เหตุผลที่ผมคิดว่าตลาดทั่วโลกจะมี new low

สวัสดีสมาชิก pantip ทุกท่านครับ

เพี้ยนอรุณสวัสดิ์เพี้ยนอรุณสวัสดิ์

เมื่อคืนผมได้อ่านกระทู้ Sinthorn indicator ที่สมาชิกท่านนึงได้รวบรวมข้อมูลไว้ (เจ๋งมากเลยครับ ขอคารวะ)  
เลยรู้สึกมีพลัง (ฮาา) อยากฝากกระทู้ไว้ในช่วงวิกฤตครั้งนี้ครับ

จะพยายามไม่ใช้คำไปในโทนแช่งตลาด แต่จะเป็นการแสดงความคิดเห็น และเตือนให้ลงทุนอย่างระมัดระวังนะครับ

ขอเข้าเรื่องเลย คือ ผมคาดว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของ market crash ที่เกิดขึ้น คร่าวๆ 10 ปี ต่อ 1 ครั้งครับ
โดยจะพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกาเป็นหลัก เพราะคิดว่าเป็นตลาดใหญ่ที่ส่งผลต่อทั่วโลกครับ


จากกราฟ สังเกตว่า ตลาดปรับตัวลงประมาณ 25% ในวิกฤตทั้ง 2 รอบที่ผ่านมา และจะเด้งขึ้น ก่อนที่จะทำ low ของรอบวิกฤตนั้นๆ
ซึ่งผมเชื่อว่า ตอนนี้ตลาดอยู่ในช่วง "เด้ง" นั้น

เหตุผลที่โน้มน้าวให้ผมเชื่อแบบนั้นคือ

     1.Warren Buffet ยังไม่กล้าซื้อ 
-บริษัท Berkshire ของแกช่วงนี้ถือเงินสดไว้ $137 billion (หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดล้านล้าน ดอลลาร์)
-แกขายหุ้นไป 6.5 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วโยกหนีไปตั๋วเงินคลัง
มุมมองที่แกกังวลหลักๆมีเรื่อง หนี้ก้อนใหญ่ และโอกาสล้มละลาย ของบางบริษัท, ผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก, ผลกระทบต่อธุรกิจการบิน (ซึ่งยังมีประเด็นและรายละเอียดอื่นอีก เดี๋ยวผมจะแปะ link ไว้ท้ายกระทู้เผื่อใครสนใจอ่านจากแหล่งที่มาโดยตรงครับ)
 

     2.Michael Burry ทำนายวิกฤตไว้เมื่อเดือน 9 ปี 2019

ชื่อนี้อาจจะไม่คุ้นหูในวงกว้าง แต่ถ้าพูดว่าคนที่ทำ The Big Short ในช่วงซับไพรม์จนถูกเอาไปสร้างหนัง หลายท่านน่าจะ “อ๋ออ” กัน  โดยรอบนี้ พี่แกให้เหตุผลว่ามาจาก เงินเย็น ของเหล่ามหาเศรษฐี ที่กั๊กไว้ใน financial market ไม่ได้ถูกนำมาหมุนเวียนในเศรษฐกิจจริง
 

     3. QE มีราคาที่ต้องจ่าย

Fed ไม่ได้พิมพ์เงินมาใส่ในปืนกลแล้วยิงเข้าระบบเศรษฐกิจ ให้ทุกคนใช้ฟรีๆ แต่เป็นการพิมพ์เงินออกมาซื้อสินทรัพย์ (ส่วนมากจะเป็น bond) ซึ่งหมายความว่า รัฐฯต้องหาเงินมาจ่ายคืนเมื่อครบอายุ และการสร้างอุปทานเงินมหาศาลแบบ out of thin air แต่สินทรัพย์ที่มีตัวตนกลับเท่าเดิม หรือลดลงจากการหยุดงานนั้น มีราคาที่ต้องจ่าย สิ่งที่คนกลัวจะเกิดขึ้นมากที่สุดคือ hyperinflation (ลองนึกภาพ เศรษฐกิจที่มี เงินสดล้นมือ แต่การบริโภคสินค้าและบริการน้อยนิด ไม่เกิดการหมุนเวียนของเงิน) ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ผมจึงมอง QE เป็นเหมือนยาชา ถ้าใช้เรื่อยๆ แต่แผลไม่ได้ถูกรักษา ความเจ็บก็จะถูกผลักให้ไปเกิดขึ้นในอนาคตแทน

[เพิ่มเติม: ข้อนี้ผมอ่านทวนแล้วย้อนแย้งในตัวเองเรื่อง inflation/deflation ผมขอหาข้อมูลเพิ่มเติม แล้วจะกลับมาเขียนเพิ่มครับ]

     4. Global Solvency Crisis

 -ภารธุรกิจเกือบทั่วโลกจะต้องกลับมาทำงานอย่างหนักหน่วงเพื่อจะหาเงินมาทดแทนส่วนที่ขาดหรือกู้ยืมมาในช่วง lockdown ส่วนรัฐ จะต้องเก็บภาษีคนพวกนั้นอย่างหนักเช่นกัน เพื่อเอาเงินมาจ่ายคืน bond มหาศาลในอนาคต ซึ่ง bond พวกนั้นมาจากไหน? ก็มาจากการทำ QE ช่วงโควิดนั่นเอง

-จากย่อหน้าด้านบน ถ้าเวลาผ่านไปนาน แล้วเศรษฐกิจไม่ดีขึ้นจริง อาจจะนำไปสู่ Global solvency crisis คือ เอกชน ไม่ได้อยากหนีหนี้ แต่มันหาเงินมาจ่ายไม่ทันจริงๆ

     5. ผมก็ยังไม่รู้เหตุผล

ข้อนี้อาจฟังดูตลก แต่หลายๆครั้ง ดัชนีจะนำไปก่อน แล้วเหตุผล หรือข้อมูล ค่อยเปิดเผยสู่สาธารณชนทีหลัง ซึ่งก็อาจจะเกี่ยวกับอะไรก็ได้ เช่น การเลือกตั้งสหรัฐฯ, สงครามการค้า, ข้อพิพาทระหว่างประเทศ หรือ ปัจจัยที่ ณ ตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลย เช่นเอเลี่ยนบุกก็ได้ครับ (ฮาา)

เพี้ยนลุย
 
 
ปล. ผมออกตัวมาแบบนี้ แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าผมจะถูก 100% นะครับ
เพราะฉะนั้นขอเชิญทุกท่านที่ต้องการแสดงความเห็น แลกเปลี่ยนกันเต็มที่ครับ

ปล.2 ขอให้ทุกท่านปลอดภัยจาก covid19 และมีสุขภาพที่ดีครับ

อ้างอิง
 
Warren Buffet
https://www.nytimes.com/2020/05/04/business/dealbook/warren-buffett-coronavirus-cash.html

Michael Burry
https://www.cnbc.com/2019/09/04/the-big-shorts-michael-burry-says-he-has-found-the-next-market-bubble.html
 
QE
https://www.investopedia.com/ask/answers/082515/who-decides-when-print-money-us.asp

Global Solvency Crisis
https://www.youtube.com/watch?v=oqKi7zL0-SA
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่