Amphibians ที่มีคุณสมบัติพิเศษ

คางคกประหลาดออกลูกเป็นตัว 
 

หากพูดถึงสัตว์ในตระกูล คางคก พวกมันทั้งหมดออกลูกเป็นไข่ ยกเว้นเพียงสายพันธุ์ Nectophrynoides เท่านั้นที่ออกลูกเป็นตัว  พวกมันเป็นคางคกเฉพาะถิ่นพบได้ที่ เทนซาเนีย(Tanzania) เท่านั้น โดยคางคกบางสายพันธุ์เช่น  Nectophrynoides viviparous  ที่พบในเทนซาเนีย นั้นมีลักษณะเฉพาะที่หาที่ไหนไม่ได้คือออกลูกเป็นตัว 

พวกมันเป็นคางคกบก ที่อาศัยอยู่ตามป่าไผ่ ทุ่งหญ้าบริเวณชายป่า  เนื่องจากออกลูกเป็นตัวทำให้พวกมันใช้การสืบพันธุ์ภายใน คือเกิดการปฏิสนธิภายในร่างกาย แทนที่จะใช้การปฏิสนธิภายนอก(การปฏิสนธิภายนอก คือ ตัวเมียวางไข่ในน้ำ หรือตามพื้นดิน ใบไม้ ใบหญ้า ฯ แล้วผสมกับน้ำเชื้อของตัวผู้ภายนอกร่างกาย เหมือนกบ และคางคกทั่วไป)

แต่สำหรับ คางคก  Nectophrynoides viviparous พ่อคางคกจะผสมพันธุ์กับตัวเมีย ผ่านอวัยวะเพศผู้ผ่านอวัยวะเพศเมีย โดยตัวเมียจะฟักใข่ เลี้ยงลูกอ๊อต ภายในร่างกายของตัวเมีย และถือกำเนิดลูกคางคกออกมาเป็น คางคกน้อย โดยข้ามขั้นตอนการลูกอ๊อตไป   แต่จุดเด่นและแลดูแปลกประหลาดที่สุดพวกมันคือ ปุ่มสีสดใสตามตัวของพวกมัน
ข้อมูลอ้างอิง
            http://www.iucnredlist.org/apps/redlist/details/54846/0
            http://news.bbc.co.uk/2/hi/in_pictures/7856513.stm
Cr.http://wowboom.blogspot.com/2010/12/nectophrynoides.html

ปรากฏการณ์ประหลาด อึ่งอางระเบิด


เรื่องราวนี้ตกเป็นข่าวเมื่อเดือนเมษายน 2005   เมื่อมีผู้พบเห็น อึ่งอาง ที่ Altona ในเมือง ฮัมบูรค์(Hamburg) ประเทศเยอรมัน พองตัวจนตัวระเบิด เครื่องในกระจายไปไกลเป็นเมตร  จนบริเวณทะเลสาบที่เป็นที่อยู่ของ อึ่งอาง ถูกขนานนามว่า Tümpel des Todes ในภาษาเยอรมัน (Pool of Death หรือ บึงแห่งความตาย)

โดยปรากฏการณ์ประหลาดนี้ จะเกิดขึ้นถี่ในช่วงเวลาตีสองถึงตีสาม   พยานที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า เห็นอึ่งอางขยายตัวขึ้นถึง 3.5 เท่ากว่าช่วงปกติ ก่อนที่จะระเบิดเป็นจุล และหลังจากระเบิดพวกมันยังมีชีวิตอยู่อีกเป็นระยะเวลาสั้น

นาย Werner Smolnik นักเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมระบุว่ามี จำนวนอึ่งอางที่ระเบิด ตายมากถึง 1000 ตัว ในช่วงเวลา 2-3 วัน
สัตว์แพทย์ นามว่า Franz Mutschmann ได้ทราบถึงเรื่องราวประหลาดนี้จึงได้เข้าเก็บรวบรวมเศษซากของเหล่าอึ่งอางที่ระเบิด เพื่อทำการชันสูตรเพื่อหาเงือนงำของปรากฏการณ์ประหลาดนี้   Franz Mutschmann ได้สร้างสมติฐานของปรากฏการณ์ประหลาดนี้ว่าเชื่อมโยงกับ อีกา กับลักษณะการป้องตัวของอึ่งอาง

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อมีการเพิ่มขึ้นของอีกาในพื้นที่ โดยเขาบอกว่า อีกานั้นเป็นสัตว์ที่ฉลาด และชอบกิน ตับอึ่งอาง แต่ไม่กินอึ่งอางทั้งตัวเนื่องจากอึ่งอางเป็นสัตว์มีพิษ อีกาจึงค้นคิดวิธีกินตับกบ โดยอีกาจะใช้จงอยปากจิก อึ่งอางผ่านผิวหนัง บริเวณระหว่างช่องอก กับช่องท้อง ดึงเอาตับออกไปอย่างเดียว
เมื่ออึ่งอางถูกโจมตี ปฏิกริยาป้องกันตัวของอึ่งอางจะทำงานโดยอัตโนมัติ คือ พวกมันจะพองตัว แต่เนื่องจากบาดแผลที่ถูกจิก และตับที่หายไป ทำให้หลอดเลือดของอึ่งอางและปอดของมันแตกออกนำไปสู่การระเบิด  บ้างก็ว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือเชื้อรา แต่จากการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการณ์ก็ไม่พบการติดเชื้อใด 
ข้อมูลอ้างอิง 
           http://en.wikipedia.org/wiki/Exploding_animal
Cr. http://yangparathai.blogspot.com/2010/12/blog-post_6223.html

กบมีกระเป๋า (Pouched Frog )


กบมีกระเป๋า (Pouched Frog) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Assa darlingtoni  เป็นกบบก ที่อาศัยหลบอยู่ใต้ขอนไม้ ใบไม้ ในป่าฝนในภูเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ ของรัฐควีนส์แลนด์(Queensland) และทางเหนือของ รัฐนิวเซาท์เวลส (South Wales) ของประเทศ ออสเตรเลีย

กบมีกระเป๋าเป็น กบสายพันธุ์เดียวในสกุล(Genus) Assa  มีขนาดเล็กประมาณ 2.5 เซ็นติเมตร มีสีน้ำตาลแดง มีจุดสีน้ำตาลอ่อน บนหลัง มีรูปร่างเป็นตัว V   แต่สิ่งที่แปลกประหลาดคือ ที่เอวทั้งสองข้างของกบมีกระเป่า จะมีช่องที่มีลักษณะคล้ายกระเป๋า ที่มีสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยของลูกอ๊อด หลังจากฟักออกมาจากไข่

กบมีกระเป๋า สามารถผสมพันธุ์ครั้งแรกเมื่อมีอายุ 2 - 3 ปี โดยกบตัวเมียจะวางไข่ 1 - 50 ฟอง/ปี  โดยกบตัวเมียจะสร้างรัง ไว้ใต้ขอนไม้ หรือใบไม้ และวางไข่(บนบก) โดยกบทั้งตัวผู้ และตัวเมียจะช่วยกันปกป้องรังที่วางไข่  เมื่อลูกอ๊อดฟักออกมาจากไข่จะย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ในกระเป๋าบริเวณเอวของกบตัวผู้ ลูกอ๊อดเหล่านี้สามารถอาศัยอยู่ในกระเป๋าโดยไม่ต้องง้อน้ำ  ในภาพจะเห็น เส้นสีขาวขุ่นที่ข้างขากบ คือ หางของลูกอ๊อดที่โผล่ออกมาจากกระเป๋า
ข้อมูลอ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/Pouched_Frog 
Cr.http://yangparathai.blogspot.com/2010/12/blog-post_6223.html
 

 

กบร้องเหมือนเสียงไก่


กบม่วง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า sahyadrensis Nasikabatrachus  เป็นกบที่มีการค้นพบเมื่อเดือนตุลาคม 2003  และพบเฉพาะที่ทางตะวันตกของ Ghats ใน อินเดีย เท่านั้น   พวกมันรู้จักกันในชื่อว่า กบม่วง(Purple Frog) และกบจมูกหมู(Pignose Frog) 

กบม่วงมีร่างกายที่ค่อนข้างกลม ขากางออก มีหัวเล็ก จมูกแหลมยื่นยาว ตาเล็ก  และยังมีเสียงร้องประหลาด คือ ร้องเหมือนเสียงไก่  จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน จะขึ้นสู่ผิวเดินเพียงปีละประมาณ 2 เดือนในช่วงหน้าฝนเพื่อการผสมพันธุ์   การที่พวกมันใช้ชีวิตอยู่ใต้ดินทำให้ อาหารหลักของพวกมันคือ ปลวก โดยใช้ลิ้นจับปลวกกิน เป็นอาหาร
ข้อมูลอ้างอิง
http://equilibrant.blogspot.com/2010/03/one-of-rarest-frogs-in-world.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Purple_frog 
 
 

กบอ้วกเครื่องในออกมาทำความสะอาด


เนื่องด้วยพฤติกรรมในการกินของพวกมัน ที่จะจับกินทุกสิ่งอย่างที่มีขนาดเล็กกว่าพวกมัน ที่เคลื่อนไหวได้  กบมีฟันเฉพาะกรามบน ฟันนี้มีหน้าบดอาหาร ฟันไม่แข็ง หรือแหลมคมพอที่จะใช้ในการล่าเหยื่อ หรือกัดให้เกิดบาดแผลรุนแรง จนเหยื่อเสียชีวิต   เนื่องจากนิสัยที่กินไม่เลือก ทำให้บางครั้งมันกินสิ่งที่ไม่สามารถย่อย กินสิ่งที่มีพิษ กินสิ่งที่ทำให้ก่อเกิดความระคายเคื่องในกระเพาะเข้าไป

สำหรับมนุษย์เรานั้นก็มีวิธีแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าวโดยการอาเจียนอาหารเหล่านั้นออกมา แต่กบมีวิธีอ๊วกที่เราคาดไม่ถึง  เพราะนอกจากกบจะอ๊วกเอาอาหารออกมาแล้วยังอ้วกเครื่องใน ของมันออกมาด้วย

เมื่ออ๊วกพลิกกระเพาะออกมากองอยู่นอกร่างกาย พวกมันยังใช้ขาหน้าทำความสะอาดกระเพาะเป็นการล้างท้องไปในตัวอีกต่างหาก   หลังจากล้างกระเพาะจนสะอาด พวกมันก็จะกลืนกระเพาะกับเข้าไปทางปากเหมือนปกติโดยไม่บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตแต่อย่างไร
Cr.http://yangparathai.blogspot.com/2010/12/blog-post_6223.html / เขียนโดย weerapon 


กบเต่าที่รูปร่างเหมือนก้อนเนื้อ (turtle frog )


กบเต่า(Turtle frog ) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Myobatrachus gouldii  เป็นกบเพียงสายพันธุ์เดียวใน ในสกุล(genus) Myobatrachus
กบเต่า เป็นกบที่มีรูปร่างแปลกไม่เหมือนกบทั่วไป คือ เป็นกบที่มีหัวเล็กสั้น ขาสั้น มีร่างกายกลม มีความยาวประมาณ 4.5 เซ็นติเมตร  มีถิ่นที่อยู่อาศัย ระหว่าง Geraldton กับ แม่น้ำFitzgerald ใน เมืองเพิร์ธ(Perth) ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งในบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่กึ่งแห้งแล้ง

กบเต่าได้ปรับตัวเขากับถิ่นที่อยู่อาศัย คือพัฒนากล้ามเนื้อขาให้ใหญ่แต่สั้นป้อม เพื่อใช้ในการขุดดิน ขุดทราย แต่ การขุดของ กบเต่านั้นไม่เหมือนกบทั่วๆไป ที่จะขุดถอยหลังเพื่อใช้ในการฝังตัวลงในโคลนเพื่อซ่อนตัว  แต่กบเต่าใช้การขุดเดินหน้า เพื่อใช้ขุดทะลวงสู่จอมปลวก เพื่อจับปลวกกินเป็นอาหาร
ข้อมูลอ้างอิง 
http://en.wikipedia.org/wiki/Myobatrachus_gouldii 
Cr.http://yangparathai.blogspot.com/2010/12/blog-post_6223.html

กบบินได้ Wallace's flying frog


Wallace’s Flying Frog วอลเลสกบบินได้ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhacophorus nigropalmatus) หรือเรียกว่า กบต้นไม้ของเฮเลน (Helen's Tree Frog) 
ตั้งชื่อตามนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ Alfred Russel Wallace ซึ่งเป็นคนแรกที่ได้บรรยายถึงสายพันธุ์ของกบชนิดนี้อย่างเป็นทางการในปี คศ.1869

กบสายพันธุ์นี้ อาศัยอยู่ในป่าทางตอนใต้ของเวียดนาม มีลักษณะตัวสีเขียวสด ตาโปน มีเท้าแผ่แบนสำหรับใช้ร่อนไปมาระหว่างต้นไม้ มีขนาดตัวประมาณ 4 นิ้ว ซึ่งถือว่าใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับกบบินได้สายพันธุ์อื่น
          
อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้มีการค้นพบกบบินได้มาหลายสายพันธุ์แล้ว พวกมันล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่ในป่าห่างไกลถิ่นที่อยู่ของผู้คนทั้งนั้น ขณะที่กบต้นไม้ของเฮเลนนี้ มีการนำไปพิสูจน์โครงสร้างทางพันธุกรรมแล้ว และพบว่ามันคือกบสายพันธุ์ใหม่ 
 เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอบคุณภาพประกอบจาก novataxa.blogspot.com
Cr.https://www.facebook.com/samrujlok/posts/10157151629032226/

กบหน้าหงุดหงิด


Black Rain Frog มีชื่อไทยว่า กบฝนดำแห่งแอฟริกา อยู่ในวงศ์ Brevicipitidae family ไม่พบในประเทศไทย เป็นกบที่พบเฉพาะในแอฟริกาใต้เท่านั้น และพื้นที่ป่าในเขตร้อน มันมีกลิ่นตัวที่ค่อนข้างเหม็น เจ้ากบชนิดนี้มักจะขุดหลุมเพื่ออยู่อาศัย ลึกประมาณ 15 ซม. เพื่ออยู่อาศัย
 
บนหลังของกบชนิดนี้ (เฉพาะตัวเมียเท่านั้น) จะมีสารที่มีความเหนียวหนึบออกมาจากหลังของมัน เพื่อทำให้ตัวผู้ไม่ลื่นไถลลงมาในขณะที่พวกมันกำลังผสมพันธ์กัน เพราะตัวของพวกมันลื่นมากๆ
 
เมื่อไหร่ที่พวกมันรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม พวกมันจะพองตัวเพื่อทำให้พวกมันดูตัวใหญ่น่าเกรงขาม และบางครั้งพวกมันจะทำแบบนี้ตอนอยู่ในหลุม ทำให้สัตว์ที่จะมาจับมัน ไม่สามารถดึงมันออกมาจากหลุมได้
มันเป็นสัตว์รักเดียวใจเดียว ตัวผู้ชอบเอาใจใส่ตัวเมียด้วยการออกไปหาอาหารและปกป้องครอบครัวของพวกมันเวลามีภัย แต่น่าเสียดาย เพราะกบชนิดนี้ใกล้สูญพันธุ์เต็มที จากปัญหาการบุกรุกป่าของมนุษย์และสภาวะอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
Cr. https://www.flagfrog.com/black-rain-frog/ โดย ManoshFiz 
 

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่