซึ่งผมชอบเพราะตอนอ่อนตัวจะยังเหลือหนังย่นๆใต้หัวเห็ด และจะตึงตอนแข็งตัว เลยทำให้ไม่รู้สึกแปลกเวลาขลิบเสร็จแล้ว
3. เริ่มต้น/ติดต่อ/ไปยังไง
- ช่วงที่โควิดระบาด บริษัทมีนโยบายให้ทำงานที่บ้าน ผมก็เลยขออนุญาตหัวหน้าทำงานที่บ้าน โดยผมจะลากิจเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องไปหาหมอครับ
- เริ่มต้นวันอังคารที่ 14 เม.ย. 63 ผมโทรไปที่ รพ. บอกว่าจะขลิบ เจ้าหน้าที่ก็ให้วันนัดมา ผมได้วันขลิบวันพฤหัสที่ 16 เม.ย. 63 ช่วงบ่ายครับ
เจ้าหน้าที่บอกให้ใส่กางเกงหลวมๆมา และก็ให้โกนขนบริเวณนั้นมาด้วย บอกตามตรงครับเกิดมาผมก็เพิ่งเคยโกนขนตรงนั้นครั้งแรก ทุลักทุเลพอควร
เพราะกลัวมันจะบาด แต่มีเทคนิคก็คือ เล็มให้สั้นๆด้วยกรรไกรก่อน แล้วตอนโกนก็พยายามทำให้มันตึงๆเข้าไว้ครับ (ใช้ที่โกนคนละอันกับที่โกนหนวด
จะดีกว่านะครับ ฮา)
-วันที่พฤหัสที่ 16 เม.ย. 63 เที่ยงๆ ผมก็ขับรถจากบ้านที่อยู่รังสิต (ไกลมาก) ไปที่ รพ.รัชดา-ท่าพระ ถึงประมาณบ่ายโมงกว่าๆ ทำบัตรรอหมอซักครู่
ก็ได้เข้าพบหมอครับ
ช่วงพบหมอ หมอก็ถามว่าทำไมถึงมาขลิบและจะตัดเส้นสองสลึงด้วยไหม ผมก็บอกไปว่ามันตีบและขอตัดเส้นสองสลึงออกด้วยเลยเพราะ
รู้สึกว่ามันรั้งๆตอนรูดลงเหมือนกัน แล้วผมก็ถามว่านานไหมกว่าแผลจะหาย สามารถไปทำงานได้เลยไหม แล้วต้องล้างแผลทุกวันหรือเปล่า
หมอก็บอกว่าประมาณเดือนนึงแผลก็หายแล้ว หลังผ่าพัก 2-3 วัน ก็สามารถไปทำงานได้ ส่วนเรื่องล้างแผลผมอยู่รังสิตหมอก็ให้ล้างแผลวันเว้นวัน
ห้ามโดนน้ำ แล้วอีก 2 สัปดาห์ก็นัดมาดูแผลครับ
ช่วงผ่า หลังจากพบหมอเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็เรียกไปเข้าห้องผ่า (ขึ้นเขียง ฮา ) ที่นี่จะเป็นห้องรวมครับมีประมาณ 2-3 เตียง แต่มีม่านกั้น
พยาบาลก็ให้ขึ้นนอนบนเตียงแล้วก็บอกให้ถอดกางเกงลง (เขินมาก พยาบาลหญิงเต็มห้อง) จากนั้นพยาบาลก็เอาผ้ามาปิดตาครับ พอสักพัก
หมอก็มาฉีดยาชาประมาณ 4 จุดครับ เจ็บจี๊ดๆ ทนได้ครับ (แค่จะสะดุ้งโหยงนิดหน่อยตอนเข็มจิ้มลงไปเฉยๆ ฮา) แล้วหมอก็รอให้ยาชาออกฤทธิ์ครับ
พอยาชาออกฤทธิ์หมอก็เริ่มทำการขลิบครับ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ก็เสร็จครับ ในระหว่างทำไม่รู้สึกเจ็บใดๆเลยครับ รู้สึกแค่ว่าทำอยู่เท่านั้น
พอเสร็จเอาผ้าปิดตาออก ก็เลยขอเช็คของหน่อย เปิดออกมาเป็นแหนมตุ้มใหญ่ๆเลยครับ ฮา
ช่วงหลังขลิบเสร็จ ก็เดินออกมาจากห้องสบายๆเลยครับ ไม่เจ็บเลย รอจ่ายเงินกับรับยา แต่ !! ระหว่างรอเริ่มรู้สึกคล้ายอาการแสบๆ
ใช่ครับ ยาชาหมดฤทธิ์แล้ว รู้สึกแสบเจ็บคล้ายเอาพิมเสนกับมดไปอยู่ตรงนั้น รู้สึกซี้ดดดดเป็นระยะๆ (แต่ต้องทำขรึมๆ เพราะคนเต็ม รพ. ฮา)
ผมภาวนาให้เจ้าหน้าที่รีบคิดเงินไวๆจะได้รับยาแก้ปวดมากิน สักครู่ก็จ่ายเงินประมาณ 6 พันบาทต้นๆ ครับ จ่ายเสร็จก็ได้ยากับใบนัดมา
พอได้ยามาก็รีบกินพาราเลย จัดไป 2 เม็ด แล้วก็ขับรถกลับบ้าน ระหว่างขับรถกลับบ้านก็ซี้ดมาตลอดทาง พาราไม่ออกฤทธิ์สักที จนถึงบ้าน
เพิ่งจะออกฤทธิ์ (ผมกินยาพาราแค่วันนี้วันเดียว วันอื่นไม่ปวดแบบนี้แล้วครับ)
4. การดูแลรักษาแผล
ช่วง 1-3 วันแรก
- วันแรก (16 เม.ย.) พอกลับมาถึงบ้านตอนเย็น ผมลองอาบน้ำ แต่เพราะแผลห้ามโดนน้ำ ผมก็เลยใช้ถุงพลาสติกครอบไว้แล้วอาบ
ปรากฏเลอะน้ำแต่ไม่ถึงกับเปียกโชก ก็เลยเอาทิชชู่ซับให้แห้ง (การอาบน้ำวันแรกไม่สำเร็จ ฮา) ในส่วนของการฉี่นั้น ฉี่พุ่งไปทุกทิศทุกทางเลยครับ
น่าจะเป็นเพราะยังมีอาการบวมข้างในอยู่ ฉี่เสร็จก็เอาทิชชู่ซับด้วย
- วันที่สอง (17 เม.ย.) ตื่นมาตอนเช้า ตอนแข็งตัวเจ็บมาก !! ก็พยายามนอนขดเป็นกุ้งพร้อมกับหยิกตามตัวให้มันอ่อนตัวเร็วๆ
พออ่อนตัวลงแล้วก็ไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆที่แผลเลยครับ และเนื่องจาก WFH ผมเลยถือโอกาสไม่อาบน้ำช่วงเช้าครับ ฮา พอตกเย็น
สิ่งที่วัดใจที่สุดของวันมาถึงอีกแล้วครับ นั่นคือการอาบน้ำ เมื่อวานใช้ถุงพลาสติกครอบไว้แต่อาบไม่สำเร็จ วันนี้ลองใช้ wrap ห่ออาหารครับ
ก็บรรจงม้วนๆเข้าไป แต่พออาบจริงปรากฏเลอะน้ำ เปียกชุ่มเลยครับ (ฉันร้องกรี๊ดเลย ฮา) ผมก็พยายามซับให้แห้ง
จากที่หมอบอกให้ทำแผลวันเว้นวัน กลายเป็นว่าวันนี้ต้องทำแผลก่อนล่วงหน้า 1 วัน
ตอนทำแผล เปิดผ้าพันแผลออกมา พบว่าผ้าก็อซมีรอยฉี่ แต่เลือดไม่ค่อยมี ส่วนแผลก็ไม่ค่อยบวมครับ จากนั้นผมก็เอาผ้าก็อซออก
มือข้างนึงก็จับอวัยวะเพศตัวน้อยของเราไว้ (รู้สึกรอบๆแผลจะเป็นห่วงแข็งๆ แต่ก็พยายามไม่โดนมากครับ) มืออีกข้างก็เริ่มเอาสำลีชุบน้ำเกลือก่อน
แล้วค่อยๆซับ แตะเบาๆ (ไม่กล้าเช็ดครับ) จากนั้นก็เอาทิชชู่ที่ไม่เป็นขุยซับให้แห้ง แล้วป้ายยาแดง ปิดท้ายด้วยพันผ้าก็อซกับผ้าพันแผล
ก็เป็นอันเสร็จใช้เวลาทำแผลครั้งแรกไปครึ่ง ชม. ครับ (ครั้งแรกอ่ะเนอะ ฮา)
- วันที่สาม (18 เม.ย.) เหมือนเดิมครับตอนเช้าไม่อาบน้ำ ตอนเย็นเปลี่ยนใหม่ครับเป็นเช็ดตัวแทน เข็ด กลัวต้องทำแผลอีก ก็ไม่มีไรมาก
ผ่านไป 2 สัปดาห์ – ก็เริ่มปรับตัวได้ละครับ เวลาแข็งตัวตอนเช้าต้องทำยังไง ทำความสะอาดตัวยังไง ทำแผลยังไง เดินยังไง
วันนัดดูแผล (1 พ.ค.) – มาถึง รพ. ก็ยื่นใบนัด เจ้าหน้าที่เรียกไปขึ้นเตียง และก็ให้ถอดกางเกง ตอนแรกพยาบาลก็ดูแผลก่อน
แล้วก็ถามว่าจะเอาแม็กเย็บออกเลยไหม ผมเลยเพิ่งถึงบางอ้อครับ ว่าที่นี่คงทำแบบเป็นเครื่องขลิบ ก็เลยตอบไปว่าถ้าเอาออกได้ก็เอาออกครับ
พอหมอมาก็บอกว่าแผลดี ทำแผลอีก 3-4 วันก็โดนน้ำได้แล้ว แล้วก็บอกว่าถ้าจะเอาแม็กเย็บออกต้องฉีดยาชาและก็ต้องทำแผลอีกหน่อย
แต่ถ้าไม่เอาออก อีกสักสองสัปดาห์ แม็กก็จะหลุดเอง ผมก็เลยตัดสินใจว่ายังไม่ทำ แล้วก็กลับบ้านครับ ถึงตรงนี้ก็ไม่ต้องไปหาหมอแล้ว
สัปดาห์ที่ 3 - หลังจากวันที่พบหมอเสร็จ ก็มาสังเกตแผลตัวเองว่า มีแม็กเย็บจริงๆด้วย แล้วก็มีหลุดออกมาแล้วตัวนึง แต่ยังเหลือ
อีกเป็น 10 ที่ยังไม่หลุด ผมก็ทำแผลไปจนครบกำหนดก็อาบน้ำได้ครับ (ฟินมาก) พออาบน้ำเสร็จก็ซับให้แห้งด้วยทิชชู่ แต่ผมสังเกตเห็นว่า
แผลยังมีเลือดออกอยู่ ก็เลยทำแผลแล้วก็พันแผลไว้ไปเรื่อยๆก่อน สัปดาห์นี้ผมเริ่มไปทำงานแล้วครับ ก็พยายามเดินให้เป็นปกติครับ
เพราะมีเสียดสีที่หัวเห็ดบ้าง (ใส่กางเกงใน)
สัปดาห์ที่ 4 – แผลแห้งไม่ค่อยมีเลือดออกแล้ว มีซึมบ้างตรงช่วงเส้นสองสลึงบ้าง (หมอบอกตรงนี้จะหายช้ากว่าตรงอื่นครับ) ก็อาศัย
ซับด้วยทิชชู่หลังอาบน้ำเสร็จ แล้วก็ป้ายยาแดงครับ ถ้าไม่ได้ออกไปไหนผมก็จะใส่ boxer หรือกางเกงบอล แต่ถ้าออกไปข้างนอกก็จะใส่กางเกงใน
พอกลับถึงบ้านก็เปลี่ยนเป็น boxer หรือกางเกงบอลอย่างเดิมครับ
มาถึงเรื่องแม็กเย็บครับ ยังเหลืออีก 7-8 ตัว ที่ไม่ยอมหลุดสักที และดูท่าจะไม่ยอมหลุดง่ายๆ เพราะคล้ายๆมันจะจมลงเข้าไปในเนื้อ
ทีนี้ก็นึกถึงตอนวันที่หมอนัดดูแผล หมอบอกว่าถ้าจะเอาแม็กออกต้องฉีดยาชา แสดงว่า เอาแม็กเย็บออกได้แต่มันจะเจ็บนั่นเอง
(อันนี้ผมคิดไปเองนะครับ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนทำอะไรกับแผลนะครับ) พอหลังอาบน้ำทุกครั้งผมก็จะมานั่งเช็ดแผล ค่อยๆ แกะแม็กเย็บออก
วันละ 2-3 ตัว จนหมด ก็เจ็บอยู่ครับ แต่ต้องทนเพราะดูท่าแล้วไม่หลุดออกเองแน่ๆ บางจุดก็จะมีเลือดซิบๆออกมาบ้างก็จะทำแผลแบบช่วงแรกๆ
จนเลือดหยุดไหลก็ใช้วิธีซับให้แห้งและป้ายยาแดงพอ
จนถึงวันนี้ 20 พ.ค. 63 - แผลแห้งหมดแล้วครับ ในจุดที่มีเลือดออกซิบๆก็ตกสะเก็ดแล้ว เดินเหินนั่งสบาย พอแข็งตัวก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไรด้วย
แต่ยังไม่ได้ใช้งานอะไรมากนะครับ ยังกลัวเจ็บอยู่ คิดว่าอีกซัก 1-2 สัปดาห์น่าจะหายดีหมดแล้ว
5. ความรู้สึกตอนทำมาแล้ว – พอทำมาแล้วรู้สึกดีมาก ทำความสะอาดง่าย รอยขลิบก็สวยดีครับเป็นที่น่าพอใจ
ส่วนเรื่องที่เขาบอกกันว่าขลิบแล้วจะใหญ่ขึ้นนั้น ผมว่าไม่จริงครับ มันแค่ดูหลอกตาเพราะหนังหุ้มปลายมันหายไปก็เท่านั้น
จบละครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังตัดสินใจจะขลิบนะครับ