อยากสอบถามและอยากได้ความเห็นจากเพื่อนๆทุกคนค่ะ เรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ ว่าด้วยเรื่อง ‘เจ้านายกับลูกน้อง’
ขอเกริ่นก่อนว่าเจ้านายเราเป็นชาวต่างชาติ (เอเชีย) อายุมากกว่าเราน่าจะสัก7-10ปีเห็นจะได้ เราเเละหัวหน้ามีเคมีที่เข้ากันดีมากในเรื่องของการทำงาน เพราะเป็นเเนว Perfectionist เหมือนกัน
..ขอเข้าเรื่องเลยละกันนะคะ จะขอเล่าเป็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเกือบ 1 ปีที่ทำงานด้วยกันมาค่ะ
- ตอนเข้าไปทำงานช่วง3-4เดือนเเรก หัวหน้าชวนเราไปทานข้าว ตอนเเรกเราก็เข้าใจว่าจะไปทั้งทีม สรุปไปทาน Omakase ร้านหรู มีเเค่เรา หัวหน้า เเละเพื่อนของหัวหน้าอีก2คน(เพื่อนเป็นคู่เเฟนกัน) บอกตรงๆ เราก็วางตัวไม่ถูก ..พอกลับมาถึงบ้านเราก็ text ไปขอบคุณหัวหน้า เค้าก็บอกเราว่าเค้าชอบไปกินร้านนี้คนเดียวอยู่บ่อยๆ ต่อไปเค้ารู้เเล้วว่าจะชวนใครไปกินด้วย..
- ด้วยความที่หัวหน้าเราเป็น GM+ กึ่งผู้ถือหุ้นจะต้องดูเเลหลาย Department เวลาหัวหน้าส่งเมลจะ bcc เราทุกอีเมลสำคัญๆที่ส่งเเม้จะเป็นของแผนกอื่นก็ตาม คือเราจะรับรู้เกือบทุกเรื่อง บอกก่อนว่าตำแหน่งเราไม่ใช่เลขาหรือpersonal assistannt เราเป็นเเค่1ในหัวหน้าทีมของทีมที่หัวหน้าดูเเลอยู่ เราเคยถามหัวหน้าตรงๆว่า bcc เราทำไม เพราะบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องรู้จริงๆ เค้าบอกว่าเพื่อความมั่นใจว่ายูรับรู้ ......
- มีครั้งนึงไป business trip ด้วยกันที่ต่างประเทศ ไปกันหลายคนนะคะ เเต่เรามีเหตุด่วนมากที่ต้องขอบินกลับก่อน เพราะเกี่ยวกับความเป็นความตายจริงๆ (ปล.เรื่องงานเสร็จเเล้ว เหลือเเค่ไปเที่ยวดูงานต่ออีก1สัปดาห์) หัวหน้าให้เรากลับเเละซื้อตั๋วให้เราเเบบ first class โดยให้เหตุผลว่าจะได้สะดวกเเละรวดเร็วที่สุดในสถานการณ์เร่งด่วนเเบบนี้ ซึ่งเราย้ำว่าไม่เป็นไรเพราะบินไม่นานมาก เเละที่สำคัญเรายินดีจ่ายเองเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งหัวหน้าย้ำเสียงเเข็งห้ามไม่ให้เราพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายอีก หัวหน้าเต็มใจจ่ายให้เเละเวลาทำอะไรให้ใครเค้าก็ทำเต็มที่อยู่เเล้ว เเละไม่ได้หวังอะไรตอบเเทน
- เรากับหัวหน้าเคยถกเถียงกันเรื่องงาน ปกติคุยกันตรงๆ เเต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเถียงกันมาในเรื่องงาน สุดท้ายได้ข้อสรุปในเรื่องที่เกิดขึ้น เข้าใจตรงกันทุกอย่างตั้งเเต่ในห้องประชุม เเต่พอออกจากห้องมา หัวหน้าก็ทักเเชทมาขอโทษบอกว่าถ้าพูดเเรงไปหรือเข้าใจอะไรผิดก็ขอโทษเรานะ
- หัวหน้าบอกว่าเค้าโสด และตอนนี้เริ่มหันมาดูเเลตัวเองดีมากขึ้น เริ่มกินคลีน ออกกำลังกาย ลดการสูบบุหรี่ ที่ปกติสูบจัดมากกก เพราะอยากดูดีจะได้มีแฟนสักที เรื่องการปฏิวัติตัวของเค้า หลายคนรู้นะคะไม่ใช่เเค่เรา ..เเล้วมีครั้งนึงเคยมีคุยกันเรื่องงานในเเชท เเล้วหัวหน้าเราเจอเรื่องเครียดเเละน่าปวดหัวมากของอีกทีม เราเลยแกล้งถามทีเล่นทีจริง ว่าสูบบุหรี่ไหมเผื่อจะทำให้ดีขึ้น เค้าก็ตอบกลับมาว่าเพราะยูมา encourage ไอนะ เพราะยูเลยนะไอเลยกลับมาสูบบุหรี่ ถ้าไอป่วยยูต้องรับผิดชอบไอนะ เข้าใจไหม
- ช่วงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เรามีนัดส่งงานกับหัวหน้าเเต่หัวหน้าดันมีประชุมกว่าจะเลิกคือเลยเวลาเลิกงานไปเเล้วเกือบชั่วโมง เเต่เรายังนั่งทำงานนู่นนี่ไปเรื่อยๆอยู่ ไม่ได้รีบร้อนอะไร พอหัวหน้าประชุมเสร็จ ก็เดินมาหาเราที่ห้องทำงาน ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ +พูดด้วยน้ำเสียงเชิงประชดว่า ‘ถ้ายูมีนัดเดทวาเลนไทน์ยูก็กลับไปเลยก็ได้นะ งานเอาไว้วันอื่นค่อยคุยก็ได้ ถ้าต้องรีบกลับก็กลับไปก่อนเลย ไม่ต้องรอไอก็ได้’ ซึ่งเราไม่เคยพูดไม่เคยบอกเลยว่าจะรีบกลับหรือมีนัดเดทอะไร ..แต่พอเราบอกว่าไม่ได้รีบไปไหน คุยงานเสร็จก็เดี๋ยวกลับบ้าน นายก็คุยงานต่อยาวเป็น1-2ชม (ย้ำว่าเรื่องงานจริงๆ) ด้วยอารมณ์เเละสีหน้าจากหน้ามือเป็นหลังมือ..
- หัวหน้าเคยขอให้เราสอนภาษาไทยเค้า พูดกับเราหลายรอบ เราก็ปฏิเสธตลอดเพราะเราว่ามันไม่ง่ายถึงเเม้จะเป็นภาษาเเม่ก็ตาม เเต่นายก็บอกว่าไออยากเรียนกับคนคุ้นเคยมากกว่า ไม่อยากไปเรียนที่สถาบัน หรือชอบบอกว่าหาสถาบันเเล้วเเต่คิวเต็มตลอด หรือเเม้เเต่เราเองก็ช่วยหาให้เค้าก็บอกยังไม่ถูกใจสักที ...
- หัวหน้าเคยส่งสถานที่เที่ยวของจังหวัดในภาคกลางให้เราดู บอกว่าอยากไปเที่ยวที่นี่ เเต่เค้าไม่อยากใช้รถบริษัท อยากขับไปเองมากกว่า คุยกันไปกันมา เราเลยบอกเค้าว่ายูยืมรถไอได้นะถ้าอยากขับไปเอง ใบขับขี่เค้าก็มีเรียบร้อยค่ะ เเต่สรุปเค้าก็พูดว่า จะดีมากกว่าถ้าคนขับพาไปเที่ยวเเละเป็นไกด์ส่วนตัวให้ เเต่เราไม่ได้พูดอะไร say yes หรือ no เหมือนกึ่งๆ ไม่ได้รับรู้ว่าเค้าหมายถึงใคร ได้เเต่หัวเราะกลับไป เเล้วเค้าก็หัวเราะกลบเกลื่อนไป
- ตอนนี้หัวหน้ากลับบ้านที่ต่างประเทศเเล้วยังกลับมาไม่ได้เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด เเต่ก่อนกลับตัวหัวหน้าเอง เเละตัวเราไม่ค่อยสบายทั้งคู่ ซึ่งหัวหน้าย้ำเราว่าให้อัพเดทอาการกันมาเรื่อยๆ เค้าถามเรามาตลอด ให้อัพเดทอาการไข้ คือต้องถ่ายรูปการวัดอุณหภูมิให้ดูถึงจะพอใจ ซึ่งจากนั้นประมาณ1สัปดาห์เราสองคนก็หายป่วย ตัวเราก็คิดว่าจบไป ไม่ได้อัพเดทอะไรต่อ แต่หัวหน้าก็ส่งรูปอาหารที่เค้าทำเองมาให้ดู ถามเราว่าวันนี้ยูทำอะไรทาน หรือบางทีก็ส่งรูปสรุปผลการออกกำลังกายเเต่ละวันของเค้ามาให้เราดู กลายเป็นว่าเราก็ต้องทำเเลกเปลี่ยนกันไปโดยปริยาย โดยไม่มีใครถามใครว่าทำเพราะอะไร จะถือว่าคุยเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบมันก็ดูจะถี่เกินไป เเละเราสองคนเริ่มคุยกันมากขึ้นตั้งเเต่ช่วงนี้ เเต่เนื้อหาที่คุยจะสั่นๆ เหมือนกลัวเปลืองเรื่องคุย อยากเก็บไว้คุยเรื่อยๆมากกว่า55555 ทำแบบนั้นอยู่เป็นเดือนๆ มีบ้างบางช่วงที่เริ่มหายๆกันไปบ้าง 2-3วันก็กลับมาใหม่ เป็นอยู่แบบนี้จนถึงตอนนี้
ถ้าถามว่าเรารู้สึกดีไหมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขอตอบว่าพอสมควร5555 เเต่ขณะที่รู้สึกดี ก็มีความลังเลมากๆเเละไม่มั่นใจในหลายๆอย่างเช่นกัน จะบอกว่าเราเองไม่ได้เด็กขนาดนั้นก็จริง เเต่พอเป็นเรื่องความรักก็บอกตรงๆ ว่าเราไม่มั่นใจเอาซะเลย เเละไม่กล้าคิดมโนอะไรไปไกล กลัวเสียใจอีกในวัยใกล้จะเเก่55555 เพราะในใจตอนนี้ก็ยังแฮปปี้ดีกับการเป็นโสด ยังสนุกสนานกับการทำงานอย่างบ้าคลั่ง เเละเลี้ยงดูตัวเองได้อย่างมีความสุข ..เเต่อีกใจก็รู้สึกอบอุ่นละมุมละไมดีอยู่ไม่น้อยที่จะมีคนเข้ามาดูเเล
ที่เราเองยังลังเล ไม่มั่นใจเพราะมีคำถามวนอยู่ในหัวตลอดเวลาว่า.. ผู้ชายอายุ 30ปลายๆ-40ต้นๆ มั่นคงเกือบจะทุกๆเรื่องในชีวิตเเล้วแบบนี้ แต่ทำไมยังโสด.. อีกอย่างเหมือนเราสองคนยังมีความต่างปนความกลัว เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มรู้สึกเข้าใกล้กันมากๆ เราสองคนจะค่อยๆถอยเพื่อกลับมาจุดที่สบายๆ เเล้วพอเริ่มห่างก็จะกลับเข้ามาใหม่ เป็นอยู่เเบบนี้1-2เดือนเเล้ว โดยที่เหมือนรู้กันเอง ..ขอถามความเห็นตรงจุดนี้ว่าส่วนใหญ่คิดยังไงกับเรื่องที่เราเล่าคะ แบบนี้คือแปลว่าเค้าคิดยังไงกับเรากันเเน่
หากถามคำถามอันไหนดูไม่โอเค หรือตั้งกระทู้ผิดห้อง ต้องขออภัยด้วยนะคะ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความเห็นที่สุภาพจากเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ🙏🏻
ละมุนละไมอบอุ่นหัวใจ ว่าด้วยเรื่องของ เจ้านายกับลูกน้อง
ขอเกริ่นก่อนว่าเจ้านายเราเป็นชาวต่างชาติ (เอเชีย) อายุมากกว่าเราน่าจะสัก7-10ปีเห็นจะได้ เราเเละหัวหน้ามีเคมีที่เข้ากันดีมากในเรื่องของการทำงาน เพราะเป็นเเนว Perfectionist เหมือนกัน
..ขอเข้าเรื่องเลยละกันนะคะ จะขอเล่าเป็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเกือบ 1 ปีที่ทำงานด้วยกันมาค่ะ
- ตอนเข้าไปทำงานช่วง3-4เดือนเเรก หัวหน้าชวนเราไปทานข้าว ตอนเเรกเราก็เข้าใจว่าจะไปทั้งทีม สรุปไปทาน Omakase ร้านหรู มีเเค่เรา หัวหน้า เเละเพื่อนของหัวหน้าอีก2คน(เพื่อนเป็นคู่เเฟนกัน) บอกตรงๆ เราก็วางตัวไม่ถูก ..พอกลับมาถึงบ้านเราก็ text ไปขอบคุณหัวหน้า เค้าก็บอกเราว่าเค้าชอบไปกินร้านนี้คนเดียวอยู่บ่อยๆ ต่อไปเค้ารู้เเล้วว่าจะชวนใครไปกินด้วย..
- ด้วยความที่หัวหน้าเราเป็น GM+ กึ่งผู้ถือหุ้นจะต้องดูเเลหลาย Department เวลาหัวหน้าส่งเมลจะ bcc เราทุกอีเมลสำคัญๆที่ส่งเเม้จะเป็นของแผนกอื่นก็ตาม คือเราจะรับรู้เกือบทุกเรื่อง บอกก่อนว่าตำแหน่งเราไม่ใช่เลขาหรือpersonal assistannt เราเป็นเเค่1ในหัวหน้าทีมของทีมที่หัวหน้าดูเเลอยู่ เราเคยถามหัวหน้าตรงๆว่า bcc เราทำไม เพราะบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องรู้จริงๆ เค้าบอกว่าเพื่อความมั่นใจว่ายูรับรู้ ......
- มีครั้งนึงไป business trip ด้วยกันที่ต่างประเทศ ไปกันหลายคนนะคะ เเต่เรามีเหตุด่วนมากที่ต้องขอบินกลับก่อน เพราะเกี่ยวกับความเป็นความตายจริงๆ (ปล.เรื่องงานเสร็จเเล้ว เหลือเเค่ไปเที่ยวดูงานต่ออีก1สัปดาห์) หัวหน้าให้เรากลับเเละซื้อตั๋วให้เราเเบบ first class โดยให้เหตุผลว่าจะได้สะดวกเเละรวดเร็วที่สุดในสถานการณ์เร่งด่วนเเบบนี้ ซึ่งเราย้ำว่าไม่เป็นไรเพราะบินไม่นานมาก เเละที่สำคัญเรายินดีจ่ายเองเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งหัวหน้าย้ำเสียงเเข็งห้ามไม่ให้เราพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายอีก หัวหน้าเต็มใจจ่ายให้เเละเวลาทำอะไรให้ใครเค้าก็ทำเต็มที่อยู่เเล้ว เเละไม่ได้หวังอะไรตอบเเทน
- เรากับหัวหน้าเคยถกเถียงกันเรื่องงาน ปกติคุยกันตรงๆ เเต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเถียงกันมาในเรื่องงาน สุดท้ายได้ข้อสรุปในเรื่องที่เกิดขึ้น เข้าใจตรงกันทุกอย่างตั้งเเต่ในห้องประชุม เเต่พอออกจากห้องมา หัวหน้าก็ทักเเชทมาขอโทษบอกว่าถ้าพูดเเรงไปหรือเข้าใจอะไรผิดก็ขอโทษเรานะ
- หัวหน้าบอกว่าเค้าโสด และตอนนี้เริ่มหันมาดูเเลตัวเองดีมากขึ้น เริ่มกินคลีน ออกกำลังกาย ลดการสูบบุหรี่ ที่ปกติสูบจัดมากกก เพราะอยากดูดีจะได้มีแฟนสักที เรื่องการปฏิวัติตัวของเค้า หลายคนรู้นะคะไม่ใช่เเค่เรา ..เเล้วมีครั้งนึงเคยมีคุยกันเรื่องงานในเเชท เเล้วหัวหน้าเราเจอเรื่องเครียดเเละน่าปวดหัวมากของอีกทีม เราเลยแกล้งถามทีเล่นทีจริง ว่าสูบบุหรี่ไหมเผื่อจะทำให้ดีขึ้น เค้าก็ตอบกลับมาว่าเพราะยูมา encourage ไอนะ เพราะยูเลยนะไอเลยกลับมาสูบบุหรี่ ถ้าไอป่วยยูต้องรับผิดชอบไอนะ เข้าใจไหม
- ช่วงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เรามีนัดส่งงานกับหัวหน้าเเต่หัวหน้าดันมีประชุมกว่าจะเลิกคือเลยเวลาเลิกงานไปเเล้วเกือบชั่วโมง เเต่เรายังนั่งทำงานนู่นนี่ไปเรื่อยๆอยู่ ไม่ได้รีบร้อนอะไร พอหัวหน้าประชุมเสร็จ ก็เดินมาหาเราที่ห้องทำงาน ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ +พูดด้วยน้ำเสียงเชิงประชดว่า ‘ถ้ายูมีนัดเดทวาเลนไทน์ยูก็กลับไปเลยก็ได้นะ งานเอาไว้วันอื่นค่อยคุยก็ได้ ถ้าต้องรีบกลับก็กลับไปก่อนเลย ไม่ต้องรอไอก็ได้’ ซึ่งเราไม่เคยพูดไม่เคยบอกเลยว่าจะรีบกลับหรือมีนัดเดทอะไร ..แต่พอเราบอกว่าไม่ได้รีบไปไหน คุยงานเสร็จก็เดี๋ยวกลับบ้าน นายก็คุยงานต่อยาวเป็น1-2ชม (ย้ำว่าเรื่องงานจริงๆ) ด้วยอารมณ์เเละสีหน้าจากหน้ามือเป็นหลังมือ..
- หัวหน้าเคยขอให้เราสอนภาษาไทยเค้า พูดกับเราหลายรอบ เราก็ปฏิเสธตลอดเพราะเราว่ามันไม่ง่ายถึงเเม้จะเป็นภาษาเเม่ก็ตาม เเต่นายก็บอกว่าไออยากเรียนกับคนคุ้นเคยมากกว่า ไม่อยากไปเรียนที่สถาบัน หรือชอบบอกว่าหาสถาบันเเล้วเเต่คิวเต็มตลอด หรือเเม้เเต่เราเองก็ช่วยหาให้เค้าก็บอกยังไม่ถูกใจสักที ...
- หัวหน้าเคยส่งสถานที่เที่ยวของจังหวัดในภาคกลางให้เราดู บอกว่าอยากไปเที่ยวที่นี่ เเต่เค้าไม่อยากใช้รถบริษัท อยากขับไปเองมากกว่า คุยกันไปกันมา เราเลยบอกเค้าว่ายูยืมรถไอได้นะถ้าอยากขับไปเอง ใบขับขี่เค้าก็มีเรียบร้อยค่ะ เเต่สรุปเค้าก็พูดว่า จะดีมากกว่าถ้าคนขับพาไปเที่ยวเเละเป็นไกด์ส่วนตัวให้ เเต่เราไม่ได้พูดอะไร say yes หรือ no เหมือนกึ่งๆ ไม่ได้รับรู้ว่าเค้าหมายถึงใคร ได้เเต่หัวเราะกลับไป เเล้วเค้าก็หัวเราะกลบเกลื่อนไป
- ตอนนี้หัวหน้ากลับบ้านที่ต่างประเทศเเล้วยังกลับมาไม่ได้เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด เเต่ก่อนกลับตัวหัวหน้าเอง เเละตัวเราไม่ค่อยสบายทั้งคู่ ซึ่งหัวหน้าย้ำเราว่าให้อัพเดทอาการกันมาเรื่อยๆ เค้าถามเรามาตลอด ให้อัพเดทอาการไข้ คือต้องถ่ายรูปการวัดอุณหภูมิให้ดูถึงจะพอใจ ซึ่งจากนั้นประมาณ1สัปดาห์เราสองคนก็หายป่วย ตัวเราก็คิดว่าจบไป ไม่ได้อัพเดทอะไรต่อ แต่หัวหน้าก็ส่งรูปอาหารที่เค้าทำเองมาให้ดู ถามเราว่าวันนี้ยูทำอะไรทาน หรือบางทีก็ส่งรูปสรุปผลการออกกำลังกายเเต่ละวันของเค้ามาให้เราดู กลายเป็นว่าเราก็ต้องทำเเลกเปลี่ยนกันไปโดยปริยาย โดยไม่มีใครถามใครว่าทำเพราะอะไร จะถือว่าคุยเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบมันก็ดูจะถี่เกินไป เเละเราสองคนเริ่มคุยกันมากขึ้นตั้งเเต่ช่วงนี้ เเต่เนื้อหาที่คุยจะสั่นๆ เหมือนกลัวเปลืองเรื่องคุย อยากเก็บไว้คุยเรื่อยๆมากกว่า55555 ทำแบบนั้นอยู่เป็นเดือนๆ มีบ้างบางช่วงที่เริ่มหายๆกันไปบ้าง 2-3วันก็กลับมาใหม่ เป็นอยู่แบบนี้จนถึงตอนนี้
ถ้าถามว่าเรารู้สึกดีไหมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขอตอบว่าพอสมควร5555 เเต่ขณะที่รู้สึกดี ก็มีความลังเลมากๆเเละไม่มั่นใจในหลายๆอย่างเช่นกัน จะบอกว่าเราเองไม่ได้เด็กขนาดนั้นก็จริง เเต่พอเป็นเรื่องความรักก็บอกตรงๆ ว่าเราไม่มั่นใจเอาซะเลย เเละไม่กล้าคิดมโนอะไรไปไกล กลัวเสียใจอีกในวัยใกล้จะเเก่55555 เพราะในใจตอนนี้ก็ยังแฮปปี้ดีกับการเป็นโสด ยังสนุกสนานกับการทำงานอย่างบ้าคลั่ง เเละเลี้ยงดูตัวเองได้อย่างมีความสุข ..เเต่อีกใจก็รู้สึกอบอุ่นละมุมละไมดีอยู่ไม่น้อยที่จะมีคนเข้ามาดูเเล
ที่เราเองยังลังเล ไม่มั่นใจเพราะมีคำถามวนอยู่ในหัวตลอดเวลาว่า.. ผู้ชายอายุ 30ปลายๆ-40ต้นๆ มั่นคงเกือบจะทุกๆเรื่องในชีวิตเเล้วแบบนี้ แต่ทำไมยังโสด.. อีกอย่างเหมือนเราสองคนยังมีความต่างปนความกลัว เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มรู้สึกเข้าใกล้กันมากๆ เราสองคนจะค่อยๆถอยเพื่อกลับมาจุดที่สบายๆ เเล้วพอเริ่มห่างก็จะกลับเข้ามาใหม่ เป็นอยู่เเบบนี้1-2เดือนเเล้ว โดยที่เหมือนรู้กันเอง ..ขอถามความเห็นตรงจุดนี้ว่าส่วนใหญ่คิดยังไงกับเรื่องที่เราเล่าคะ แบบนี้คือแปลว่าเค้าคิดยังไงกับเรากันเเน่
หากถามคำถามอันไหนดูไม่โอเค หรือตั้งกระทู้ผิดห้อง ต้องขออภัยด้วยนะคะ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความเห็นที่สุภาพจากเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ🙏🏻