นี่เป็นเพียงกระทู้ที่เราระบายสิ่งที่เรารู้สึกเเละอึดอัดใจ ในฝ่ายของตัวเรา เป็นเรื่องที่เราระบายออกมาตรงๆเลยไม่ได้ เเละเรื่องนี้มันก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับสิ่งที่เรากำลังจะเล่า จริงๆมันก็คือความในใจของเรานั่นเเหละ เเต่คิดซะว่ามันเป็นบทความเศร้าๆบทความหนึ่งก็ได้ ขอบคุณที่ตัดสินใจที่จะอ่านมันค่ะ
ฉันยืนอยู่หลังประตูบานหนึ่ง ยืนนิ่งเหมือนกับไม่มีชีวิต เเต่ในหัวกลับคิดอะไรมากมายเต็มไปหมด และในขณะเดียวกันในใจก็กระวนกระวายอยู่เสมอ
ฉันรอคอยวันเเล้ววันเล่า รอวันที่ประตูบานนั้นจะเปิดออกมา รอวันที่จะได้พบกับคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตู
ฉันเชื่อว่าการรอคอยมีค่าเสมอ ถ้าสิ่งที่ฉันรออยู่นั้นมีความหมายมากพอสำหรับฉัน เเต่ทำไมกันนะ ทำไมการรอคอยที่เเสนมีค่า มันกลับทำให้บาดแผลที่มีอยู่ค่อยๆลึกลงไป ลึกลงไปทุกที
เเละเเล้ววันนั้นก็มาถึง ฉันได้ยินเสียงลูกบิดประตูดังขึ้น พร้อมกับเงยหน้ามองผู้ที่เปิดประตูเข้ามาทักทาย ใบหน้าที่ไม่ได้เเสดงอาการใดๆออกมาเป็นเวลานาน ตอนนี้ปากของฉันกับยกขึ้นมาเหมือนกับว่า ฉันกำลังยิ้ม รึเปล่านะ
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก สมองของฉันก็ขาวโพร่งไปหมด เเต่ในใจกลับสั่นไหว เหมือนกับได้ยินเสียงสัญญาณที่เคยขาดหายไป ในตอนนี้สัญญาณนั้นกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง
ฉันพยายามที่จะเดินเข้าไปในประตูที่เพิ่งเปิดออกเหมือนกลับว่าเป็นการต้อนรับฉันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่ฉันจะได้พบกับเขาเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา เเต่ในทางกลับกันเขากั้นมือให้ฉันหยุดลงที่ตรงนั้น เเละพูดคุยกันผ่านประตูบานนี้พอ
การสนทนาที่ฉันรอคอย ทำไมมันถึงได้รู้สึกยากเย็นจังเลยนะ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเหนื่อยกับการทำสิ่งนี้ ทำไมเขาถึงได้เฉยชาเเละทำเหมือนกับว่าลำบากใจที่จะต้องต่อบทสนทนานี้กับฉัน
ฉันเองก็ เริ่มจะรู้สึกอยากให้บทสนทนานี้จบลงเร็วๆเเล้วสิ มันไม่เห็นเหมือนที่คาดหวังไว้ตอนที่ฉันยืนอยู่หลังประตูเลย ใบหน้าที่ยิ้มเเย้มของฉันในตอนนี้ กลับเกิดขึ้นพร้อมกับใจที่หวั่นกลัว กลัวว่าความจริงมันจะเข้ามาทำลายความหวังที่ฝันไว้
ถ้าเธอคิดไว้เเล้วว่ามันจะเป็นเเบบนี้ เเล้วเธอเปิดประตูบานนี้ขึ้นมาอีกครั้งทำไมกัน นี่เป็นคำถามที่จริงๆฉันอาจจะไม่ได้ต้องการคำตอบ หรือบางที ตำตอบของคำถามนี้ อาจจะไม่มีอยู่เลย
งั้นฉันคิดว่า ฉันควรจบการสนทนาในครั้งนี้ของเราไว้เท่านี้ดีกว่า ฉันไม่ได้มีความพยายามมากพอที่จะยื้อมันต่อไป ก่อนที่ใจของฉันจะเเตกสลายไปมากกว่านี้ ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของฉันจะหายไป ฉันตัดสินใจปิดประตูบานนั้น ด้วยตัวของฉันเอง
ไว้ค่อยกลับมาในวันที่เราคิดถึงกันมากพอ หรือ อย่ากลับมาเจอกันอีกเลยจะได้ไหม
ฉันยืนอยู่หลังประตูบานหนึ่ง ยืนนิ่งเหมือนกับไม่มีชีวิต เเต่ในหัวกลับคิดอะไรมากมายเต็มไปหมด และในขณะเดียวกันในใจก็กระวนกระวายอยู่เสมอ
ฉันรอคอยวันเเล้ววันเล่า รอวันที่ประตูบานนั้นจะเปิดออกมา รอวันที่จะได้พบกับคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตู
ฉันเชื่อว่าการรอคอยมีค่าเสมอ ถ้าสิ่งที่ฉันรออยู่นั้นมีความหมายมากพอสำหรับฉัน เเต่ทำไมกันนะ ทำไมการรอคอยที่เเสนมีค่า มันกลับทำให้บาดแผลที่มีอยู่ค่อยๆลึกลงไป ลึกลงไปทุกที
เเละเเล้ววันนั้นก็มาถึง ฉันได้ยินเสียงลูกบิดประตูดังขึ้น พร้อมกับเงยหน้ามองผู้ที่เปิดประตูเข้ามาทักทาย ใบหน้าที่ไม่ได้เเสดงอาการใดๆออกมาเป็นเวลานาน ตอนนี้ปากของฉันกับยกขึ้นมาเหมือนกับว่า ฉันกำลังยิ้ม รึเปล่านะ
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก สมองของฉันก็ขาวโพร่งไปหมด เเต่ในใจกลับสั่นไหว เหมือนกับได้ยินเสียงสัญญาณที่เคยขาดหายไป ในตอนนี้สัญญาณนั้นกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง
ฉันพยายามที่จะเดินเข้าไปในประตูที่เพิ่งเปิดออกเหมือนกลับว่าเป็นการต้อนรับฉันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่ฉันจะได้พบกับเขาเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา เเต่ในทางกลับกันเขากั้นมือให้ฉันหยุดลงที่ตรงนั้น เเละพูดคุยกันผ่านประตูบานนี้พอ
การสนทนาที่ฉันรอคอย ทำไมมันถึงได้รู้สึกยากเย็นจังเลยนะ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเหนื่อยกับการทำสิ่งนี้ ทำไมเขาถึงได้เฉยชาเเละทำเหมือนกับว่าลำบากใจที่จะต้องต่อบทสนทนานี้กับฉัน
ฉันเองก็ เริ่มจะรู้สึกอยากให้บทสนทนานี้จบลงเร็วๆเเล้วสิ มันไม่เห็นเหมือนที่คาดหวังไว้ตอนที่ฉันยืนอยู่หลังประตูเลย ใบหน้าที่ยิ้มเเย้มของฉันในตอนนี้ กลับเกิดขึ้นพร้อมกับใจที่หวั่นกลัว กลัวว่าความจริงมันจะเข้ามาทำลายความหวังที่ฝันไว้
ถ้าเธอคิดไว้เเล้วว่ามันจะเป็นเเบบนี้ เเล้วเธอเปิดประตูบานนี้ขึ้นมาอีกครั้งทำไมกัน นี่เป็นคำถามที่จริงๆฉันอาจจะไม่ได้ต้องการคำตอบ หรือบางที ตำตอบของคำถามนี้ อาจจะไม่มีอยู่เลย
งั้นฉันคิดว่า ฉันควรจบการสนทนาในครั้งนี้ของเราไว้เท่านี้ดีกว่า ฉันไม่ได้มีความพยายามมากพอที่จะยื้อมันต่อไป ก่อนที่ใจของฉันจะเเตกสลายไปมากกว่านี้ ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของฉันจะหายไป ฉันตัดสินใจปิดประตูบานนั้น ด้วยตัวของฉันเอง