ต่อจากตอนที่ 1 ที่เราพูดถึงการลงทุนหุ้นแบบ cost averaging (ลงทุนแต่ละเดือน โดยระวังให้เกิดค่าคอมมิชชั่นน้อยที่สุด) โดยมีเป้าหมายลงทุนในระยะยาว
https://ppantip.com/topic/39843067
เรามาดูกันต่อครับว่า เราจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพอร์ต ด้วยการปรับเปลี่ยนกลยุทธ ซื้อและถือไว้ (buy and hold) ได้อย่างไรบ้าง
"กระจายความเสี่ยงทาง ภูมิศาสตร์"
.
ดัชนี SET มักได้ผลรับผลกระทบจากปัจจัยภายในค่อนข้างมากหากเทียบกับตลาดอเมริกาหรือยุโรป ถึงแม้จะมีข้อจํากัดสําหรับนักลงทุนไทย ที่คิดจะลงทุนในต่างประเทศ ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน ค่าคอมสูง และ การหักภาษีจากรายได้ส่วนเกินที่ได้รับจากการถือหุ้นต่างประเทศรวมถึงภาษีจากเงินปันผล การลงทุนต่างประเทศก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดี
.
ถ้าคุณลงทุนในต่างประเทศแล้ว อาจจะพิจารณาแบ่งเงินลงทุน (1/4 หรือ 1/2 ของเงินทุน)ในดัชนีกว้างๆ เช่น ดัชนี S&P500 (บริษัทขนาดใหญ่), Russell-2000(บริษัทขนาดเล็ก), Stoxx-600(ยุโรป) หรือ Topix (ญี่ปุ่น) เพื่อกระจายความเสี่ยง แม้แต่กองทุนรวมที่ลงทุนใน หุ้นอเมริกา หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ ก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย ลองดูชาร์ตที่เราแนบมา จะเห็นได้ว่าการเคลื่อนตัวของ S& P500 (เส้นสีฟ้า) กับหุ้นไทย (แท่งเทียน) เป็นไปในทางตรงกันข้าม ยกเว้นแต่ในกรณีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เช่น วิกฤตทางการเงิน และ โควิด-19 ระบาด
.
"กฏของการเทรด"
.
จิตวิทยาของมนุษย์ไม่ชอบเสียและโลภ เราไม่ควรเทรดเพียงที่จะเอาชนะตลาด เพราะต้นทุนของการซื้อและขายจะทําลายคุณค่า เราขอเสนอวิธีจัดสรรพอร์ตที่เรียกว่า “กลยุทธ์การประกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนด้วยสัดส่วนคงที่” (Constant proportion portfolio insurance) CPPI
.
เราจะแบ่งพอร์ตเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น และ ส่วนที่เสี่ยงน้อยกว่า เช่น พันธบัตร
.
สมมุติพอร์ตของคุณเป็น 100% และคุณไม่ต้องการให้ค่าของพอร์ตต่ำกว่า 75% (floor)
.
คุณจะหาเปอร์เซนต์ที่ควรแบ่งให้สินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ซึ่งจะถูกตัดสินด้วย ตัวคูณ (multiplier) และความแตกต่างระหว่างค่าของพอร์ต และ ฐานของพอร์ต ลองสมมุติว่า ตัวคูณเป็น 2
.
เช่น
.
A. ส่วนที่เป็นหุ้น (ตอนเริ่ม)
2* (100-75) = 50%
B. ถ้าตลาดลง และพอร์ตลดลงเป็น 95% ส่วนที่คุณควรลงในหุ้น (ปรับพอร์ต) จะลดลงเป็น
2 * (95-75) = 40%
C. ถ้าตลาดลง และพอร์ตลดลงเป็น 75% (ตํ่าสุดที่คุณจะรับได้)
2* (75-75)= 0% หรือลงทุนเฉพาะพันธบัตรไม่ลงหุ้นเลย
กลยุทธการลงทุนวิธีนี้ จะทํางานคล้ายๆ กับ การซื้อ call option ให้ผลตอบแทนคล้ายหุ้น แต่รักษาเงินทุนเดิมไว้
.
"การลงทุนในทางเลือก (Alternative Investment)"
.
ทองและที่ดินช่วยป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ และความวุ่นวายทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าหุ้น แต่ในระยะยาวผลตอบแทนจะน้อยและซื้อขายไม่คล่องเท่าหุ้น ในความเห็นเรา ยกเว้นแต่ว่าคุณรวยจริงๆ ควรจํากัดการถือทอง 10% เป็นตัวประกันในวิกฤต พยายามเป็นเจ้าของที่ที่ตนอาศัยอยู่ จ่ายเงินค่าผ่อนแทนที่จะจ่ายค่าเช่า อย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งใน ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)หรือ ซื้อเพื่อเช่าต่อ (buy-to-let) ยกเว้นแต่จะรู้เรื่องนี้จริงๆ
.
ฝากกดไลค์และแชร์เฟสบุ๊คด้วยครับ www.facebook.com/BarracudaStocks
หากสงสัยเพิ่มเติม เกี่ยวกับ CPPI ลองอ่านในอ้างอิงดูนะครับ หากมีอะไรสงสัย คอมเมนต์ได้เลยครับ
.
อ้างอิง
.
https://en.m.wikipedia.org/…/Constant_proportion_portfolio_…
.
https://www.investopedia.com/terms/c/cppi.asp
.
#CPPI
#rebalanceportfolio
#การลงทุน
#จัดพอร์ต
ปรับเปลี่ยนกลยุทธบริหารพอร์ต ให้ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าด้วย CPPI (ตอนที่ 2)
https://ppantip.com/topic/39843067
เรามาดูกันต่อครับว่า เราจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพอร์ต ด้วยการปรับเปลี่ยนกลยุทธ ซื้อและถือไว้ (buy and hold) ได้อย่างไรบ้าง
"กระจายความเสี่ยงทาง ภูมิศาสตร์"
.
ดัชนี SET มักได้ผลรับผลกระทบจากปัจจัยภายในค่อนข้างมากหากเทียบกับตลาดอเมริกาหรือยุโรป ถึงแม้จะมีข้อจํากัดสําหรับนักลงทุนไทย ที่คิดจะลงทุนในต่างประเทศ ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน ค่าคอมสูง และ การหักภาษีจากรายได้ส่วนเกินที่ได้รับจากการถือหุ้นต่างประเทศรวมถึงภาษีจากเงินปันผล การลงทุนต่างประเทศก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดี
.
ถ้าคุณลงทุนในต่างประเทศแล้ว อาจจะพิจารณาแบ่งเงินลงทุน (1/4 หรือ 1/2 ของเงินทุน)ในดัชนีกว้างๆ เช่น ดัชนี S&P500 (บริษัทขนาดใหญ่), Russell-2000(บริษัทขนาดเล็ก), Stoxx-600(ยุโรป) หรือ Topix (ญี่ปุ่น) เพื่อกระจายความเสี่ยง แม้แต่กองทุนรวมที่ลงทุนใน หุ้นอเมริกา หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ ก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย ลองดูชาร์ตที่เราแนบมา จะเห็นได้ว่าการเคลื่อนตัวของ S& P500 (เส้นสีฟ้า) กับหุ้นไทย (แท่งเทียน) เป็นไปในทางตรงกันข้าม ยกเว้นแต่ในกรณีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เช่น วิกฤตทางการเงิน และ โควิด-19 ระบาด
.
"กฏของการเทรด"
.
จิตวิทยาของมนุษย์ไม่ชอบเสียและโลภ เราไม่ควรเทรดเพียงที่จะเอาชนะตลาด เพราะต้นทุนของการซื้อและขายจะทําลายคุณค่า เราขอเสนอวิธีจัดสรรพอร์ตที่เรียกว่า “กลยุทธ์การประกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนด้วยสัดส่วนคงที่” (Constant proportion portfolio insurance) CPPI
.
เราจะแบ่งพอร์ตเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น และ ส่วนที่เสี่ยงน้อยกว่า เช่น พันธบัตร
.
สมมุติพอร์ตของคุณเป็น 100% และคุณไม่ต้องการให้ค่าของพอร์ตต่ำกว่า 75% (floor)
.
คุณจะหาเปอร์เซนต์ที่ควรแบ่งให้สินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ซึ่งจะถูกตัดสินด้วย ตัวคูณ (multiplier) และความแตกต่างระหว่างค่าของพอร์ต และ ฐานของพอร์ต ลองสมมุติว่า ตัวคูณเป็น 2
.
เช่น
.
A. ส่วนที่เป็นหุ้น (ตอนเริ่ม)
2* (100-75) = 50%
B. ถ้าตลาดลง และพอร์ตลดลงเป็น 95% ส่วนที่คุณควรลงในหุ้น (ปรับพอร์ต) จะลดลงเป็น
2 * (95-75) = 40%
C. ถ้าตลาดลง และพอร์ตลดลงเป็น 75% (ตํ่าสุดที่คุณจะรับได้)
2* (75-75)= 0% หรือลงทุนเฉพาะพันธบัตรไม่ลงหุ้นเลย
กลยุทธการลงทุนวิธีนี้ จะทํางานคล้ายๆ กับ การซื้อ call option ให้ผลตอบแทนคล้ายหุ้น แต่รักษาเงินทุนเดิมไว้
.
"การลงทุนในทางเลือก (Alternative Investment)"
.
ทองและที่ดินช่วยป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ และความวุ่นวายทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าหุ้น แต่ในระยะยาวผลตอบแทนจะน้อยและซื้อขายไม่คล่องเท่าหุ้น ในความเห็นเรา ยกเว้นแต่ว่าคุณรวยจริงๆ ควรจํากัดการถือทอง 10% เป็นตัวประกันในวิกฤต พยายามเป็นเจ้าของที่ที่ตนอาศัยอยู่ จ่ายเงินค่าผ่อนแทนที่จะจ่ายค่าเช่า อย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งใน ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)หรือ ซื้อเพื่อเช่าต่อ (buy-to-let) ยกเว้นแต่จะรู้เรื่องนี้จริงๆ
.
ฝากกดไลค์และแชร์เฟสบุ๊คด้วยครับ www.facebook.com/BarracudaStocks
หากสงสัยเพิ่มเติม เกี่ยวกับ CPPI ลองอ่านในอ้างอิงดูนะครับ หากมีอะไรสงสัย คอมเมนต์ได้เลยครับ
.
อ้างอิง
.
https://en.m.wikipedia.org/…/Constant_proportion_portfolio_…
.
https://www.investopedia.com/terms/c/cppi.asp
.
#CPPI
#rebalanceportfolio
#การลงทุน
#จัดพอร์ต