+ จากผู้นำลัทธิซาตาน สู่การประกาศเป็นบุญราศี +
'Every saint has a past, and every sinner has a future.'
- Oscar Wilde
"นักบุญทุกคนมีอดีต และคนบาปทุกคนมีอนาคต"
คำกล่าวของ ออสการ์ ไวลด์ กวีชาวไอริชผู้โด่งดังนี้ บุคคลคนหนึ่งที่เป็นตัวอย่างได้ดีที่สุดคือ บาร์โทโล ลองโก้ ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยชื่นชอบลบหลู่ดูหมิ่นพระเจ้า เข้าร่วมลัทธิซาตานจนได้รับการอภิเษกแต่งตั้งเป็นนักบวชผู้นำลัทธิซาตานและกระทำบาปทุกสิ่งที่คำสอนของศาสนาอันล้าหลังคร่ำครึในสายตาเขาได้ห้ามไว้ แล้ววันฟ้าถล่มดินทลายของชีวิตเขาก็มาถึง เขาได้กลับตัวกลับใจ อุทิศชีวิตแก่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ จนได้รับแต่งตั้งเป็นอัศวินของพระศาสนจักร ได้รับการคำนับและยกย่องจากบรรดาพระสันตะปาปา และได้เข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งนักบุญ และในขณะนี้อยู่ในสถานะ"บุญราศี"
บาร์โทโล ลองโก้ (Bartolo Longo)ชาวอิตาลี เกิดเมื่อ10กุมภา1841 ในครอบครัวคาทอลิก เมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตไปเมื่ออายุได้10ขวบ เขาก็ค่อยๆห่างไกลจากความศรัทธาในศาสนาไปเรื่อยๆ จนอายุได้20ปี เขาได้เข้ามหาวิทยาลัยเนเปิ้ลส์(Naples) เพื่อเรียนวิชากฎหมาย
หากแต่ว่าในช่วงศตวรรษที่19 เป็นช่วงเวลาวุ่นวายทางการเมืองของอิตาลี มีการปฎิวัติหลายครั้ง และในช่วง 1860 มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองชาตินิยม ที่ชี้ประเด็นว่าศาสนาและโดยเฉพาะคาทอลิก เป็นสิ่งถ่วงความเจริญของอิตาลีให้ล้าหลังคร่ำครึ และพระสันตะปาปาถูกมองว่าเป็นศัตรูของแนวคิดชาตินิยม การเหยียดนักบวช หรือล้อเลียนศาสนาเป็นตัวตลก เป็นเทรนด์นิยมของคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้น และ มหาวิทยาลัยเนเปิ้ลส์ในเวลานั้นนอกจากเป็นที่สอนหนังสือยังเป็นที่เผยแพร่อุดมการณ์ต่างๆ กลายเป็นแหล่งรวมของกลุ่ม สมาคม ชมรม ทุกรูปแบบ และรวมแนวคิดที่ต่อต้านระเบียบจารีตยุคเก่า อันนำเอาคริสตศาสนาคาทอลิกมาเป็นจำเลย ก็เฟื่องฟูในมหาวิทยาลัย มีชมรม หรือสมาคม ที่นำเอาเรื่องศาสตร์คุณไสยจากต่างประเทศรูปแบบต่างๆ ทั้งแม่มด คนทรง ไปจนถึงแนวคิดบูชาซาตาน เข้ามาเฟื่องฟูในมหาวิทยาลัยด้วย
บาร์โทโล นักศึกษาหนุ่ม เข้าสมาคมสื่อวิญญาณ(séances) อันพาเขาลุ่มหลงไปกับไสยศาสตร์วิชามาร การมั่วสุมใช้ยาเสพติดทุกชนิด และการมั่วเพศแบบเซ็กส์หมู่ เพื่อทำให้ผีปีศาจพอใจและลบหลู่ศีลธรรมแบบคริสตศาสนา บาร์โทโลได้รับการยกย่องชื่นชม ในการท้าทายเหยียดหยามศาสนาดูหมิ่นพระเจ้าในที่สาธารณะ จนชาวคณะทำการบวช(ordained) เขาเป็นบาทหลวงซาตาน(Satanic priest)ในระดับผู้นำลัทธิ(Satanic bishop)
บาร์โทโล หลงระเริงในความสุขเนื้อหนังและอบายมุขและการยกย่องชื่นชมจากบรรดาปัญญาชนผู้รักในวิถีชีวิตเสรีที่แหวกขนบธรรมเนียมล้าหลัง ในหมู่เพื่อนเขาคือฮีโร่ แต่กับครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนเก่า เห็นว่า เขาเหมือนคนบ้า มีอาการเหมือนคนเป็นโรคประสาท มีการนอยด์ตลอดเวลา และหมกมุ่นในโลกส่วนตัว เหมือนคนเสียสติ มากกว่าคนฉลาดที่มีการศึกษาอย่างที่เขาเคยเป็น
+ คำอธิษฐานภาวนาของครอบครัว +
เมื่อครอบครัวของเขารู้เรื่องที่เขาไปบ้าคลั่งลัทธิจนชีวิตพัง ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากสวดภาวนาขอพระเจ้าให้เขากลับใจ และคำภาวนาของผู้คนที่รักเขาก็ได้รับการตอบรับ
คืนหนึ่งขณะที่ บาร์โทโล ผู้มีการการเครียด ซึมเศร้า และวิตกจริตกำลังจะหลับ เขาได้ยินเสียงที่เขาคุ้นเคยในวัยเด็กเขาจำได้ดีว่าคือเสียงพ่อที่จากไปของเขา ร้องเสียงดังว่า "กลับมาหาพระเจ้าเถิดลูกเอ๋ย!"
บาร์โทโล เอง รู้ตัวดีว่า เส้นทางความสุขจอมปลอมที่เขาเดินทางเข้ามาจมปลักนั้น ทำลายตัวตนของเขาไปมาก แต่ความสับสนในชีวิต ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกขังในห้องมืดที่ไม่รู้จะออกจากสภาพนี้ได้ยังไง แต่เสียงของพ่อคืนนั้นเหมือนใครสักคนผลักประตูเข้ามาจนแสงสว่างจ้าเห็นทางออก บาร์โทโลรีบไปพบเพื่อนเก่า ชื่อ วีเซนโซ่ เปป( Vincenzo Pepe) และขอความช่วยเหลือจากเพื่อน เปปร้องไห้พูดกับเขาว่า"นายอยากตายในสถานบำบัดคนโรคจิตแล้วตกนรกไปตลอดกาลหรือไง?" ทั้งสองตกลงกันว่าต้องช่วยกันพากันออกจากชีวิตเหลวแหลกนี้ เปปพาบาร์โทโลไปพบคุณพ่ออัลเบอโต้(Fr. Alberto Radente)พระสงฆ์คณะโดมินิกัน
บาร์โทโล เข้าสู่การสารภาพบาป และบำบัดที่เหมือนเข้าเงียบระยะยาว กับคุณพ่ออัลเบอโต้ ผู้ซึ่งอดทนใช้เวลาในการในคำปรึกษาฝ่ายจิตแก่เขาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและอดทน หลังจากบำบัดกับคุณพ่อนานนับเดือน บาร์โทโลฟื้นฟูจิตวิญญาณของตน จนในปี 1871 บาร์โทโล สมัครเข้าเป็นสมาชิกโดมินิกันชั้น3(ฆารวาสที่ร่วมปฎิบัติวินัยบางข้อของคณะนักบวชที่เข้าร่วมสังกัด) และกลับไปยังสมาคมสื่อวิญญาณของมหาวิทยาลัย ในคาเฟ่ ท่ามกลางปาร์ตี้มั่วสุมของนักศึกษา และยืนขึ้นบนโต๊ะประกาศว่า "ผมขอประกาศลาออกจากลัทธิวิญญาณนี้ เพราะมันคือเขาวงกตแห่งความหลงผิดและความเท็จ" เขาใช้เวลา6ปี ในการอุทิศตนนำคนที่หลงผิดแบบเขากลับมาหาพระเจ้า และช่วยเหลือรับใช้คนยากจน
- ที่หลบภัยของคนบาป +
แต่ดูเหมือนชีวิตมันไม่ง่ายเช่นนั้น เมื่ออาการทางจิตประสาทกลับมาคุกคามเขา อาการวิตกจริด และนอยด์ กลับมาหลอกหลอนเขาอีก เขาเริ่มหลอนว่าตนเองยังถูกซาตานยึดวิญญาณไว้ และกลัวว่าพระเจ้าจะยังไม่ให้อภัย เขาจะต้องตกนรก เขาเริ่มมีอาการซึมเศร้าจนอยากจะฆ่าตัวตาย แต่ก็กลัวตกนรก กลัวต้องกลับไปอยู่กับซาตาน วันหนึ่งเขานึกถึงวัยเด็ก กิจศรัทธาเรียบง่ายอย่างการสวดสายประคำ และ ความรักอันอ่อนโยนของแม่พระที่เขาจำได้ และเขาได้ยินแม่พระพูดกับเขาว่า "โดยการสอนผู้อื่นเรื่องสายประคำ ลูกจะปลอดภัย"
ในเทววิทยา พระแม่มารีย์ไม่ใช่ผู้ไถ่บาป แต่แม่เป็น "ที่หลบภัยของคนบาป" เป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณโดยเฉพาะของผู้ที่ขาดความวางใจหรือเสียใจในบาปมากเสียจนคิดว่าพระเจ้าจะไม่ให้อภัย เหมือนความรู้สึกของลูกล้างผลาญที่บอกกับพ่อว่า "ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพ่อ" แม่พระทำสิ่งที่เหมือนนางรีเบคาห์ แม่ของฝาแฝด เอซาวและยาโคบ คือเป็นที่พึ่งและกำลังใจให้ยาโคบ ที่คิดว่าตนไม่เป็นที่รักของพ่อแบบเอซาว แม่พระจึงเหมือนนางรีเบคาห์ที่เป็นแม่ผู้เชื่อมพ่อลูกที่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ต่อกันไว้ไม่ให้แตกหักลงไป
บาร์โทโล จึงได้เอาชนะความวิตกจริต และการป่วยทางจิต โดยมุ่งมั่นทำพันธกิจการแผยแพร่เรื่องการสวดสายประคำเขาเดินทางไปยังปอมเปอี ซึ่งเขาได้เขียนเล่าในบันทึกว่า
"เต็มไปด้วยเรื่องซูแปร์ติซัง(ความเชื่อโชคลางคุณไสย)มีทั้งการใช้เวทย์มนต์คาถา แม่มด คนทรงเครื่องรางของขลังมั่วไปหมด"
เหตุการณ์เมื่อครั้งนักบุญโดมินิกได้รับสายประคำจากพระเยซูและแม่พระ โดยอาศัยการสวดสายประคำขับไล่ลัทธิหลงผิดในยุคของท่าน บาร์โทโล ก็เดินหน้าเปลี่ยนแปลงความหลงผิดของที่นี่ด้วยสายประคำเช่นกัน
+ พันธกิจของผู้รับใช้พระเจ้า +
กว่า50ปี ของการทำพันธกิจเพื่อความศรัทธาในพระเจ้า บาร์โทโลและภรรยา เค้าท์เตส มาเรียน่า(Countess Mariana di Fusco) ได้ตั้งโรงเรียนเพื่อเด็กยากจน บ้านเด็กกำพร้า และบ้านพักพิงสำหรับเด็กที่พ่อแม่จำคุก และการปฏิวัติแท้จริงก็คือ ปอมเปอี จากพื้นที่ซูแปร์ติซัง ได้กลายเป็นชุมชนความศรัทธา ท่านได้ฟื้นฟูโบสถ์ที่ถูกทิ้งร้าง จนกลายเป็นวิหารพรหมจารีย์แห่งสายประคำแห่งปอมเปอี(Shrine of the Virgin of the Rosary of Pompei) ซึ่งมีผู้แสวงบุญจำนวนมาก
พระศาสนจักรมอบเกียรติให้ท่าน โดยแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน ชั้น
Order of the Holy Sepulchre of Jerusalem และมหาวิหารนี้คือที่วางร่างของชายเป็นที่รักและอยู่ในความทรงจำของผู้คนในโลงแก้วเพื่อทุกคนจะระลึกถึงเขาได้ตลอดเวลา บรรดาพระสันตะปาปาล้วนมาคำนับศพเขา จากนักบวชลัทธิซาตานพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่2เรียกเขาว่าเป็น "คนของแม่พระ" และพระศาสนจักร ประกาศให้ บาร์โทโล เป็นบุญราศี และมีวันที่ระลึกถึงในวันที่ 5 ตุลาคม
🙏 เพื่อพระเจ้าจะโปรดการกลับใจ แก่ผู้หลงผิด จะทรงรักษาผู้ติดยา และชี้ทางสว่างแก่ผู้หลงไหลในลัทธิซาตาน ขอบุญราศี บาร์โทโล ช่วยวิงวอนเทอญ 🙏
ปล.ภาพซ้ายบนคือภาพบาร์โทโลในวัย22ปี ขณะเป็นเจ้าลัทธิซาตาน ภาพขวาบน คือภาพของเขาท่ามกลางเด็กกำพร้าที่เขาดูแล สีหน้าและแววตานั้นต่างกันราวคนละคน
cr.www.facebook.com/holysmn
+ การบรรยายเรื่อง จากผู้นำลัทธิซาตานสู่การเป็นนักบุญ โดย คุณปอ (26 พค. 62)
CR. : fuchan101
จากผู้นำลัทธิซาตาน สู่การประกาศเป็นบุญราศี
'Every saint has a past, and every sinner has a future.'
- Oscar Wilde
"นักบุญทุกคนมีอดีต และคนบาปทุกคนมีอนาคต"
คำกล่าวของ ออสการ์ ไวลด์ กวีชาวไอริชผู้โด่งดังนี้ บุคคลคนหนึ่งที่เป็นตัวอย่างได้ดีที่สุดคือ บาร์โทโล ลองโก้ ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยชื่นชอบลบหลู่ดูหมิ่นพระเจ้า เข้าร่วมลัทธิซาตานจนได้รับการอภิเษกแต่งตั้งเป็นนักบวชผู้นำลัทธิซาตานและกระทำบาปทุกสิ่งที่คำสอนของศาสนาอันล้าหลังคร่ำครึในสายตาเขาได้ห้ามไว้ แล้ววันฟ้าถล่มดินทลายของชีวิตเขาก็มาถึง เขาได้กลับตัวกลับใจ อุทิศชีวิตแก่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ จนได้รับแต่งตั้งเป็นอัศวินของพระศาสนจักร ได้รับการคำนับและยกย่องจากบรรดาพระสันตะปาปา และได้เข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งนักบุญ และในขณะนี้อยู่ในสถานะ"บุญราศี"
บาร์โทโล ลองโก้ (Bartolo Longo)ชาวอิตาลี เกิดเมื่อ10กุมภา1841 ในครอบครัวคาทอลิก เมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตไปเมื่ออายุได้10ขวบ เขาก็ค่อยๆห่างไกลจากความศรัทธาในศาสนาไปเรื่อยๆ จนอายุได้20ปี เขาได้เข้ามหาวิทยาลัยเนเปิ้ลส์(Naples) เพื่อเรียนวิชากฎหมาย
หากแต่ว่าในช่วงศตวรรษที่19 เป็นช่วงเวลาวุ่นวายทางการเมืองของอิตาลี มีการปฎิวัติหลายครั้ง และในช่วง 1860 มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองชาตินิยม ที่ชี้ประเด็นว่าศาสนาและโดยเฉพาะคาทอลิก เป็นสิ่งถ่วงความเจริญของอิตาลีให้ล้าหลังคร่ำครึ และพระสันตะปาปาถูกมองว่าเป็นศัตรูของแนวคิดชาตินิยม การเหยียดนักบวช หรือล้อเลียนศาสนาเป็นตัวตลก เป็นเทรนด์นิยมของคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้น และ มหาวิทยาลัยเนเปิ้ลส์ในเวลานั้นนอกจากเป็นที่สอนหนังสือยังเป็นที่เผยแพร่อุดมการณ์ต่างๆ กลายเป็นแหล่งรวมของกลุ่ม สมาคม ชมรม ทุกรูปแบบ และรวมแนวคิดที่ต่อต้านระเบียบจารีตยุคเก่า อันนำเอาคริสตศาสนาคาทอลิกมาเป็นจำเลย ก็เฟื่องฟูในมหาวิทยาลัย มีชมรม หรือสมาคม ที่นำเอาเรื่องศาสตร์คุณไสยจากต่างประเทศรูปแบบต่างๆ ทั้งแม่มด คนทรง ไปจนถึงแนวคิดบูชาซาตาน เข้ามาเฟื่องฟูในมหาวิทยาลัยด้วย
บาร์โทโล นักศึกษาหนุ่ม เข้าสมาคมสื่อวิญญาณ(séances) อันพาเขาลุ่มหลงไปกับไสยศาสตร์วิชามาร การมั่วสุมใช้ยาเสพติดทุกชนิด และการมั่วเพศแบบเซ็กส์หมู่ เพื่อทำให้ผีปีศาจพอใจและลบหลู่ศีลธรรมแบบคริสตศาสนา บาร์โทโลได้รับการยกย่องชื่นชม ในการท้าทายเหยียดหยามศาสนาดูหมิ่นพระเจ้าในที่สาธารณะ จนชาวคณะทำการบวช(ordained) เขาเป็นบาทหลวงซาตาน(Satanic priest)ในระดับผู้นำลัทธิ(Satanic bishop)
บาร์โทโล หลงระเริงในความสุขเนื้อหนังและอบายมุขและการยกย่องชื่นชมจากบรรดาปัญญาชนผู้รักในวิถีชีวิตเสรีที่แหวกขนบธรรมเนียมล้าหลัง ในหมู่เพื่อนเขาคือฮีโร่ แต่กับครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนเก่า เห็นว่า เขาเหมือนคนบ้า มีอาการเหมือนคนเป็นโรคประสาท มีการนอยด์ตลอดเวลา และหมกมุ่นในโลกส่วนตัว เหมือนคนเสียสติ มากกว่าคนฉลาดที่มีการศึกษาอย่างที่เขาเคยเป็น
+ คำอธิษฐานภาวนาของครอบครัว +
เมื่อครอบครัวของเขารู้เรื่องที่เขาไปบ้าคลั่งลัทธิจนชีวิตพัง ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากสวดภาวนาขอพระเจ้าให้เขากลับใจ และคำภาวนาของผู้คนที่รักเขาก็ได้รับการตอบรับ
คืนหนึ่งขณะที่ บาร์โทโล ผู้มีการการเครียด ซึมเศร้า และวิตกจริตกำลังจะหลับ เขาได้ยินเสียงที่เขาคุ้นเคยในวัยเด็กเขาจำได้ดีว่าคือเสียงพ่อที่จากไปของเขา ร้องเสียงดังว่า "กลับมาหาพระเจ้าเถิดลูกเอ๋ย!"
บาร์โทโล เอง รู้ตัวดีว่า เส้นทางความสุขจอมปลอมที่เขาเดินทางเข้ามาจมปลักนั้น ทำลายตัวตนของเขาไปมาก แต่ความสับสนในชีวิต ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกขังในห้องมืดที่ไม่รู้จะออกจากสภาพนี้ได้ยังไง แต่เสียงของพ่อคืนนั้นเหมือนใครสักคนผลักประตูเข้ามาจนแสงสว่างจ้าเห็นทางออก บาร์โทโลรีบไปพบเพื่อนเก่า ชื่อ วีเซนโซ่ เปป( Vincenzo Pepe) และขอความช่วยเหลือจากเพื่อน เปปร้องไห้พูดกับเขาว่า"นายอยากตายในสถานบำบัดคนโรคจิตแล้วตกนรกไปตลอดกาลหรือไง?" ทั้งสองตกลงกันว่าต้องช่วยกันพากันออกจากชีวิตเหลวแหลกนี้ เปปพาบาร์โทโลไปพบคุณพ่ออัลเบอโต้(Fr. Alberto Radente)พระสงฆ์คณะโดมินิกัน
บาร์โทโล เข้าสู่การสารภาพบาป และบำบัดที่เหมือนเข้าเงียบระยะยาว กับคุณพ่ออัลเบอโต้ ผู้ซึ่งอดทนใช้เวลาในการในคำปรึกษาฝ่ายจิตแก่เขาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและอดทน หลังจากบำบัดกับคุณพ่อนานนับเดือน บาร์โทโลฟื้นฟูจิตวิญญาณของตน จนในปี 1871 บาร์โทโล สมัครเข้าเป็นสมาชิกโดมินิกันชั้น3(ฆารวาสที่ร่วมปฎิบัติวินัยบางข้อของคณะนักบวชที่เข้าร่วมสังกัด) และกลับไปยังสมาคมสื่อวิญญาณของมหาวิทยาลัย ในคาเฟ่ ท่ามกลางปาร์ตี้มั่วสุมของนักศึกษา และยืนขึ้นบนโต๊ะประกาศว่า "ผมขอประกาศลาออกจากลัทธิวิญญาณนี้ เพราะมันคือเขาวงกตแห่งความหลงผิดและความเท็จ" เขาใช้เวลา6ปี ในการอุทิศตนนำคนที่หลงผิดแบบเขากลับมาหาพระเจ้า และช่วยเหลือรับใช้คนยากจน
- ที่หลบภัยของคนบาป +
แต่ดูเหมือนชีวิตมันไม่ง่ายเช่นนั้น เมื่ออาการทางจิตประสาทกลับมาคุกคามเขา อาการวิตกจริด และนอยด์ กลับมาหลอกหลอนเขาอีก เขาเริ่มหลอนว่าตนเองยังถูกซาตานยึดวิญญาณไว้ และกลัวว่าพระเจ้าจะยังไม่ให้อภัย เขาจะต้องตกนรก เขาเริ่มมีอาการซึมเศร้าจนอยากจะฆ่าตัวตาย แต่ก็กลัวตกนรก กลัวต้องกลับไปอยู่กับซาตาน วันหนึ่งเขานึกถึงวัยเด็ก กิจศรัทธาเรียบง่ายอย่างการสวดสายประคำ และ ความรักอันอ่อนโยนของแม่พระที่เขาจำได้ และเขาได้ยินแม่พระพูดกับเขาว่า "โดยการสอนผู้อื่นเรื่องสายประคำ ลูกจะปลอดภัย"
ในเทววิทยา พระแม่มารีย์ไม่ใช่ผู้ไถ่บาป แต่แม่เป็น "ที่หลบภัยของคนบาป" เป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณโดยเฉพาะของผู้ที่ขาดความวางใจหรือเสียใจในบาปมากเสียจนคิดว่าพระเจ้าจะไม่ให้อภัย เหมือนความรู้สึกของลูกล้างผลาญที่บอกกับพ่อว่า "ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพ่อ" แม่พระทำสิ่งที่เหมือนนางรีเบคาห์ แม่ของฝาแฝด เอซาวและยาโคบ คือเป็นที่พึ่งและกำลังใจให้ยาโคบ ที่คิดว่าตนไม่เป็นที่รักของพ่อแบบเอซาว แม่พระจึงเหมือนนางรีเบคาห์ที่เป็นแม่ผู้เชื่อมพ่อลูกที่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ต่อกันไว้ไม่ให้แตกหักลงไป
บาร์โทโล จึงได้เอาชนะความวิตกจริต และการป่วยทางจิต โดยมุ่งมั่นทำพันธกิจการแผยแพร่เรื่องการสวดสายประคำเขาเดินทางไปยังปอมเปอี ซึ่งเขาได้เขียนเล่าในบันทึกว่า
"เต็มไปด้วยเรื่องซูแปร์ติซัง(ความเชื่อโชคลางคุณไสย)มีทั้งการใช้เวทย์มนต์คาถา แม่มด คนทรงเครื่องรางของขลังมั่วไปหมด"
เหตุการณ์เมื่อครั้งนักบุญโดมินิกได้รับสายประคำจากพระเยซูและแม่พระ โดยอาศัยการสวดสายประคำขับไล่ลัทธิหลงผิดในยุคของท่าน บาร์โทโล ก็เดินหน้าเปลี่ยนแปลงความหลงผิดของที่นี่ด้วยสายประคำเช่นกัน
+ พันธกิจของผู้รับใช้พระเจ้า +
กว่า50ปี ของการทำพันธกิจเพื่อความศรัทธาในพระเจ้า บาร์โทโลและภรรยา เค้าท์เตส มาเรียน่า(Countess Mariana di Fusco) ได้ตั้งโรงเรียนเพื่อเด็กยากจน บ้านเด็กกำพร้า และบ้านพักพิงสำหรับเด็กที่พ่อแม่จำคุก และการปฏิวัติแท้จริงก็คือ ปอมเปอี จากพื้นที่ซูแปร์ติซัง ได้กลายเป็นชุมชนความศรัทธา ท่านได้ฟื้นฟูโบสถ์ที่ถูกทิ้งร้าง จนกลายเป็นวิหารพรหมจารีย์แห่งสายประคำแห่งปอมเปอี(Shrine of the Virgin of the Rosary of Pompei) ซึ่งมีผู้แสวงบุญจำนวนมาก
พระศาสนจักรมอบเกียรติให้ท่าน โดยแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน ชั้น
Order of the Holy Sepulchre of Jerusalem และมหาวิหารนี้คือที่วางร่างของชายเป็นที่รักและอยู่ในความทรงจำของผู้คนในโลงแก้วเพื่อทุกคนจะระลึกถึงเขาได้ตลอดเวลา บรรดาพระสันตะปาปาล้วนมาคำนับศพเขา จากนักบวชลัทธิซาตานพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่2เรียกเขาว่าเป็น "คนของแม่พระ" และพระศาสนจักร ประกาศให้ บาร์โทโล เป็นบุญราศี และมีวันที่ระลึกถึงในวันที่ 5 ตุลาคม
🙏 เพื่อพระเจ้าจะโปรดการกลับใจ แก่ผู้หลงผิด จะทรงรักษาผู้ติดยา และชี้ทางสว่างแก่ผู้หลงไหลในลัทธิซาตาน ขอบุญราศี บาร์โทโล ช่วยวิงวอนเทอญ 🙏
ปล.ภาพซ้ายบนคือภาพบาร์โทโลในวัย22ปี ขณะเป็นเจ้าลัทธิซาตาน ภาพขวาบน คือภาพของเขาท่ามกลางเด็กกำพร้าที่เขาดูแล สีหน้าและแววตานั้นต่างกันราวคนละคน
cr.www.facebook.com/holysmn
+ การบรรยายเรื่อง จากผู้นำลัทธิซาตานสู่การเป็นนักบุญ โดย คุณปอ (26 พค. 62)
CR. : fuchan101