เป็นอะไรที่คนไทยเราคุ้นชินกับประโยคนี้
ขอท้าวความเรื่องสวรรค์กับนรก สวรรค์กับนรกเป็นอะไรที่มาควบคู่กับคำสอนในทุกชนชาติและมีอยู่ในแทบทุกศาสนา
ว่าด้วยนรกก่อน นรกเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายและจินตนาการสำหรับคนเรา เพราะคนเป็นๆคงยากที่จะได้พบเจอ และเป็นสิ่งที่คอยกำกับให้พฤติกรรมของมนุษย์เป็นไปในทางที่ดี เพราะกลัวบาปกรรม แต่กระนั้นก็ยังคงมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เชื่อในเรื่องนรกและสวรรค์ แต่ถ้าโดยสัญชาตญาณของมนุษย์ นรกคงไม่ต่างจาก คุก-เรือนจำ ที่ขังคนกระทำผิดไว้ในนั้น คุก-เรือนจำ เป็นสถานที่ที่กักขังคนผิด โดยเน้นให้ระลึกถึงสิ่งที่ได้กระทำ เพื่อสำนึกผิด *ส่วนตัวเชื่อว่าหากสำนึกผิดได้ ก็เท่ากับลดบาปกรรมที่จะสะท้อนกลับมาให้เบาลง ไม่มากก็น้อย ซึ่งในหลายๆความเชื่อ ศาสนา ก็มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่านรก สวรรค์ นั้นเป็นอย่างนั้นอย่าง มีเป็น ขุมๆบ้าง เป็นแดนบ้าง โดยมี นายนิรยบาลเป็นผู้คอยลงฑัณฑ์ ซึ่งผู้ถูกลงทัณฑ์จะอยู่ในสถานะ "สัตว์นรก" และจะต้องเคลียร์บาปกรรมที่ติดค้างก่อนจะได้เข้าสู่สวรรค์
ในความเป็นจริง นรกนั้นเป็นอย่างไรพวกเราไม่สามารถรู้ได้เลย มีเพียงนิทาน ตำนาน การบอกเล่าต่อๆกันมา แต่นรกบนดินนี้มีแน่นอน เช่น พื้นที่สงคราม พื้นที่โรคระบาด รวมถึงการกระทำจากบุคคลอื่น และที่ที่หลีกหนีไม่พ้นนั้นคือ สวรรค์ในอก นรกในใจ กล่าวง่ายๆสำหรับประโยคนี้ ใครทำอะไรย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเอง ดังนั้นเมื่อรู้อยู่แก่ใจ จึงไม่แปลกที่จะรู้สึก อึดอัด ท้อถอย เบื่อหน่าย เกรงกลัวความผิด หรือจะ ยินดี สุขใจ สุขภาพจิตที่ดี
แม้แต่ความทรงจำจากการถูกกระทำหรือถูกเบียดเบียน ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยากเช่นกัน แต่สำหรับคนบางกลุ่มกลับขุดหลุมนั้นเอง ซึ่งเขาเหล่านั้นจมปลักอยู่แต่เรื่องเดิมๆ เครียด วิตกกังวล จมอยู่กับความทรงจำเหล่านั้น ซึ่งมันเหมือนเป็นการถูกลงทัณฑ์อย่างหนึ่ง สำหรับทางออกนั้น "สกิลอุเบกขา"จัดเป็นตัวช่วยที่ดี หากรู้จัก เข้าใจ และใช้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ผู้นั้นฉุดตนเองขึ้นจากหลุมนั้นเองได้ หากอุเบกขาปล่อยวางได้ สำหรับบางเรื่องนั้นก็ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
สวรรค์ในอก นรกในใจ ตรงตามประโยค สุขกาย สบายใจ ก็เท่ากับเข้าสู่สวรรค์ ณ ปัจจุบันนั้นๆแล้ว แล้วพวกคุณล่ะ ปล่อยวางแล้วหรือยัง
สวรรค์ในอก นรกในใจ
ขอท้าวความเรื่องสวรรค์กับนรก สวรรค์กับนรกเป็นอะไรที่มาควบคู่กับคำสอนในทุกชนชาติและมีอยู่ในแทบทุกศาสนา
ว่าด้วยนรกก่อน นรกเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายและจินตนาการสำหรับคนเรา เพราะคนเป็นๆคงยากที่จะได้พบเจอ และเป็นสิ่งที่คอยกำกับให้พฤติกรรมของมนุษย์เป็นไปในทางที่ดี เพราะกลัวบาปกรรม แต่กระนั้นก็ยังคงมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เชื่อในเรื่องนรกและสวรรค์ แต่ถ้าโดยสัญชาตญาณของมนุษย์ นรกคงไม่ต่างจาก คุก-เรือนจำ ที่ขังคนกระทำผิดไว้ในนั้น คุก-เรือนจำ เป็นสถานที่ที่กักขังคนผิด โดยเน้นให้ระลึกถึงสิ่งที่ได้กระทำ เพื่อสำนึกผิด *ส่วนตัวเชื่อว่าหากสำนึกผิดได้ ก็เท่ากับลดบาปกรรมที่จะสะท้อนกลับมาให้เบาลง ไม่มากก็น้อย ซึ่งในหลายๆความเชื่อ ศาสนา ก็มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่านรก สวรรค์ นั้นเป็นอย่างนั้นอย่าง มีเป็น ขุมๆบ้าง เป็นแดนบ้าง โดยมี นายนิรยบาลเป็นผู้คอยลงฑัณฑ์ ซึ่งผู้ถูกลงทัณฑ์จะอยู่ในสถานะ "สัตว์นรก" และจะต้องเคลียร์บาปกรรมที่ติดค้างก่อนจะได้เข้าสู่สวรรค์
ในความเป็นจริง นรกนั้นเป็นอย่างไรพวกเราไม่สามารถรู้ได้เลย มีเพียงนิทาน ตำนาน การบอกเล่าต่อๆกันมา แต่นรกบนดินนี้มีแน่นอน เช่น พื้นที่สงคราม พื้นที่โรคระบาด รวมถึงการกระทำจากบุคคลอื่น และที่ที่หลีกหนีไม่พ้นนั้นคือ สวรรค์ในอก นรกในใจ กล่าวง่ายๆสำหรับประโยคนี้ ใครทำอะไรย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเอง ดังนั้นเมื่อรู้อยู่แก่ใจ จึงไม่แปลกที่จะรู้สึก อึดอัด ท้อถอย เบื่อหน่าย เกรงกลัวความผิด หรือจะ ยินดี สุขใจ สุขภาพจิตที่ดี
แม้แต่ความทรงจำจากการถูกกระทำหรือถูกเบียดเบียน ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยากเช่นกัน แต่สำหรับคนบางกลุ่มกลับขุดหลุมนั้นเอง ซึ่งเขาเหล่านั้นจมปลักอยู่แต่เรื่องเดิมๆ เครียด วิตกกังวล จมอยู่กับความทรงจำเหล่านั้น ซึ่งมันเหมือนเป็นการถูกลงทัณฑ์อย่างหนึ่ง สำหรับทางออกนั้น "สกิลอุเบกขา"จัดเป็นตัวช่วยที่ดี หากรู้จัก เข้าใจ และใช้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ผู้นั้นฉุดตนเองขึ้นจากหลุมนั้นเองได้ หากอุเบกขาปล่อยวางได้ สำหรับบางเรื่องนั้นก็ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
สวรรค์ในอก นรกในใจ ตรงตามประโยค สุขกาย สบายใจ ก็เท่ากับเข้าสู่สวรรค์ ณ ปัจจุบันนั้นๆแล้ว แล้วพวกคุณล่ะ ปล่อยวางแล้วหรือยัง