สำหรับผมแล้ว ในหนึ่งปีการได้ใช้เวลาเดินทางไปในที่ไกลๆหลังจากที่ตรากตรำทำงานหนักๆมาทั้งปีนั้นเป็นสิ่งที่ผมรอคอย
และทำให้ชีวิตมีสีสันขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
และมีเพื่อนๆพี่ๆจำนวนไม่มากในชีวิตที่พร้อมจะเรร่อนไปด้วยกันได้ ทุกๆปี
หลังจากที่เลห์เมืองทางตอนเหนือของอินเดียกำลังได้รับความนิยมแบบสุดๆในช่วงปีก่อน
พวกเราตกลงกันในย่านทองหล่อราวๆสี่ทุ่ม ว่าปีนี้เราจะเดินทางไปในประเทศที่น้อยคนนักจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยว มีความลำบาก มีอารมณ์ และมีความเป็นธรรมชาติในแบบพื้นที่นั้นๆ และ”มองโกเลีย”คือสถานที่ที่เราจะใช้เวลาราวๆครึ่งเดือน ไปกับเมืองหลวงที่หนาวเหน็บ ทุ้งหญ้าที่ไพศาล
ทะเลทรายที่งดงาม ฝูงนกเหยี่ยว ซากศพของม้า และตำนานของ”เจงกีสข่าน”
และนี่คือจุดเริ่มต้นบันทึกการเดินทางของ “The Motorcycle Diary 15วัน ในมองโกเลีย”
ตั๋วไปมองโกเลียไปกลับราคาราวๆเกือบสองหมื่นบาท เราใช้เวลาราวๆ3ชม.ก็เดินทางมาถึงฮ่องกง พักรอต่อเครื่องอีกราว3ชั่วโมง
และเดินทางต่อไปยัง”อูลานบาตอร์”เมืองหลวงของมองโกเลียอีก5ชั่วโมงกว่า
สนามบินหลวงของมองโกเลียนั้นเล็กๆพอๆกับสนามบินเชียงใหม่ของบ้านเรา เรามาถึงมองโกเลียราวๆ4ทุ่มของปลายเดือนกันยายน
ด้วยความที่”อูลานบาตอร์”อยู่ค่อนไปทางตอนเหนือของมองโกเลียภูมิประเทศไม่ไกลจากรัสเซียมากนัก
อากาศจึงมีความหนาวเย็นพอสมควรเพราะใกล้เข้าฤดูหนาว
สิ่งที่ควรรู้ใน”อูลานบาตอร์”
-เป็นเมืองหลวงที่หนาวที่สุดในโลก ช่วงปลายฝนในเวลากลางคืนก็ติดลบละ ช่วงหน้าหนาว-30ถึง-40องศา
-ผู้คนที่นี่หน้าตาและอุปนิสัยเหมือนคนจีน ผู้ชายตัวใหญ่เหมือนนักรบยุคเจงกิสข่าน
-วัยรุ่นที่”อูลานบาตอร์”คลั่งเกาหลีมาก เราสามารถหาร้านอาหาร แฟชั่น ผับบาร์ สไตล์เกาหลีได้ทั่วทุกถนน
-เจงกีสข่าน คือพระเจ้าของมองโกเลีย เราจะพบเจงกีสข่านได้ที่ร้านขายของที่ระลึกทุกร้านในมองโกเลีย
เราแวะพักใน”อูลานบาตอร์”1วัน เพื่อเตรียมเสบียง มอเตอร์ไซค์ และอุปกรณ์แคมปิ้ง ก่อนการเดินทางการจิบเบียร์เย็นๆท้องถิ่นท่ามกลางอากาศหนาว
จึงถือเป็นเรื่องราวที่ดีก่อนการเดินทางที่งดงามจะมาเยือนทุกๆคนในทริป
เราเดินทางมาร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์ซึ่งอยู่ชานเมือง “บรีสและป้อย”สองสาวสายลุยได้จองและจ่ายมัดจำรถให้เราตั้งแต่อยู่กรุงเทพ
มอไซค์เช่าที่นี่เป็นรถจากจีน150ซีซี.สนนราคาอยู่ที่ราวๆ250-300 บาทต่อวัน มีอยู่ยี่ห้อเดียวและนิยมใช้กันทั้งประเทศ เราจึงสามารถซ่อมที่ไหนก็ได้ในมองโกเลีย บรรทุกสัมภาระได้ดี ที่สำคัญคือโคตรอึดสุดๆ
พอได้มอเตอร์ไซค์ครบทุกคนแล้ว เราจึงออกเดินทางทันที เพื่อไปให้ถึงจุดที่เราจะพักให้ทันพระอาทิตย์ตก
ในวันแรกสิ่งที่เราเห็นคือโคตรพ่อโคตรแม่ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่แบบสุดๆสีเขียวของทุ่งหญ้าตัดกันได้อย่างเป็นกันเองกับสีครามของท้องฟ้า
เราไม่มีกูเกิ้ลแมพที่ใช้นำทางอะไรทั้งนั้น อิสระสุดๆ เราแทบไม่เจอมนุษย์ในดินแดนนี้เลย
เรากลายเป็นสิ่งแปลกปลอมเมื่อฝูงม้าฝูงอูฐเหลียวมองเราเมื่อเวลาเราขับมอไซค์ผ่านไป โลกไม่ใช่ของมนุษย์อีกต่อไปในมองโกเลีย
มีเพียงชายสูงวัยที่เราจ้างมาขับรถตู้บรรทุกอาหารและสัมภาระเท่านั้นที่รู้ทาง เราทุกคนเรียกลุงคนนั้นว่า”อังเคิล” และพวกเราทุกคนชอบ”อังเคิล”
พายุฝนที่ค่อยเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้อังเคิลรู้ดีว่าเขาต้องหาที่หลบพักให้เราโดยด่วน
ภูมิประเทศที่ไม่มีแม้ต้นไม้สักต้นเป็นกำบังทำให้เราเจอพายุฝนแบบเต็มๆ
เราจึงไปขอกระท่อมเลี้ยงแพะกลางทุ่งในการกางเต้นท์และเราต้องทำให้ไว ไม่งั้นแย่แน่ การนอนบนขี้แพะ อากาศโคตรหนาว กาต้มน้ำสักตัว
เบียร์ขวดโตๆและบทสนทนาในเต้นท์สุดแออัดของพี่”ดิว”จึงกลายเป็นคาเฟ่เล็กๆในคืนที่หนาวเหน็บ
และนี่คือสิ่งที่มองโกเลียอยากจะบอกเราว่า”ยินดีต้อนรับ”
สิ่งที่ควรรู้ใน”มองโกเลีย”
-ใหญ่กว่าประเทศไทย 3 เท่า
-พื้นที่ส่วนใหญ่99%เป็นทุ่งหญ้าและทะเลทราย และเป็นพื้นที่เลี้ยงสัตว์เพียง1%เท่านั้น
-มีประชาการเพียง 3 ล้านคน มองโกเลียจึงหนึ่งในพื้นที่บนโลกใบนี้ที่เวิ้งว้างจากมนุษย์แบบสุดๆ
-ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีทะเล ที่นี่จึงอาศัยน้ำที่ละลายไหลลงมาจากหิมะบนภูเขาเท่านั้น
-นิยมกินแพะเป็นอาหารหลัก ทั้งเนื้อ หนัง นม จึงถูกมาใช้ประโยชน์ทั้งหมด
-เบียร์ดีและถูกยังกะน้ำเปล่า กินกันทีขวดเบ่อเร่อ 4-5ลิตร
เราเดินทางเรร่อนตามที่”อังเคิล”นำทางมาเรื่อยๆ จากทางเหนือค่อยๆลงมาทางใต้ของมองโกเลีย
ไม่มีถนนลาดยาง เราขับรถตามรอยล้อรถไปเรื่อยๆ จากเมืองนึงไปสู่อีกเมืองนึง
ในเมืองก็เวิ้งว้างคล้ายๆเมืองซอมบี้ ร้านรวงถูกเปิดแบบเงียบๆเท่านั้น อาหารก็ไม่ได้มีให้เราเลือกกินมาก แพะและไก่จึงเป็นอาหารหลักๆพอๆกับมาม่า
นอกจากเต้นท์ที่เตรียมมาแล้ว พวกเราก็นอนกระโจมมองโกลสีขาวๆที่เรียกว่า”GER”หรือเก้อนั่นเอง
สนนราคาแค่หัวละ150-300บาทต่อหัว อยู่ที่สถานที่ๆและความเก่าใหม่ของเก้อ
ในเก้อวงกลมจะประกอบไปด้วยเตียงเล็กๆล้อมเป็นวงกลม ตรงกลางจะเป็นเตาโลหะสำหรับใส่ฝืน และระบายควันผ่านปล่องไปด้านนอก ก็ให้ความอบอุ่นได้ดีเลย หลังคาตรงกลางจะเปิดรับแสงแดดได้แต้ถ้าฝนตกต้องดึงเชือกปิดเอาเองจากภายนอก
เก้อบางพื้นที่จะอุดมไปด้วย”หนู”ตัวเล็กๆ ซึ่งหนูพวกนี้จะอยู่ทั่วทุกหนแห่งในมองโกเลีย บางทีมันก็น่ารัก บางทีมันก็กวนตีน
เวลาขับมอไซค์ตามถนนมันจะคอยวิ่งตัดหน้าเรา เราจึงต้องจำเป็นต้องเหยียบมันบ้าง ถือว่า”ซวย”ไป
หนูที่นี่เป็นอาหารสดอันโอชะของนกเหยี่ยว เวลาเรามองบนฟ้าถ้าเป็นนกเหยี่ยวบินแสดงว่าแถวนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยหนูใต้พื้นดิน
เราเริ่มเฉยชากับหนูน้อย
ที่คอยกวนการนอนและขับขี่ของเรา หลายวันผ่านไปเราเริ่มชินกับความไม่มีอะไรของมองโกเลีย
ต้องมีอะไรวะ ก็มันไม่มีอะไร กินกับดิน นอนกับทราย เยี่ยวบนโขดหิน ขี้ในทุ่งหญ้า ผ่านไปวันๆ
แต่สิ่งที่เรากลับเรียนรู้ได้คือ”อะไรก็ได้” อย่าไปคาดหวังกับมันเยอะ อยู่กับความเป็นจริง อดทน มีสมาธิ และมีความสุขกับสิ่งเล็กๆรอบตัว
เส้นขอบฟ้าที่เวิ้งว้าง ไม่เคยโกหกว่าข้างหน้านั้นมีอะไร มันไม่มีอะไรไง
บางวันพวกเราขับรถตากแดดจนบางครั้งเห็นภาพหลอนเหมือนกันว่า”มีน้ำ” ใช่เราเห็นแหล่งน้ำ แต่มันไม่มี มันคือแดดที่กระทบทรายเท่านั้น
บางครั้งเราเห็นว่าข้างหน้ามี”เมือง”แต่มันไม่มีอะไร มันแค่กระท่อมร้างเท่านั้น สิ่งเหล่านี้สอนเราให้อยู่กับปัจจุบันอยู่กับความเป็นจริง
เราคิดถึงอดีตได้เสมอเวลาขี่มอไซค์ เราคิดถึงอนาคตได้เวลาเราพักกินน้ำ แต่ปัจจุบันเราแค่”หายใจ”ได้ เราก็มีความ”สุข”ในชีวิตปัจจุบันได้
ขี่มอไซค์15วันในมองโกเลีย : Journey without Maps
และทำให้ชีวิตมีสีสันขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
และมีเพื่อนๆพี่ๆจำนวนไม่มากในชีวิตที่พร้อมจะเรร่อนไปด้วยกันได้ ทุกๆปี
หลังจากที่เลห์เมืองทางตอนเหนือของอินเดียกำลังได้รับความนิยมแบบสุดๆในช่วงปีก่อน
พวกเราตกลงกันในย่านทองหล่อราวๆสี่ทุ่ม ว่าปีนี้เราจะเดินทางไปในประเทศที่น้อยคนนักจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยว มีความลำบาก มีอารมณ์ และมีความเป็นธรรมชาติในแบบพื้นที่นั้นๆ และ”มองโกเลีย”คือสถานที่ที่เราจะใช้เวลาราวๆครึ่งเดือน ไปกับเมืองหลวงที่หนาวเหน็บ ทุ้งหญ้าที่ไพศาล
ทะเลทรายที่งดงาม ฝูงนกเหยี่ยว ซากศพของม้า และตำนานของ”เจงกีสข่าน”
และนี่คือจุดเริ่มต้นบันทึกการเดินทางของ “The Motorcycle Diary 15วัน ในมองโกเลีย”
ตั๋วไปมองโกเลียไปกลับราคาราวๆเกือบสองหมื่นบาท เราใช้เวลาราวๆ3ชม.ก็เดินทางมาถึงฮ่องกง พักรอต่อเครื่องอีกราว3ชั่วโมง
และเดินทางต่อไปยัง”อูลานบาตอร์”เมืองหลวงของมองโกเลียอีก5ชั่วโมงกว่า
สนามบินหลวงของมองโกเลียนั้นเล็กๆพอๆกับสนามบินเชียงใหม่ของบ้านเรา เรามาถึงมองโกเลียราวๆ4ทุ่มของปลายเดือนกันยายน
ด้วยความที่”อูลานบาตอร์”อยู่ค่อนไปทางตอนเหนือของมองโกเลียภูมิประเทศไม่ไกลจากรัสเซียมากนัก
อากาศจึงมีความหนาวเย็นพอสมควรเพราะใกล้เข้าฤดูหนาว
สิ่งที่ควรรู้ใน”อูลานบาตอร์”
-เป็นเมืองหลวงที่หนาวที่สุดในโลก ช่วงปลายฝนในเวลากลางคืนก็ติดลบละ ช่วงหน้าหนาว-30ถึง-40องศา
-ผู้คนที่นี่หน้าตาและอุปนิสัยเหมือนคนจีน ผู้ชายตัวใหญ่เหมือนนักรบยุคเจงกิสข่าน
-วัยรุ่นที่”อูลานบาตอร์”คลั่งเกาหลีมาก เราสามารถหาร้านอาหาร แฟชั่น ผับบาร์ สไตล์เกาหลีได้ทั่วทุกถนน
-เจงกีสข่าน คือพระเจ้าของมองโกเลีย เราจะพบเจงกีสข่านได้ที่ร้านขายของที่ระลึกทุกร้านในมองโกเลีย
เราแวะพักใน”อูลานบาตอร์”1วัน เพื่อเตรียมเสบียง มอเตอร์ไซค์ และอุปกรณ์แคมปิ้ง ก่อนการเดินทางการจิบเบียร์เย็นๆท้องถิ่นท่ามกลางอากาศหนาว
จึงถือเป็นเรื่องราวที่ดีก่อนการเดินทางที่งดงามจะมาเยือนทุกๆคนในทริป
เราเดินทางมาร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์ซึ่งอยู่ชานเมือง “บรีสและป้อย”สองสาวสายลุยได้จองและจ่ายมัดจำรถให้เราตั้งแต่อยู่กรุงเทพ
มอไซค์เช่าที่นี่เป็นรถจากจีน150ซีซี.สนนราคาอยู่ที่ราวๆ250-300 บาทต่อวัน มีอยู่ยี่ห้อเดียวและนิยมใช้กันทั้งประเทศ เราจึงสามารถซ่อมที่ไหนก็ได้ในมองโกเลีย บรรทุกสัมภาระได้ดี ที่สำคัญคือโคตรอึดสุดๆ
พอได้มอเตอร์ไซค์ครบทุกคนแล้ว เราจึงออกเดินทางทันที เพื่อไปให้ถึงจุดที่เราจะพักให้ทันพระอาทิตย์ตก
ในวันแรกสิ่งที่เราเห็นคือโคตรพ่อโคตรแม่ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่แบบสุดๆสีเขียวของทุ่งหญ้าตัดกันได้อย่างเป็นกันเองกับสีครามของท้องฟ้า
เราไม่มีกูเกิ้ลแมพที่ใช้นำทางอะไรทั้งนั้น อิสระสุดๆ เราแทบไม่เจอมนุษย์ในดินแดนนี้เลย
เรากลายเป็นสิ่งแปลกปลอมเมื่อฝูงม้าฝูงอูฐเหลียวมองเราเมื่อเวลาเราขับมอไซค์ผ่านไป โลกไม่ใช่ของมนุษย์อีกต่อไปในมองโกเลีย
มีเพียงชายสูงวัยที่เราจ้างมาขับรถตู้บรรทุกอาหารและสัมภาระเท่านั้นที่รู้ทาง เราทุกคนเรียกลุงคนนั้นว่า”อังเคิล” และพวกเราทุกคนชอบ”อังเคิล”
พายุฝนที่ค่อยเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้อังเคิลรู้ดีว่าเขาต้องหาที่หลบพักให้เราโดยด่วน
ภูมิประเทศที่ไม่มีแม้ต้นไม้สักต้นเป็นกำบังทำให้เราเจอพายุฝนแบบเต็มๆ
เราจึงไปขอกระท่อมเลี้ยงแพะกลางทุ่งในการกางเต้นท์และเราต้องทำให้ไว ไม่งั้นแย่แน่ การนอนบนขี้แพะ อากาศโคตรหนาว กาต้มน้ำสักตัว
เบียร์ขวดโตๆและบทสนทนาในเต้นท์สุดแออัดของพี่”ดิว”จึงกลายเป็นคาเฟ่เล็กๆในคืนที่หนาวเหน็บ
และนี่คือสิ่งที่มองโกเลียอยากจะบอกเราว่า”ยินดีต้อนรับ”
สิ่งที่ควรรู้ใน”มองโกเลีย”
-ใหญ่กว่าประเทศไทย 3 เท่า
-พื้นที่ส่วนใหญ่99%เป็นทุ่งหญ้าและทะเลทราย และเป็นพื้นที่เลี้ยงสัตว์เพียง1%เท่านั้น
-มีประชาการเพียง 3 ล้านคน มองโกเลียจึงหนึ่งในพื้นที่บนโลกใบนี้ที่เวิ้งว้างจากมนุษย์แบบสุดๆ
-ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีทะเล ที่นี่จึงอาศัยน้ำที่ละลายไหลลงมาจากหิมะบนภูเขาเท่านั้น
-นิยมกินแพะเป็นอาหารหลัก ทั้งเนื้อ หนัง นม จึงถูกมาใช้ประโยชน์ทั้งหมด
-เบียร์ดีและถูกยังกะน้ำเปล่า กินกันทีขวดเบ่อเร่อ 4-5ลิตร
เราเดินทางเรร่อนตามที่”อังเคิล”นำทางมาเรื่อยๆ จากทางเหนือค่อยๆลงมาทางใต้ของมองโกเลีย
ไม่มีถนนลาดยาง เราขับรถตามรอยล้อรถไปเรื่อยๆ จากเมืองนึงไปสู่อีกเมืองนึง
ในเมืองก็เวิ้งว้างคล้ายๆเมืองซอมบี้ ร้านรวงถูกเปิดแบบเงียบๆเท่านั้น อาหารก็ไม่ได้มีให้เราเลือกกินมาก แพะและไก่จึงเป็นอาหารหลักๆพอๆกับมาม่า
นอกจากเต้นท์ที่เตรียมมาแล้ว พวกเราก็นอนกระโจมมองโกลสีขาวๆที่เรียกว่า”GER”หรือเก้อนั่นเอง
สนนราคาแค่หัวละ150-300บาทต่อหัว อยู่ที่สถานที่ๆและความเก่าใหม่ของเก้อ
ในเก้อวงกลมจะประกอบไปด้วยเตียงเล็กๆล้อมเป็นวงกลม ตรงกลางจะเป็นเตาโลหะสำหรับใส่ฝืน และระบายควันผ่านปล่องไปด้านนอก ก็ให้ความอบอุ่นได้ดีเลย หลังคาตรงกลางจะเปิดรับแสงแดดได้แต้ถ้าฝนตกต้องดึงเชือกปิดเอาเองจากภายนอก
เก้อบางพื้นที่จะอุดมไปด้วย”หนู”ตัวเล็กๆ ซึ่งหนูพวกนี้จะอยู่ทั่วทุกหนแห่งในมองโกเลีย บางทีมันก็น่ารัก บางทีมันก็กวนตีน
เวลาขับมอไซค์ตามถนนมันจะคอยวิ่งตัดหน้าเรา เราจึงต้องจำเป็นต้องเหยียบมันบ้าง ถือว่า”ซวย”ไป
หนูที่นี่เป็นอาหารสดอันโอชะของนกเหยี่ยว เวลาเรามองบนฟ้าถ้าเป็นนกเหยี่ยวบินแสดงว่าแถวนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยหนูใต้พื้นดิน
เราเริ่มเฉยชากับหนูน้อยที่คอยกวนการนอนและขับขี่ของเรา หลายวันผ่านไปเราเริ่มชินกับความไม่มีอะไรของมองโกเลีย ต้องมีอะไรวะ ก็มันไม่มีอะไร กินกับดิน นอนกับทราย เยี่ยวบนโขดหิน ขี้ในทุ่งหญ้า ผ่านไปวันๆ
แต่สิ่งที่เรากลับเรียนรู้ได้คือ”อะไรก็ได้” อย่าไปคาดหวังกับมันเยอะ อยู่กับความเป็นจริง อดทน มีสมาธิ และมีความสุขกับสิ่งเล็กๆรอบตัว
เส้นขอบฟ้าที่เวิ้งว้าง ไม่เคยโกหกว่าข้างหน้านั้นมีอะไร มันไม่มีอะไรไง
บางวันพวกเราขับรถตากแดดจนบางครั้งเห็นภาพหลอนเหมือนกันว่า”มีน้ำ” ใช่เราเห็นแหล่งน้ำ แต่มันไม่มี มันคือแดดที่กระทบทรายเท่านั้น
บางครั้งเราเห็นว่าข้างหน้ามี”เมือง”แต่มันไม่มีอะไร มันแค่กระท่อมร้างเท่านั้น สิ่งเหล่านี้สอนเราให้อยู่กับปัจจุบันอยู่กับความเป็นจริง
เราคิดถึงอดีตได้เสมอเวลาขี่มอไซค์ เราคิดถึงอนาคตได้เวลาเราพักกินน้ำ แต่ปัจจุบันเราแค่”หายใจ”ได้ เราก็มีความ”สุข”ในชีวิตปัจจุบันได้