สวัสดีครับ ผมจะมาบอกเล่าชีวิตที่พลิกกระทันหันของผมครับ
ผมเรียนจบครุศาสตร์-วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านฝั่งธน หลังจากนั้นก็ได้งานทำในบริษัทมหาชนด้านเทคโนโลยีชื่อดังของไทย
แรกๆก็ดีนะครับ ทำไปได้เกือบปีรู้สึกเบื่อมากเพราะบริษัทตั้งอยู่แถววิภาวดีแต่ผมอยู่หอเดิมตอนเรียน(ฝั่งธน)เพราะมันถูกมาก หอแถวบริษัท 5000+
ผมต้องตื่น 6โมง ออกจากหอก่อน 7โมงมาขึ้นรถ 2แถวกับรถเมล์เพื่อไปให้ทันเข้างาน 9โมง เลิกงาน 6โมงก็ยังกลับไม่ได้เพราะรถติดมากต้องรอ 2-3ทุ่ม
กลับถึงหอ 4-5ทุ่ม อาบน้ำนอนเพราะเพลียเดินทาง วนอย่างนี้ได้เกือบปีจึงตัดสินใจลาออกกลับมาอยู่ต่างจังหวัด
ชีวิตครู วิทยาลัยที่1
ด้วยเรียนจบครูมาก็อยากจะทำสิ่งที่เราได้เรียนมา จึงไปสมัครเป็นครูจ้างสอนวิทยาลัยอาชีวะแห่งหนึ่งในจังหวัด
ที่นี่ดีมากเลยครับถึงเงินเดือนจะลดจากที่เคยทำบริษัทไปมาก แต่อาหารถูก ใช้รถมอเตอร์ไซค์ ค่าใช้จ่ายก็ไม่เยอะ
อยู่ที่นี่ได้เกือบ 3ปี ชีวิตถึงการเปลี่ยนครั้งที่ 1 มีข้าราชการย้ายมาเพิ่มอีก1 (จากเดิม ข้าราชการ1 พนักงานการ3) เป็นข้าราชการ2 พนักงานการ3
แล้วจำนวนครูต่อเด็กนักเรียนไม่สอดคล้องกันผลคือต้องเอาครูจ้างออก ก่อนหน้านี้ไม่นานมีลูกท่านมาเป็นครูจ้างคนที่2
แต่ด้วยวิทยายุทธทำให้ข้ามผมขึ้นไปเป็นพนักงานการคนที่3 ผมเลยกลายเป็นครูจ้างคนเดียวและโดนออก
ณ ตอนนั้นยังศรัทธาในวิชาชีพครูมาก จึงมุ่งหน้าหาสถานศึกษาใหม่สังกัดให้ได้ เก็บอายุงานให้ต่อเนื่องเพื่อสอบบรรจุรอบพิเศษภายใน
ชีวิตครู วิทยาลัยที่2 (วิทยาลัยใหญ่ ชื่อจังหวัด)
เหมือนผลที่ตั้งใจสั่งสอนศิษย์มาตลอด 3ปี ทำให้หาวิทยาลัยแห่งใหม่สังกัดได้พอดีและอายุงานต่อเนื่องสมบูรณ์
ที่แห่งนี้อยู่คนละจังหวัดกับบ้านผม จึงทำให้ต้องไปอยู่หอพักเอกชน(บ้านพักครูเต็ม) เงินเดือนที่นี่ดีกว่าที่เดิม
แต่พอลบค่าหอกับค่าน้ำมันรถที่ต้องขับไปกลับในวันหยุดก็เท่ากับที่เก่า ผมอยู่ที่นี่ได้เกือบ 2ปี รู้สึกอึดอัดมากๆ
ข้าราชการ4คน ครูจ้างสอน6คน ข้าราชการแต่ละคนมีพาวเวอร์ในตัวสูงมาก สั่งทุกอย่าง ครูจ้างมีหน้าที่ทำทุกอย่าง
ข้าราชการบางคนไม่เข้าสอน บางคนเข้าสอนแต่ออกจากห้องเรียนเร็ว บางคนทำแต่ผลงาน ผมได้รับเสียงสะท้อนจากนักเรียนเสมอ
และสิ่งเดิมก็กลับมา ปีการศึกษาหน้า 2563 จำนวนเด็กสมัครใหม่ลดลงมาก ทำให้คาบสอนไม่พอหารให้ครูทั้งหมดเพียงพอ (ถึงมีวิธีทำให้พอ)
ผลคือต้องเอาครูจ้างออก 1คน โดยการไม่ต่อสัญญาจ้าง (ปกติลูกจ้างหน่วยงานราชการจะเป็นการต่อสัญญาทุก 6เดือน)
ซึ่งนั่นก็คือผมที่โดนให้ออก เมื่อผมรู้แล้วจึงไปติดต่อประกันสังคมว่าทำอย่างไรได้บ้าง
คำตอบที่ได้จากประกันสังคมคือ "หน่วยงานราชการจะโดนออกแบบไหนไม่รู้ แต่หมดสัญญาจ้างให้ถือเป็นลาออกเอง"
กลับมาที่วิทยาลัยผมไปขอใบรับรองงานเผื่อใช้ คำตอบที่ได้จากฝ่ายบุคลากรคือ "ไม่เขียนลาออกเองก็ได้นะ แต่โดยมารยาทแล้วควรเขียนเป็นลาออก"
แล้วก็ต้องลาออกมาแบบไม่ได้รับการชดเชยใดๆทั้งสิน
ณ ตอนนี้ผมหมดศรัทธาในสายทางการศึกษาแล้วครับ พอกันทีกับชีวิตความเป็นครูจ้าง 4ปี8เดือน ประสบการณ์มากพอแล้ว
สรุป...
1.ผมโดนบีบให้ออกทางอ้อมโดยการไม่มีคาบสอนให้ และไม่ต่อสัญญาจ้าง
2.ประกันสังคมไม่ยอมจ่ายชดเชยเป็นกรณีถูกเลิกจ้าง แต่ให้เป็นลาออกเอง (ปัจจุบันก็ยังไม่ได้เงิน)
3.โดนออกในช่วงวิกฤตไวรัสโควิด-19 พอดี ทำให้ตอนนี้ผมตกงานอย่างสมบูรณ์
4.ถามว่าทำไมไม่สอบบรรจุ ... สอบมาตลอดครับ ขึ้นบัญชีแทบทุกครั้งที่สอบแต่ก็เรียกไม่เคยถึง
ฝากไว้สำหรับเพื่อนพี่น้องครูจ้างหรือลูกจ้างทุกคนนะครับ ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนถ้าไม่ใช่ข้าราชการ
ช่วงแรกๆผมก็เครียดแต่ตอนนี้สบายดีแล้ว รอไวรัสซาๆลงจะออกไปดิ้นรนชีวิตต่อละครับ สู้ๆ
ชีวิตอันไม่แน่นอนของครูจ้างสอนรัฐบาล
ผมเรียนจบครุศาสตร์-วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านฝั่งธน หลังจากนั้นก็ได้งานทำในบริษัทมหาชนด้านเทคโนโลยีชื่อดังของไทย
แรกๆก็ดีนะครับ ทำไปได้เกือบปีรู้สึกเบื่อมากเพราะบริษัทตั้งอยู่แถววิภาวดีแต่ผมอยู่หอเดิมตอนเรียน(ฝั่งธน)เพราะมันถูกมาก หอแถวบริษัท 5000+
ผมต้องตื่น 6โมง ออกจากหอก่อน 7โมงมาขึ้นรถ 2แถวกับรถเมล์เพื่อไปให้ทันเข้างาน 9โมง เลิกงาน 6โมงก็ยังกลับไม่ได้เพราะรถติดมากต้องรอ 2-3ทุ่ม
กลับถึงหอ 4-5ทุ่ม อาบน้ำนอนเพราะเพลียเดินทาง วนอย่างนี้ได้เกือบปีจึงตัดสินใจลาออกกลับมาอยู่ต่างจังหวัด
ชีวิตครู วิทยาลัยที่1
ด้วยเรียนจบครูมาก็อยากจะทำสิ่งที่เราได้เรียนมา จึงไปสมัครเป็นครูจ้างสอนวิทยาลัยอาชีวะแห่งหนึ่งในจังหวัด
ที่นี่ดีมากเลยครับถึงเงินเดือนจะลดจากที่เคยทำบริษัทไปมาก แต่อาหารถูก ใช้รถมอเตอร์ไซค์ ค่าใช้จ่ายก็ไม่เยอะ
อยู่ที่นี่ได้เกือบ 3ปี ชีวิตถึงการเปลี่ยนครั้งที่ 1 มีข้าราชการย้ายมาเพิ่มอีก1 (จากเดิม ข้าราชการ1 พนักงานการ3) เป็นข้าราชการ2 พนักงานการ3
แล้วจำนวนครูต่อเด็กนักเรียนไม่สอดคล้องกันผลคือต้องเอาครูจ้างออก ก่อนหน้านี้ไม่นานมีลูกท่านมาเป็นครูจ้างคนที่2
แต่ด้วยวิทยายุทธทำให้ข้ามผมขึ้นไปเป็นพนักงานการคนที่3 ผมเลยกลายเป็นครูจ้างคนเดียวและโดนออก
ณ ตอนนั้นยังศรัทธาในวิชาชีพครูมาก จึงมุ่งหน้าหาสถานศึกษาใหม่สังกัดให้ได้ เก็บอายุงานให้ต่อเนื่องเพื่อสอบบรรจุรอบพิเศษภายใน
ชีวิตครู วิทยาลัยที่2 (วิทยาลัยใหญ่ ชื่อจังหวัด)
เหมือนผลที่ตั้งใจสั่งสอนศิษย์มาตลอด 3ปี ทำให้หาวิทยาลัยแห่งใหม่สังกัดได้พอดีและอายุงานต่อเนื่องสมบูรณ์
ที่แห่งนี้อยู่คนละจังหวัดกับบ้านผม จึงทำให้ต้องไปอยู่หอพักเอกชน(บ้านพักครูเต็ม) เงินเดือนที่นี่ดีกว่าที่เดิม
แต่พอลบค่าหอกับค่าน้ำมันรถที่ต้องขับไปกลับในวันหยุดก็เท่ากับที่เก่า ผมอยู่ที่นี่ได้เกือบ 2ปี รู้สึกอึดอัดมากๆ
ข้าราชการ4คน ครูจ้างสอน6คน ข้าราชการแต่ละคนมีพาวเวอร์ในตัวสูงมาก สั่งทุกอย่าง ครูจ้างมีหน้าที่ทำทุกอย่าง
ข้าราชการบางคนไม่เข้าสอน บางคนเข้าสอนแต่ออกจากห้องเรียนเร็ว บางคนทำแต่ผลงาน ผมได้รับเสียงสะท้อนจากนักเรียนเสมอ
และสิ่งเดิมก็กลับมา ปีการศึกษาหน้า 2563 จำนวนเด็กสมัครใหม่ลดลงมาก ทำให้คาบสอนไม่พอหารให้ครูทั้งหมดเพียงพอ (ถึงมีวิธีทำให้พอ)
ผลคือต้องเอาครูจ้างออก 1คน โดยการไม่ต่อสัญญาจ้าง (ปกติลูกจ้างหน่วยงานราชการจะเป็นการต่อสัญญาทุก 6เดือน)
ซึ่งนั่นก็คือผมที่โดนให้ออก เมื่อผมรู้แล้วจึงไปติดต่อประกันสังคมว่าทำอย่างไรได้บ้าง
คำตอบที่ได้จากประกันสังคมคือ "หน่วยงานราชการจะโดนออกแบบไหนไม่รู้ แต่หมดสัญญาจ้างให้ถือเป็นลาออกเอง"
กลับมาที่วิทยาลัยผมไปขอใบรับรองงานเผื่อใช้ คำตอบที่ได้จากฝ่ายบุคลากรคือ "ไม่เขียนลาออกเองก็ได้นะ แต่โดยมารยาทแล้วควรเขียนเป็นลาออก"
แล้วก็ต้องลาออกมาแบบไม่ได้รับการชดเชยใดๆทั้งสิน
ณ ตอนนี้ผมหมดศรัทธาในสายทางการศึกษาแล้วครับ พอกันทีกับชีวิตความเป็นครูจ้าง 4ปี8เดือน ประสบการณ์มากพอแล้ว
สรุป...
1.ผมโดนบีบให้ออกทางอ้อมโดยการไม่มีคาบสอนให้ และไม่ต่อสัญญาจ้าง
2.ประกันสังคมไม่ยอมจ่ายชดเชยเป็นกรณีถูกเลิกจ้าง แต่ให้เป็นลาออกเอง (ปัจจุบันก็ยังไม่ได้เงิน)
3.โดนออกในช่วงวิกฤตไวรัสโควิด-19 พอดี ทำให้ตอนนี้ผมตกงานอย่างสมบูรณ์
4.ถามว่าทำไมไม่สอบบรรจุ ... สอบมาตลอดครับ ขึ้นบัญชีแทบทุกครั้งที่สอบแต่ก็เรียกไม่เคยถึง
ฝากไว้สำหรับเพื่อนพี่น้องครูจ้างหรือลูกจ้างทุกคนนะครับ ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนถ้าไม่ใช่ข้าราชการ
ช่วงแรกๆผมก็เครียดแต่ตอนนี้สบายดีแล้ว รอไวรัสซาๆลงจะออกไปดิ้นรนชีวิตต่อละครับ สู้ๆ