สวัสดีครับ ก่อนอื่นต้องบอกว่าสมัครสมาชิกของพันทิปไว้ปีที่แล้วแล้วครับ
เห็นกระทู้ประสบการณ์เล่าให้ข้อคิดต่างๆ เยอะมาก แต่ประสบการณ์ที่มาเล่าเกี่ยวกับการขลิบยังไม่มี
ผมเลยตัดสินใจนำเรื่องราวมาบอกต่อ ตั้งแต่ตอนตรวจ ตอนผ่า การทำแผล และหลังการใช้งานเลยนะครับ
เผื่อคุณผู้ชายหลายคนที่คิดไม่ตกว่าจะทำดีไหม เจ็บหรือเปล่า จะได้ตัดสินใจง่ายขึ้นนะครับ
ตอนนี้แผลหายเรียบสนิทไม่มีร่องรอยเหมือนถูกตัดหนังตรงนั้นออกเลยครับ ต้องขอบคุณคุณหมอที่เย็บแผลดีขนาดนี้ครับ
ผมอาจจะเล่าตรงๆ ทื่อๆ ไปหน่อย เพราะไม่เคยตั้งกระทู้มาก่อนเลย มีอะไรสงสัยถามได้นะครับ
อาจจะมีคำไม่สุภาพบ้างนะครับ
ปล.ผมเป็นเกย์นะครับ ไม่ใช่ชายแท้
_____________________________________________________________________________
หลังจากขลิบเสร็จตอนนี้ผ่านมาหนี่งปีแล้วครับ
ผมทำตอนอายุ 18 หลังไปเข้าค่ายภาคสนาม นศท. พอดีครับ
ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะทำเลยครับ เพราะช่วยตัวเองก็โอเค ไม่รู้สึกว่ามันมีปัญหาถึงขั้นที่ต้องเอาหนังส่วนนั้นออก
(ตอนช่วยตัวเองผมไม่เคยรูดจนหัวโผล่เลยนะครับ เพราะเจ็บมากเคยลองครั้งหนึ่ง น้ำตาไหลเลยครับ)
มันมีอยู่วันหนึ่งครับที่ทำให้ผมตัดสินใจที่จะไปขลิบ เพราะผมฉี่ครับ แล้วมันรู้สึกเหมือนฉี่ไม่หมด เหมือนจะฉี่อีก แต่ก็ไม่ฉี่ ความรู้สึกแบบนั้นเลยครับ
ก็ยังไม่คิดอะไร จนอีกวันตื่นเช้ามาฉี่มันกลับรู้สึกเจ็บเหมือนอะไรดันอยู่ข้างใน จนผมกลัวขึ้นมา
พอมองหนังที่หุ้มปลายปรากฏว่ามันเยอะมากเลยครับ สักเซนต์สองเซนต์เห็นจะได้ครับ ไม่เห็นหัวเลย
ผมก็เลยลองหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตดูว่าจะทำยังไงดี
ไม่กล้าปรึกษาพ่อแม่ครับ เพราะที่บ้านถือเรื่องเซ็กซ์ เรื่องอวัยวะเพศพวกนี้พอสมควรครับ หัวโบราณหน่อยๆ
ครั้นจะปรึกษาเพื่อนผู้ชายก็เขิน เพราะลองแย็บกับเพื่อนที่เป้นเกย์อีกคนมันกูบอกว่าของมันหัวเปิดธรรมชาติตั้งแตอนแปดขวบแล้ว
ผมเลยยิ่งใจแป้วไปใหญ่ ความรู้สึกเหมือนไม่ได้เจ็บอะไรแต่ก็ทุกข์ไปแล้ว
มีหลายประเด็นที่ผมคิดเลยคือ ในเมื่อผมเป็นเกย์รับ ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้ากระปู้อยู่แล้ว ไม่ขลิบอาจจะดีกว่า
แต่อีกความคิดคือผมไม่เคยถอกหัวออกมาล้างเลยครับ ไม่รู้ว่าด้านในจะมีอะไรสกปรกมาก
พอได้ยินมาเหมือนกันว่าการขลิบส่วนใหย่จะทำตอนเด็กเกิดใหม่ๆ ไม่ปล่อยมาจนโตขนาดนี้
ผมเลยตัดสินใจปรึกษาพ่อแม่เลยว่า ตอนนี้อ่ะรู้สึกแบบนี้ๆ ก็พยายามพุดเลี่ยงๆ ครับ เพราะผมก็พ่อแม่ไม่ค่อยคุยกันเรื่องพวกนี้เลย ผมจะเป็นฝ่ายปรึกษาเพื่อนแทนมากกว่า แหะๆ
แม่ก็แปลกใจว่าโตขนาดนี้แล้วมันยังไม่เปิดอีกเหรอ อยากทำก็ไม่เป็นไรนะ แต่เจ็บหน่อย เพราะได้ยินคนแถวบ้านบอกว่าพาเด็กเจ็ดขวบไปทำมันร้องไห้จ้าเลย ผมก็กล้าๆ กลัวๆ แต่ด้วยความที่อยากให้มันเสร็จสิ้นเรื่องสิ้นราวไปซะ จะได้มีเหมือนของคนอื่นเสียที
ปล.ตอนนั้นผมคิดหนักมากเลยนะครับ เหมือนเราเป็นตัวประหลาดเลย ของชาวบ้านเขาเปิดบานเป็นเห็ดในเกมมาริโอ้ ทำไมของผมถึงปิดสนิทเป็นหอยแครงใต้มหาสมุทรแบบนี้
พ่อก็ไม่พูดอะไร พาไปตรวจกับหมอที่คลินิกตอนเย็นวันนั้นเลย โชคดีเป็นคลินิกหมอคนหนึ่งที่พ่อเคยคุยด้วย
แน่นอนครับว่าเป้นหมอผู้ชาย =_=^ ผมก็แอบกังวลหน่อยๆ ผมถืออ่ะครับ ติดจากที่บ้าน เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องในที่ลับ ไม่ควรให้คนอื่นเห็น
พอขึ้นไปนอนบนเตียง หมอก็บอกว่าถอดกางเกงรอเลยครับ ผมเขินมาก ไม่เคยให้ใครเห็นมาก่อนเลย
หมอก็จับดู (ตอนนั้นผมต้องข่มความรู้สึกมากไม่ให้เกิดอารมณ์) แล้วรูดลงครับ!
รูด คือ การทำแบบเวลาผู้ชายช่วยตัวเองอ่ะครับ ดึงหนังให้ลงมาข้างล่าง
ผมร้องลั่นห้องเลยครับ น้ำตาซึมเลย ทั้งเจ็บ ทั้งเสียว เขินด้วย
หมอก็ทำแค่นั้นและเขียนใบสั่งเลยครับว่าอีกกี่วันกี่สัปดาห์ให้ไปเจอที่โรงพยาบาล
เกือบสองเดือนครับถ้าจำไม่ผิด ผมก็ไปโรงพยาบาล ยื่นใบสั่ง ตอนแรกนึกว่าจะได้ทำช่วงเช้า แต่ใบสั่งดันมาจากคลินิกซึ่งไม่ขึ้นกับโรงพยาบาล
เลยรอครับ จนประมาณบ่ายโมง หมอก็เรียกตัวไปชั้นบนสุดตึกผ่าตัดครับ พยาบาลก็ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดโรงพยาบาล ไม่ใส่กางเกงใน แล้วให้ใส่หมวกคล้ายหมวกคลุมอาบน้ำป้องกันเชื้อโรคก่อนเข้าห้องผ่าตัด
ผมตัดสินใจบอกพ่อกับแม่รอชั้นล่าง ส่วนผมเดินไปด้านบนคนเดียว บรรยากาศหน้าห้องผ่าตัดเงียบและแอร์เย็นจนผมขนลุกเลยครับ มีวิสัญญีแพทย์คนหนึ่งนั่งตรงนั้น เธอก็ชวนผมคุย ผมก็ตอบไปสั้นๆ เท่านั้น เพราะในความรู้สึกมันตื่นเต้น กลัวและสับสนไปหมด จะกลับหลังก็ไม่ทันแล้ว
วิสัญญีแพทย์คนนั้นบอกว่ามีเคสผ่าตัดถูกแทง ให้รอก่อน ผมก็นั่งรอ สักพักก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งนอนคว่ำบนเตียงถูกบุรุษพยาบาลเข็นออกมา ที่บั้นเอวมีผ้าพันแผลพันรอบเลย เขาทำหน้าชิวมากครับ เหมือนไม่เจ็บอะไรเลย
สักพักพยาบาลในห้องผ่าตัดก็เรียกผมเข้าไป ตอนนั้นผมอยากร้องไห้มากเลยครับ กลัวเจ็บ
ผมมีความกลัวฝังใจ คือ กลัวเลือด กลัวกลิ่นแอลกอฮอล์ กลัวเข็ม แต่ก็เดินเข้าไปด้านในจนได้
หมอที่คลินิกคนนั้นกำลังสวมถุงมือ มีพยาบาลช่วยกันประมาณเจ็ดคน จนผมตกใจว่าทำไมเยอะแบบนี้
พยาบาลเรียกผมนอนบนเตียงครับ แล้วมีเครื่องมืออะไรมาหนีบตัวผมเต็มไปหมด เขาบอกว่าอ้าขาออก ขอทำความสะอาดพื้นที่ผ่าตัด แล้วก็มีกำแพงกั้นสีขาวยกสูงกั้นระหว่างช่วงอกกับช่วงล่างเหมือนไม่อยากให้คนป่วยเห็น
ผมก็นึกในใจว่าเดี๋ยวก้ต้องให้ยาสลบ ไม่ต้องปิดก็ได้นี่นา
พยาบาลดึงกางเกงผมลงไปครับ แล้วเทน้ำอะไรบางอย่างลงมาก่อนเช็ดตาม เสียงคลื่นหัวใจหรือชีพจรอะไรสักอย่างดังขึ้นจนผมกลัวไปหมด หมอและพยาบาลในชุดเขียวทำให้ผมนึกไปถึงพ่อมดแม่มด ผมน้ำตาซึมเลยครับ รู้สึกกลัวมาก
พยาบาลก็พยายามชวนผมคุยและบอกให้ทำใจเย็น ประมาณห้านาทีหมอก็พูดขึ้นว่า ขอฉีดยาชานะครับ
ผมตกใจมากแบบอะไรนะ ไม่ให้ยาสลบเหรอ
หมอให้เหตุผลว่ายาสลบใช้สำหรับเคสหนักกว่านี้ ของผมเป็นการผ่าตัดเล็กเพราะฉะนั้นจะฉีดยาชาแทน
ผมไม่ทันตอบอะไรหมอก็ฉีดยาใส่เจ้าหนูผมต้องส่วนปลาย ผมเจ็บมากครับ กรี๊ดลั่นห้องเลย ผมรู้เลยว่าทำไมมีพยาบาลเยอะ พวกเธอมาล็อกตัวล็อกแข้งขาผมไม่ให้ขยับเลยครับ ผมร้องไห้แบบไม่อายใครเลย เจ็บมาก เจ็บจนจะไม่ไหว จะเป็นลมแล้ว
นึกว่าฉีดเข็มเดียวจะเสร็จ
ปรากฏว่าฉีดบริเวณเดิม 4 เข็มครับ!!
ผมร้องไห้เสียงดังมากเลย น้ำตาไหลเปียกหมอนหมดเลยครับ ไม่เคยเจอะไรที่เจ็บขนาดนี้มาก่อนเลย
เดี่ยวกลับมาเล่าต่อนะครับ
[กระทู้เล่า 18+] ประสบการณ์การขลิบและการใช้งานหลังการขลิบ
เห็นกระทู้ประสบการณ์เล่าให้ข้อคิดต่างๆ เยอะมาก แต่ประสบการณ์ที่มาเล่าเกี่ยวกับการขลิบยังไม่มี
ผมเลยตัดสินใจนำเรื่องราวมาบอกต่อ ตั้งแต่ตอนตรวจ ตอนผ่า การทำแผล และหลังการใช้งานเลยนะครับ
เผื่อคุณผู้ชายหลายคนที่คิดไม่ตกว่าจะทำดีไหม เจ็บหรือเปล่า จะได้ตัดสินใจง่ายขึ้นนะครับ
ตอนนี้แผลหายเรียบสนิทไม่มีร่องรอยเหมือนถูกตัดหนังตรงนั้นออกเลยครับ ต้องขอบคุณคุณหมอที่เย็บแผลดีขนาดนี้ครับ
ผมอาจจะเล่าตรงๆ ทื่อๆ ไปหน่อย เพราะไม่เคยตั้งกระทู้มาก่อนเลย มีอะไรสงสัยถามได้นะครับ
อาจจะมีคำไม่สุภาพบ้างนะครับ
ปล.ผมเป็นเกย์นะครับ ไม่ใช่ชายแท้
_____________________________________________________________________________
หลังจากขลิบเสร็จตอนนี้ผ่านมาหนี่งปีแล้วครับ
ผมทำตอนอายุ 18 หลังไปเข้าค่ายภาคสนาม นศท. พอดีครับ
ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะทำเลยครับ เพราะช่วยตัวเองก็โอเค ไม่รู้สึกว่ามันมีปัญหาถึงขั้นที่ต้องเอาหนังส่วนนั้นออก
(ตอนช่วยตัวเองผมไม่เคยรูดจนหัวโผล่เลยนะครับ เพราะเจ็บมากเคยลองครั้งหนึ่ง น้ำตาไหลเลยครับ)
มันมีอยู่วันหนึ่งครับที่ทำให้ผมตัดสินใจที่จะไปขลิบ เพราะผมฉี่ครับ แล้วมันรู้สึกเหมือนฉี่ไม่หมด เหมือนจะฉี่อีก แต่ก็ไม่ฉี่ ความรู้สึกแบบนั้นเลยครับ
ก็ยังไม่คิดอะไร จนอีกวันตื่นเช้ามาฉี่มันกลับรู้สึกเจ็บเหมือนอะไรดันอยู่ข้างใน จนผมกลัวขึ้นมา
พอมองหนังที่หุ้มปลายปรากฏว่ามันเยอะมากเลยครับ สักเซนต์สองเซนต์เห็นจะได้ครับ ไม่เห็นหัวเลย
ผมก็เลยลองหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตดูว่าจะทำยังไงดี
ไม่กล้าปรึกษาพ่อแม่ครับ เพราะที่บ้านถือเรื่องเซ็กซ์ เรื่องอวัยวะเพศพวกนี้พอสมควรครับ หัวโบราณหน่อยๆ
ครั้นจะปรึกษาเพื่อนผู้ชายก็เขิน เพราะลองแย็บกับเพื่อนที่เป้นเกย์อีกคนมันกูบอกว่าของมันหัวเปิดธรรมชาติตั้งแตอนแปดขวบแล้ว
ผมเลยยิ่งใจแป้วไปใหญ่ ความรู้สึกเหมือนไม่ได้เจ็บอะไรแต่ก็ทุกข์ไปแล้ว
มีหลายประเด็นที่ผมคิดเลยคือ ในเมื่อผมเป็นเกย์รับ ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้ากระปู้อยู่แล้ว ไม่ขลิบอาจจะดีกว่า
แต่อีกความคิดคือผมไม่เคยถอกหัวออกมาล้างเลยครับ ไม่รู้ว่าด้านในจะมีอะไรสกปรกมาก
พอได้ยินมาเหมือนกันว่าการขลิบส่วนใหย่จะทำตอนเด็กเกิดใหม่ๆ ไม่ปล่อยมาจนโตขนาดนี้
ผมเลยตัดสินใจปรึกษาพ่อแม่เลยว่า ตอนนี้อ่ะรู้สึกแบบนี้ๆ ก็พยายามพุดเลี่ยงๆ ครับ เพราะผมก็พ่อแม่ไม่ค่อยคุยกันเรื่องพวกนี้เลย ผมจะเป็นฝ่ายปรึกษาเพื่อนแทนมากกว่า แหะๆ
แม่ก็แปลกใจว่าโตขนาดนี้แล้วมันยังไม่เปิดอีกเหรอ อยากทำก็ไม่เป็นไรนะ แต่เจ็บหน่อย เพราะได้ยินคนแถวบ้านบอกว่าพาเด็กเจ็ดขวบไปทำมันร้องไห้จ้าเลย ผมก็กล้าๆ กลัวๆ แต่ด้วยความที่อยากให้มันเสร็จสิ้นเรื่องสิ้นราวไปซะ จะได้มีเหมือนของคนอื่นเสียที
ปล.ตอนนั้นผมคิดหนักมากเลยนะครับ เหมือนเราเป็นตัวประหลาดเลย ของชาวบ้านเขาเปิดบานเป็นเห็ดในเกมมาริโอ้ ทำไมของผมถึงปิดสนิทเป็นหอยแครงใต้มหาสมุทรแบบนี้
พ่อก็ไม่พูดอะไร พาไปตรวจกับหมอที่คลินิกตอนเย็นวันนั้นเลย โชคดีเป็นคลินิกหมอคนหนึ่งที่พ่อเคยคุยด้วย
แน่นอนครับว่าเป้นหมอผู้ชาย =_=^ ผมก็แอบกังวลหน่อยๆ ผมถืออ่ะครับ ติดจากที่บ้าน เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องในที่ลับ ไม่ควรให้คนอื่นเห็น
พอขึ้นไปนอนบนเตียง หมอก็บอกว่าถอดกางเกงรอเลยครับ ผมเขินมาก ไม่เคยให้ใครเห็นมาก่อนเลย
หมอก็จับดู (ตอนนั้นผมต้องข่มความรู้สึกมากไม่ให้เกิดอารมณ์) แล้วรูดลงครับ!
รูด คือ การทำแบบเวลาผู้ชายช่วยตัวเองอ่ะครับ ดึงหนังให้ลงมาข้างล่าง
ผมร้องลั่นห้องเลยครับ น้ำตาซึมเลย ทั้งเจ็บ ทั้งเสียว เขินด้วย
หมอก็ทำแค่นั้นและเขียนใบสั่งเลยครับว่าอีกกี่วันกี่สัปดาห์ให้ไปเจอที่โรงพยาบาล
เกือบสองเดือนครับถ้าจำไม่ผิด ผมก็ไปโรงพยาบาล ยื่นใบสั่ง ตอนแรกนึกว่าจะได้ทำช่วงเช้า แต่ใบสั่งดันมาจากคลินิกซึ่งไม่ขึ้นกับโรงพยาบาล
เลยรอครับ จนประมาณบ่ายโมง หมอก็เรียกตัวไปชั้นบนสุดตึกผ่าตัดครับ พยาบาลก็ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดโรงพยาบาล ไม่ใส่กางเกงใน แล้วให้ใส่หมวกคล้ายหมวกคลุมอาบน้ำป้องกันเชื้อโรคก่อนเข้าห้องผ่าตัด
ผมตัดสินใจบอกพ่อกับแม่รอชั้นล่าง ส่วนผมเดินไปด้านบนคนเดียว บรรยากาศหน้าห้องผ่าตัดเงียบและแอร์เย็นจนผมขนลุกเลยครับ มีวิสัญญีแพทย์คนหนึ่งนั่งตรงนั้น เธอก็ชวนผมคุย ผมก็ตอบไปสั้นๆ เท่านั้น เพราะในความรู้สึกมันตื่นเต้น กลัวและสับสนไปหมด จะกลับหลังก็ไม่ทันแล้ว
วิสัญญีแพทย์คนนั้นบอกว่ามีเคสผ่าตัดถูกแทง ให้รอก่อน ผมก็นั่งรอ สักพักก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งนอนคว่ำบนเตียงถูกบุรุษพยาบาลเข็นออกมา ที่บั้นเอวมีผ้าพันแผลพันรอบเลย เขาทำหน้าชิวมากครับ เหมือนไม่เจ็บอะไรเลย
สักพักพยาบาลในห้องผ่าตัดก็เรียกผมเข้าไป ตอนนั้นผมอยากร้องไห้มากเลยครับ กลัวเจ็บ
ผมมีความกลัวฝังใจ คือ กลัวเลือด กลัวกลิ่นแอลกอฮอล์ กลัวเข็ม แต่ก็เดินเข้าไปด้านในจนได้
หมอที่คลินิกคนนั้นกำลังสวมถุงมือ มีพยาบาลช่วยกันประมาณเจ็ดคน จนผมตกใจว่าทำไมเยอะแบบนี้
พยาบาลเรียกผมนอนบนเตียงครับ แล้วมีเครื่องมืออะไรมาหนีบตัวผมเต็มไปหมด เขาบอกว่าอ้าขาออก ขอทำความสะอาดพื้นที่ผ่าตัด แล้วก็มีกำแพงกั้นสีขาวยกสูงกั้นระหว่างช่วงอกกับช่วงล่างเหมือนไม่อยากให้คนป่วยเห็น
ผมก็นึกในใจว่าเดี๋ยวก้ต้องให้ยาสลบ ไม่ต้องปิดก็ได้นี่นา
พยาบาลดึงกางเกงผมลงไปครับ แล้วเทน้ำอะไรบางอย่างลงมาก่อนเช็ดตาม เสียงคลื่นหัวใจหรือชีพจรอะไรสักอย่างดังขึ้นจนผมกลัวไปหมด หมอและพยาบาลในชุดเขียวทำให้ผมนึกไปถึงพ่อมดแม่มด ผมน้ำตาซึมเลยครับ รู้สึกกลัวมาก
พยาบาลก็พยายามชวนผมคุยและบอกให้ทำใจเย็น ประมาณห้านาทีหมอก็พูดขึ้นว่า ขอฉีดยาชานะครับ
ผมตกใจมากแบบอะไรนะ ไม่ให้ยาสลบเหรอ
หมอให้เหตุผลว่ายาสลบใช้สำหรับเคสหนักกว่านี้ ของผมเป็นการผ่าตัดเล็กเพราะฉะนั้นจะฉีดยาชาแทน
ผมไม่ทันตอบอะไรหมอก็ฉีดยาใส่เจ้าหนูผมต้องส่วนปลาย ผมเจ็บมากครับ กรี๊ดลั่นห้องเลย ผมรู้เลยว่าทำไมมีพยาบาลเยอะ พวกเธอมาล็อกตัวล็อกแข้งขาผมไม่ให้ขยับเลยครับ ผมร้องไห้แบบไม่อายใครเลย เจ็บมาก เจ็บจนจะไม่ไหว จะเป็นลมแล้ว
นึกว่าฉีดเข็มเดียวจะเสร็จ
ปรากฏว่าฉีดบริเวณเดิม 4 เข็มครับ!!
ผมร้องไห้เสียงดังมากเลย น้ำตาไหลเปียกหมอนหมดเลยครับ ไม่เคยเจอะไรที่เจ็บขนาดนี้มาก่อนเลย
เดี่ยวกลับมาเล่าต่อนะครับ