สำหรับเรื่องนี้จะว่ามันเป็นการอุปาทานขึ้นมาเองรึเปล่า? หรือมันเกิดจากอำนาจของสิ่งลี้ลับที่เราๆต่างมองไม่เห็นกันแน่? อันนี้... กระผมก็มิอาจสามารถจะยืนยันได้ 100 เปอร์เซ็นต์นัก แต่ทว่ามันก็ได้เกิดขึ้นและฝังอยู่ภายในความทรงจำครั้งหนึ่ง ในส่วนของเรื่องราวสยองขวัญที่ผมได้เคยประสบมากับตนเองไปเสียแล้ว ตั้งแต่วันนั้น จนมาถึงทุกวันนี้...
ขออนุญาตเท้าความย้อนกลับไปในช่วงที่ผมยังศึกษาอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นในคืนหนึ่ง ที่ดวงจันทร์บนฟากนภา เต็มดวงสว่างไสวแจ่มชัดเป็นที่สุด มันเป็นกลางคืนของวันที่ชาวอีสานทุกคนต่างจะรู้ดีว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวของยามราตรีนี้ ยมบาลแห่งนรกภูมิ จะปลดปล่อยให้วิญญาณทุกดวง อันคือเหล่าผีปู่ย่าตายายบรรพบุรุษ หรือหมู่เครือญาติทั้งหลาย ตั้งแต่คราสมัยดึกดำบรรพ์ ออกมารับส่วนบุญส่วนกุศล หรือกินของเซ่นไหว้ที่ลูกหลานทำใส่ห่อใบตอง แล้วนำมาวางไว้ให้ตามบริเวณ ทั้งเขตเบื้องนอกและด้านในของวัดประจำหมู่บ้าน รึถ้าหากจะพูดให้เข้าใจกันอย่างง่ายๆก็คือ มันเป็นค่ำคืนของช่วงประเพณีบุญข้าวสากของชาวอีสานนั่นเองแหละขอรับ...
ในยามวิกาลของช่วงประเพณีดังกล่าวนี้ ผมนอนอยู่ในห้องของบ้านซึ่งปลูกเป็นตึกร้านขายของขนาดย่อมๆ อันตั้งอยู่ด้านหน้าของบ้านหลังใหญ่ที่พ่อกับแม่ท่านได้แยกไปพักนอนอยู่ด้วยกันเพียง 2 คน ด้วยอาการที่ตัวผมเองก็คาดว่าน่าจะเป็นปกติ แต่แล้วครั้นตกดึกมาเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนเห็นจะได้กระมัง ผมก็กลับต้องสะดุ้งกายตื่นขึ้นมา ด้วยความรู้สึกที่หงุดหงิดเป็นยิ่งนักยากที่จะกล่าวถูก 2 หูของผมได้ยินเสียงหมาหอนมาจากที่ไกลๆมันหอนรับกันมาเป็นทอดๆ ใกล้เข้ามาๆอย่างก้องกังวานโหยหวน น่ารำคาญหูสิ้นดี ในตอนนี้ผมก็ต้องตกตะลึงไปอีกครั้ง เพราะโสตประสาทรับเสียงเจ้ากรรมของผม มันดันได้พากระแสเสียงประหลาดให้เคลื่อนที่ผ่านอากาศแทรกเข้ามาให้ได้ยินไปเสียแล้ว
นอกจากเสียงหมาที่หอนกันเป็นกระแสยาวยานคางซึ่งดังอยู่ทั่วบริเวณเบื้องนอกนั้น ในบ้านของผมและกับตัวผมเองตอนนี้ ก็กลับได้ยินเป็นเสียงหัวเราะดังขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดเหลือที่จะอธิบายได้อยู่เช่นกัน กล่าวคือ นอนสดับเสียงหมาหอนอยู่ดีๆ ก็พลันมีเสียงหัวเราะปริศนาดังเข้าหูมาให้ได้ยินเอาเสียดื้อๆ โดยไม่ทราบเลยว่าที่มาของเสียงดังกล่าวนั้น มันมาจากไหน? แต่ทว่า...กระแสเสียงหัวเราะนั้น มันกลับก้องกังวาน ดั่งมีใครมาเปิดเอคโค่ใส่แบบไม่คิดเกรงใจต่อผู้ที่ได้สดับรับฟังมันอยู่เลยแม้แต่น้อย ในน้ำเสียงที่ได้ฟัง มันมีทั้งเสียงของ เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ชายเสียงห้าวๆ ผู้หญิงเสียงเล็กๆ คนแก่ทั้ง 2 เพศที่แหบพร่าน่าขนลุก มันดังแทรกซ้อนสอดประสานกันไปมาอยู่ในห้วงจิตใต้สำนึกเยี่ยงเสียงหัวเราะของพวกตัวร้ายในละครหลังข่าว หากแต่จะเยือกเย็นและแช่มช้ากว่าก็เท่านั้น..!!!
ผมนอนกระสับกระส่ายกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอน ทำหน้าตาเหยเกอยู่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ไอ้เสียงหัวเราะปีศาจนั่น มันอันตรทานออกจากหูไปได้ ถ้าหากมันมารบกวนเวลานอนของผมเพียงแค่นั้นก็อาจจะไม่ว่าอะไรมากนักหรอก แต่มัน
นำเอาอาการปวดหัวอย่างรุนแรง พ่วงเข้ามาให้ผมได้รับด้วยนี่สิ มันจึงได้น่าโมโหและน่ารังเกียจเสียหลายเท่าตัวนัก...!! เม็ดเหงื่อผุดเกาะพราวไปทั่วรูขุมขน สัมผัสทุกสัดส่วนรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับคนที่เป็นไข้ ผมพยายามเอาหมอนปิดหูก็แล้ว นำผ้าห่มมาคลุมโปงพร้อมใช้มืออุดหูก็แล้ว เสียงหัวเราะที่ว่านั่นมันก็ไม่เห็นมีท่าทีว่าจะผ่อนปรนลงไปได้เลยสักนิด รังแต่จะเพิ่มกระแสความดังของเสียงขึ้นมาอยู่เช่นนั้น ด้วยรูปการที่ไร้ซึ่งความปรานี ทำเอาผมต้องประสาทรับประทานไปในบัดนั้นกันเลยทีเดียว...
และแล้ว...ชั่วอึดใจหนึ่งผมก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ภายในหัวสมอง จึงตัดสินใจเปิดผ้าห่มที่คลุมมิดกายของตนอยู่นั้นเผยอวัยวะทุกอย่างออกมา แล้วเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงาย ยกมือประนมขึ้นระหว่างอก หลับตาลง มีลักษณะการกระทำคล้ายกับศพที่กำลังจะถูกมัดตราสังข์ พยายามกำหนดจิตให้สงบเข้าสู่สมาธิ ครั้นเมื่อจิตเริ่มว่าง ผมก็น้อมระลึกไปถึง คุณพระศรีรัตนตรัย จวบกระทั่งพระคุณของบิดามารดาและครูบาอาจารย์ แล้วตั้งนะโม 3 จบ สวดบทพาหุงมาหากาฯบทแรก อันความหมายของบทนี้ก็คือ เป็นการปราบผองมาร และเหล่าภูตผีร้าย ที่มันได้หาญกล้า มาราวีเราอยู่ในใจ หลังจากนั้นไม่นาน พอผมสวดมนต์บทดังกล่าวจบลง ทุกท่านจะเชื่อหรือไม่ครับว่า เสียงหัวเราะที่เกิดขึ้นให้ได้ยินอยู่เมื่อครู่นั้น จู่ๆมันก็ได้ค่อยๆผ่อนคลายลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือที่จะกล่าวเลยละครับ กระแสคลื่นความถี่และความดังของมัน ค่อยๆเบาลงๆเรื่อยๆเป็นลำดับๆ ราวกับมีใครมาผ่อนวอลุ่มลงไปทีละนิดๆยังไงยังงั้น!!! และไม่นานนัก มันก็เงียบสนิทเหมือนกับมิได้มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ทำเอาผมต้องรู้สึกทึ่งและตะลึงในอำนาจของมตรากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือหัว ที่ได้ระลึกถึงพร้อมกับสวดจบไปเมื่อหยกๆนั้นอย่างสุดที่จะหาเหตุผลใดๆมาอธิบายได้ถูกไปในบัดดล มันเงียบหายลงไปคงเหลือแต่เพียงเสียงวิ้งๆที่ก้องอยู่ภายในหู อันหมายความว่าทุกอย่างรอบกายของผมในกาลปัจจุบันมันเงียบสงัดเอามากๆอยู่แต่เพียงเท่านี้..!!!
“โอ้...พระพุทธเจ้าช่วย...!!”
หลังจากที่เสียงหัวเราะอันน่าพิศวงมันได้สงบสิ้นฤทธิ์ลงไปพร้อมๆกับอาการปวดศีรษะของผมที่พลอยคลายไปด้วยแล้วนั้นเอง พักหนึ่งผมก็รู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงได้ลุกขึ้นไปเปิดไฟภายในห้องให้สว่างโร่ และเปิดประตูออกไปมุ่งตรงไปยังห้องนอนของพ่อกับแม่อันเป็นจุดหมาย ซึ่งความจริงแล้วก็คือ ห้องน้ำของบ้านอยู่ในห้องนอนของพ่อกับแม่ท่านนั่นเองแหละครับ ในคืนนั้นเผอิญว่าโชคดีที่ผมได้ถือกุญแจห้องของพวกท่านติดมือมาด้วย จึงเป็นการง่ายที่จะไขเปิดประตูเข้าไปโดยทันทีได้เลย ชนิดที่ไม่ต้องมาเสียเวลาเคาะประตูปลุกเรียกพ่อหรือแม่ให้ท่านมาเปิดเสียให้ยาก เพราะนั่นจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของท่านทั้ง 2 คนเอาเสียเปล่าๆ
ครั้นขาได้ย่างกรายเข้าไปภายในห้องของพวกท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เปิดแสงไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือขึ้น แล้วเดินดุ่มๆตรงไปยังห้องน้ำอย่างเบากริบที่สุด เพื่อหวังที่จะไม่ให้พ่อกับแม่ตื่นขึ้นมาพบเข้าอันคือจุดประสงค์ไม่อยากจะรบกวนท่านดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่พอเดินไปถึงหน้าห้องน้ำก็ยังมิวายที่จะส่องไฟฉายแล้วมองไปดูท่านทั้ง 2 อยู่ดี และเมื่อได้มองไปก็เห็นแต่เพียงว่าท่าน 2 คนกำลังนอนกอดกันอยู่ อย่างสนิทชิดแนบแน่นที่สุด เท่าที่ผมจะเคยเห็นมา เอ๊ย!! ไม่ใช่สิ นี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำไปที่ผมได้เห็นพ่อกับแม่ท่านนอนกอดกันเช่นนี้ ก็ยังนึกขำในใจอยู่นิดๆ ว่าทำไมวันนี้ถึงได้นอนกอดกันซะกลมเกลียวขนาดนั้น นึกอบอุ่นหวานซึ้งอะไรขึ้นมากันหนอ? เฮ้อ...แปลกพิลึกจริงๆเชียว วันนี้มันวันอะไรกันว้า...?
เมื่อถ่ายท้องเบาเป็นที่เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกมาจากห้องของพวกท่านพร้อมกับล็อกประตูเอาไว้ให้ดังเดิม กลับมานอนที่ห้องของตัวเองด้วยความเป็นปกติสุข พอรุ่งเช้าในขณะที่ผมและครอบครัวกำลังนั่งสนทนากันระหว่างที่อยู่ในการร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกันอยู่นั้น ผมก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผม ณ ช่วงเมื่อคืนนี้ให้พ่อกับแม่ท่านฟังโดยละเอียดหมดทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งท่านก็มิได้ว่าอะไรนัก บ่นเพียงแค่ว่า นั่นแหละก็ใครมันบอกไม่อยากให้ผมสวดมนต์ก่อนนอนเอง รู้ทั้งรู้ว่าเมื่อคืนนี้เป็นวันอะไรก็ยังจะละเลยอีก ผมได้ฟังก็หัวเราะแหะๆกลบเกลื่อนไปตามเรื่อง แต่แล้วก็มีอยู่หนหนึ่งที่คุณพ่อของผมท่านได้เอ่ยสวนขึ้นมา เสมือนเป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกท่านทั้ง 2 คน ภายในเมื่อคืนที่ผ่านมานั้นเช่นกัน และครั้นได้รับทราบเหตุการณ์ดังกล่าวโดยหมดสิ้นจากปากของพ่อแล้ว มันก็ทำให้ผมถึงกับต้องออกอาการตาโต ขนลุกซู่ขึ้นมาภายในบัดนั้นกันเลยล่ะครับ...
“เออนี่แน่ะ จะว่าไปแล้วแม่ของลูกก็บอกกับพ่อว่าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆอยู่เหมือนกันนะ เมื่อคืนนี้น่ะ ช่วงประมาณ 5 ทุ่มเห็นจะได้กระมัง แม่ก็ลุกขึ้นมาสะกิดเรียกพ่อแล้วบอกว่า ได้ยินเสียงของกลุ่มคนจำนวนมากกำลังเดินตรงไปที่วัด ทีแรกก็นึกว่าคงจะเป็นกลุ่มคนที่เขากำลังจะไปวางข้าวสากตามพื้นที่วัดกัน เหมือนที่เคยทำตามจารีตประเพณีนั่นแหละ แต่เอาไปเอามา ฟังดีๆเข้าจริงๆแล้วมันกลับไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซี เพราะเสียงที่แม่ได้ยิน มันมีทั้งเสียงของเด็ก เสียงของผู้ใหญ่ บ้างก็พูดคุยกันจ้อกแจ้กจอแจฟังไม่ได้ศัพท์ บ้างก็ร้องครางอะไรโหยหวนพิลึก หรือบ้างก็มีเสียงเด็กหรือเสียงผู้หญิงร้องไห้แทรกปนกันมาด้วยอยู่อย่างนี้ มันดังตามกระแสลมมาทำเอาแม่ไม่ได้หลับไม่ได้นอน หมางี้หอนกันเกรียวกราวเลย ทีนี้แม่ก็เลยกลัวสิ กระแซะซุกหน้าเข้าหาพ่อ พ่อเองก็ได้แต่พูดปลอบไปตามเรื่อง จนกระทั่งหลับไปด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ แม่จึงได้มาบอกกับพ่อเอาอีกทีหลังเมื่อตอนเช้านี่เองว่า...เสียงของผู้คนมากมายเหล่านั้นได้สงบลงไปแล้ว เฮ้อ...คงจะเป็นดวงจิตบรรพบุรุษของเราและวิญญาณเร่ร่อนที่อดอยากหิวโหยนั่นแหละนะที่ยมบาลท่านได้ปล่อยออกมาให้รับส่วนบุญส่วนกุศล และกินข้าวสากที่ลูกหลานได้นำมาวางเตรียมไว้ให้ที่วัดน่ะ แหม่...พูดมาแล้วก็รู้สึกขนลุกอยู่ไม่น้อยเหมือนกันเลยนะเนี่ย...”
และนี่..ก็คือสาเหตุที่มาอันแท้จริง ของความสงสัยแคลงใจสำหรับผม ที่ว่า...ทำไม? เมื่อคืนที่ผ่านมานั้น พ่อกับแม่ท่านถึงได้นอนกอดกันอย่างสนิทสนมกลมเลียวเป็นที่สุด ทั้งๆที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นต่อสายตามาก่อน ดังเช่นที่ผมได้พบมาแล้วนั่นเองแหละครับทุกท่านที่เคารพ...
เรียบเรียงโดย: ธีร์ วรรณกร
ประสบการณ์สยองเรื่อง "ในคืนปล่อยผี..."
ขออนุญาตเท้าความย้อนกลับไปในช่วงที่ผมยังศึกษาอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นในคืนหนึ่ง ที่ดวงจันทร์บนฟากนภา เต็มดวงสว่างไสวแจ่มชัดเป็นที่สุด มันเป็นกลางคืนของวันที่ชาวอีสานทุกคนต่างจะรู้ดีว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวของยามราตรีนี้ ยมบาลแห่งนรกภูมิ จะปลดปล่อยให้วิญญาณทุกดวง อันคือเหล่าผีปู่ย่าตายายบรรพบุรุษ หรือหมู่เครือญาติทั้งหลาย ตั้งแต่คราสมัยดึกดำบรรพ์ ออกมารับส่วนบุญส่วนกุศล หรือกินของเซ่นไหว้ที่ลูกหลานทำใส่ห่อใบตอง แล้วนำมาวางไว้ให้ตามบริเวณ ทั้งเขตเบื้องนอกและด้านในของวัดประจำหมู่บ้าน รึถ้าหากจะพูดให้เข้าใจกันอย่างง่ายๆก็คือ มันเป็นค่ำคืนของช่วงประเพณีบุญข้าวสากของชาวอีสานนั่นเองแหละขอรับ...
ในยามวิกาลของช่วงประเพณีดังกล่าวนี้ ผมนอนอยู่ในห้องของบ้านซึ่งปลูกเป็นตึกร้านขายของขนาดย่อมๆ อันตั้งอยู่ด้านหน้าของบ้านหลังใหญ่ที่พ่อกับแม่ท่านได้แยกไปพักนอนอยู่ด้วยกันเพียง 2 คน ด้วยอาการที่ตัวผมเองก็คาดว่าน่าจะเป็นปกติ แต่แล้วครั้นตกดึกมาเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนเห็นจะได้กระมัง ผมก็กลับต้องสะดุ้งกายตื่นขึ้นมา ด้วยความรู้สึกที่หงุดหงิดเป็นยิ่งนักยากที่จะกล่าวถูก 2 หูของผมได้ยินเสียงหมาหอนมาจากที่ไกลๆมันหอนรับกันมาเป็นทอดๆ ใกล้เข้ามาๆอย่างก้องกังวานโหยหวน น่ารำคาญหูสิ้นดี ในตอนนี้ผมก็ต้องตกตะลึงไปอีกครั้ง เพราะโสตประสาทรับเสียงเจ้ากรรมของผม มันดันได้พากระแสเสียงประหลาดให้เคลื่อนที่ผ่านอากาศแทรกเข้ามาให้ได้ยินไปเสียแล้ว
นอกจากเสียงหมาที่หอนกันเป็นกระแสยาวยานคางซึ่งดังอยู่ทั่วบริเวณเบื้องนอกนั้น ในบ้านของผมและกับตัวผมเองตอนนี้ ก็กลับได้ยินเป็นเสียงหัวเราะดังขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดเหลือที่จะอธิบายได้อยู่เช่นกัน กล่าวคือ นอนสดับเสียงหมาหอนอยู่ดีๆ ก็พลันมีเสียงหัวเราะปริศนาดังเข้าหูมาให้ได้ยินเอาเสียดื้อๆ โดยไม่ทราบเลยว่าที่มาของเสียงดังกล่าวนั้น มันมาจากไหน? แต่ทว่า...กระแสเสียงหัวเราะนั้น มันกลับก้องกังวาน ดั่งมีใครมาเปิดเอคโค่ใส่แบบไม่คิดเกรงใจต่อผู้ที่ได้สดับรับฟังมันอยู่เลยแม้แต่น้อย ในน้ำเสียงที่ได้ฟัง มันมีทั้งเสียงของ เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ชายเสียงห้าวๆ ผู้หญิงเสียงเล็กๆ คนแก่ทั้ง 2 เพศที่แหบพร่าน่าขนลุก มันดังแทรกซ้อนสอดประสานกันไปมาอยู่ในห้วงจิตใต้สำนึกเยี่ยงเสียงหัวเราะของพวกตัวร้ายในละครหลังข่าว หากแต่จะเยือกเย็นและแช่มช้ากว่าก็เท่านั้น..!!!
ผมนอนกระสับกระส่ายกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอน ทำหน้าตาเหยเกอยู่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ไอ้เสียงหัวเราะปีศาจนั่น มันอันตรทานออกจากหูไปได้ ถ้าหากมันมารบกวนเวลานอนของผมเพียงแค่นั้นก็อาจจะไม่ว่าอะไรมากนักหรอก แต่มันนำเอาอาการปวดหัวอย่างรุนแรง พ่วงเข้ามาให้ผมได้รับด้วยนี่สิ มันจึงได้น่าโมโหและน่ารังเกียจเสียหลายเท่าตัวนัก...!! เม็ดเหงื่อผุดเกาะพราวไปทั่วรูขุมขน สัมผัสทุกสัดส่วนรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับคนที่เป็นไข้ ผมพยายามเอาหมอนปิดหูก็แล้ว นำผ้าห่มมาคลุมโปงพร้อมใช้มืออุดหูก็แล้ว เสียงหัวเราะที่ว่านั่นมันก็ไม่เห็นมีท่าทีว่าจะผ่อนปรนลงไปได้เลยสักนิด รังแต่จะเพิ่มกระแสความดังของเสียงขึ้นมาอยู่เช่นนั้น ด้วยรูปการที่ไร้ซึ่งความปรานี ทำเอาผมต้องประสาทรับประทานไปในบัดนั้นกันเลยทีเดียว...
และแล้ว...ชั่วอึดใจหนึ่งผมก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ภายในหัวสมอง จึงตัดสินใจเปิดผ้าห่มที่คลุมมิดกายของตนอยู่นั้นเผยอวัยวะทุกอย่างออกมา แล้วเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงาย ยกมือประนมขึ้นระหว่างอก หลับตาลง มีลักษณะการกระทำคล้ายกับศพที่กำลังจะถูกมัดตราสังข์ พยายามกำหนดจิตให้สงบเข้าสู่สมาธิ ครั้นเมื่อจิตเริ่มว่าง ผมก็น้อมระลึกไปถึง คุณพระศรีรัตนตรัย จวบกระทั่งพระคุณของบิดามารดาและครูบาอาจารย์ แล้วตั้งนะโม 3 จบ สวดบทพาหุงมาหากาฯบทแรก อันความหมายของบทนี้ก็คือ เป็นการปราบผองมาร และเหล่าภูตผีร้าย ที่มันได้หาญกล้า มาราวีเราอยู่ในใจ หลังจากนั้นไม่นาน พอผมสวดมนต์บทดังกล่าวจบลง ทุกท่านจะเชื่อหรือไม่ครับว่า เสียงหัวเราะที่เกิดขึ้นให้ได้ยินอยู่เมื่อครู่นั้น จู่ๆมันก็ได้ค่อยๆผ่อนคลายลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือที่จะกล่าวเลยละครับ กระแสคลื่นความถี่และความดังของมัน ค่อยๆเบาลงๆเรื่อยๆเป็นลำดับๆ ราวกับมีใครมาผ่อนวอลุ่มลงไปทีละนิดๆยังไงยังงั้น!!! และไม่นานนัก มันก็เงียบสนิทเหมือนกับมิได้มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ทำเอาผมต้องรู้สึกทึ่งและตะลึงในอำนาจของมตรากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือหัว ที่ได้ระลึกถึงพร้อมกับสวดจบไปเมื่อหยกๆนั้นอย่างสุดที่จะหาเหตุผลใดๆมาอธิบายได้ถูกไปในบัดดล มันเงียบหายลงไปคงเหลือแต่เพียงเสียงวิ้งๆที่ก้องอยู่ภายในหู อันหมายความว่าทุกอย่างรอบกายของผมในกาลปัจจุบันมันเงียบสงัดเอามากๆอยู่แต่เพียงเท่านี้..!!!
“โอ้...พระพุทธเจ้าช่วย...!!”
หลังจากที่เสียงหัวเราะอันน่าพิศวงมันได้สงบสิ้นฤทธิ์ลงไปพร้อมๆกับอาการปวดศีรษะของผมที่พลอยคลายไปด้วยแล้วนั้นเอง พักหนึ่งผมก็รู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงได้ลุกขึ้นไปเปิดไฟภายในห้องให้สว่างโร่ และเปิดประตูออกไปมุ่งตรงไปยังห้องนอนของพ่อกับแม่อันเป็นจุดหมาย ซึ่งความจริงแล้วก็คือ ห้องน้ำของบ้านอยู่ในห้องนอนของพ่อกับแม่ท่านนั่นเองแหละครับ ในคืนนั้นเผอิญว่าโชคดีที่ผมได้ถือกุญแจห้องของพวกท่านติดมือมาด้วย จึงเป็นการง่ายที่จะไขเปิดประตูเข้าไปโดยทันทีได้เลย ชนิดที่ไม่ต้องมาเสียเวลาเคาะประตูปลุกเรียกพ่อหรือแม่ให้ท่านมาเปิดเสียให้ยาก เพราะนั่นจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของท่านทั้ง 2 คนเอาเสียเปล่าๆ
ครั้นขาได้ย่างกรายเข้าไปภายในห้องของพวกท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เปิดแสงไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือขึ้น แล้วเดินดุ่มๆตรงไปยังห้องน้ำอย่างเบากริบที่สุด เพื่อหวังที่จะไม่ให้พ่อกับแม่ตื่นขึ้นมาพบเข้าอันคือจุดประสงค์ไม่อยากจะรบกวนท่านดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่พอเดินไปถึงหน้าห้องน้ำก็ยังมิวายที่จะส่องไฟฉายแล้วมองไปดูท่านทั้ง 2 อยู่ดี และเมื่อได้มองไปก็เห็นแต่เพียงว่าท่าน 2 คนกำลังนอนกอดกันอยู่ อย่างสนิทชิดแนบแน่นที่สุด เท่าที่ผมจะเคยเห็นมา เอ๊ย!! ไม่ใช่สิ นี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำไปที่ผมได้เห็นพ่อกับแม่ท่านนอนกอดกันเช่นนี้ ก็ยังนึกขำในใจอยู่นิดๆ ว่าทำไมวันนี้ถึงได้นอนกอดกันซะกลมเกลียวขนาดนั้น นึกอบอุ่นหวานซึ้งอะไรขึ้นมากันหนอ? เฮ้อ...แปลกพิลึกจริงๆเชียว วันนี้มันวันอะไรกันว้า...?
เมื่อถ่ายท้องเบาเป็นที่เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกมาจากห้องของพวกท่านพร้อมกับล็อกประตูเอาไว้ให้ดังเดิม กลับมานอนที่ห้องของตัวเองด้วยความเป็นปกติสุข พอรุ่งเช้าในขณะที่ผมและครอบครัวกำลังนั่งสนทนากันระหว่างที่อยู่ในการร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกันอยู่นั้น ผมก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผม ณ ช่วงเมื่อคืนนี้ให้พ่อกับแม่ท่านฟังโดยละเอียดหมดทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งท่านก็มิได้ว่าอะไรนัก บ่นเพียงแค่ว่า นั่นแหละก็ใครมันบอกไม่อยากให้ผมสวดมนต์ก่อนนอนเอง รู้ทั้งรู้ว่าเมื่อคืนนี้เป็นวันอะไรก็ยังจะละเลยอีก ผมได้ฟังก็หัวเราะแหะๆกลบเกลื่อนไปตามเรื่อง แต่แล้วก็มีอยู่หนหนึ่งที่คุณพ่อของผมท่านได้เอ่ยสวนขึ้นมา เสมือนเป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกท่านทั้ง 2 คน ภายในเมื่อคืนที่ผ่านมานั้นเช่นกัน และครั้นได้รับทราบเหตุการณ์ดังกล่าวโดยหมดสิ้นจากปากของพ่อแล้ว มันก็ทำให้ผมถึงกับต้องออกอาการตาโต ขนลุกซู่ขึ้นมาภายในบัดนั้นกันเลยล่ะครับ...
“เออนี่แน่ะ จะว่าไปแล้วแม่ของลูกก็บอกกับพ่อว่าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆอยู่เหมือนกันนะ เมื่อคืนนี้น่ะ ช่วงประมาณ 5 ทุ่มเห็นจะได้กระมัง แม่ก็ลุกขึ้นมาสะกิดเรียกพ่อแล้วบอกว่า ได้ยินเสียงของกลุ่มคนจำนวนมากกำลังเดินตรงไปที่วัด ทีแรกก็นึกว่าคงจะเป็นกลุ่มคนที่เขากำลังจะไปวางข้าวสากตามพื้นที่วัดกัน เหมือนที่เคยทำตามจารีตประเพณีนั่นแหละ แต่เอาไปเอามา ฟังดีๆเข้าจริงๆแล้วมันกลับไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซี เพราะเสียงที่แม่ได้ยิน มันมีทั้งเสียงของเด็ก เสียงของผู้ใหญ่ บ้างก็พูดคุยกันจ้อกแจ้กจอแจฟังไม่ได้ศัพท์ บ้างก็ร้องครางอะไรโหยหวนพิลึก หรือบ้างก็มีเสียงเด็กหรือเสียงผู้หญิงร้องไห้แทรกปนกันมาด้วยอยู่อย่างนี้ มันดังตามกระแสลมมาทำเอาแม่ไม่ได้หลับไม่ได้นอน หมางี้หอนกันเกรียวกราวเลย ทีนี้แม่ก็เลยกลัวสิ กระแซะซุกหน้าเข้าหาพ่อ พ่อเองก็ได้แต่พูดปลอบไปตามเรื่อง จนกระทั่งหลับไปด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ แม่จึงได้มาบอกกับพ่อเอาอีกทีหลังเมื่อตอนเช้านี่เองว่า...เสียงของผู้คนมากมายเหล่านั้นได้สงบลงไปแล้ว เฮ้อ...คงจะเป็นดวงจิตบรรพบุรุษของเราและวิญญาณเร่ร่อนที่อดอยากหิวโหยนั่นแหละนะที่ยมบาลท่านได้ปล่อยออกมาให้รับส่วนบุญส่วนกุศล และกินข้าวสากที่ลูกหลานได้นำมาวางเตรียมไว้ให้ที่วัดน่ะ แหม่...พูดมาแล้วก็รู้สึกขนลุกอยู่ไม่น้อยเหมือนกันเลยนะเนี่ย...”
และนี่..ก็คือสาเหตุที่มาอันแท้จริง ของความสงสัยแคลงใจสำหรับผม ที่ว่า...ทำไม? เมื่อคืนที่ผ่านมานั้น พ่อกับแม่ท่านถึงได้นอนกอดกันอย่างสนิทสนมกลมเลียวเป็นที่สุด ทั้งๆที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นต่อสายตามาก่อน ดังเช่นที่ผมได้พบมาแล้วนั่นเองแหละครับทุกท่านที่เคารพ...
เรียบเรียงโดย: ธีร์ วรรณกร