●● ทำอย่างไรให้แรงงานต่างด้าวกว่า 2 ล้านคนในไทยปลอดภัยจากโควิด-19 ●●
( โดย รศ.ดร. ยงยุทธ แฉล้มวงษ์... ทีดีอาร์ไอ )
ในภาวะที่โรคระบาดโควิด-19 กระจายไปทั่วโลก คนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศถึง 119 ประเทศต้องเผชิญกับ
ปัญหาอันเนื่องมาจากเกือบทุกประเทศมีมาตรการปิดประเทศ ปิดชายแดน ปิดการบินระหว่างประเทศ งดกิจกรรม
ที่มีคนจำนวนมาก ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างกับคนอื่นและ/หรือสมาชิกในครอบครัว
ซึ่งรู้กันในเทอม Social distancing
สำหรับแรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศมากกว่า 142,000 คน
ซึ่งในเอเชีย มีจำนวนคนไทยเดินทางไปทำงานในกลุ่มประเทศเอเชียใต้มากที่สุดมากกว่า 1 แสนคน
กลุ่มประเทศรองลงมาคือในทวีปยุโรป อเมริกา มากกว่า6,000 คน
ตามด้วยกลุ่มประเทศตะวันออกกลางมากกว่า 27,000 คน
และสุดท้ายคือกลุ่มประเทศแอฟริกามีมากกว่า 700 คน
คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาต้องกักตัวเองมานานนับเดือนและกำลังเผชิญกับปัญหาขาดรายได้และเงินสะสม
เริ่มร่อยหรอ บางคนโชคดีถ้านายจ้างมีความรับผิดชอบสูงจะจัดอาหาร เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง ให้ประทังชีวิต
แต่ถ้าไม่มีความรับผิดชอบจากนายจ้างและไม่สามารถกลับประเทศได้ เช่น ประเทศที่แรงงานคนไทยไปอยู่มาก
อาทิ ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และอิสราเอล เป็นต้น คงต้องพึ่งเจ้าหน้าที่แรงงานของกรมการจัดหางานและ
เจ้าหน้าที่สถานทูตที่จะต้องคอยสอดส่องดูแลให้พวกเขาอยู่ได้โดยไม่อดอยาก
เจ้าหน้าที่ไทยควรจะมองหาช่องทางเจรจากับเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้นๆ ให้แรงงานที่เดือดร้อนได้รับการช่วยเหลือ
ซึ่งประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจดีคงพอช่วยเหลือได้
แต่ที่สำคัญคือ ผลจากโควิด-19 ในประเทศนั้นจะยืดเยื้อไปนานแค่ไหน
ถ้านานเกินไปบางกลุ่มของอุตสาหกรรมต้องปิดตัวลงไปทั้งๆ ที่สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่ยุติ
ถ้าเป็นเช่นนั้นแรงงานไทยอาจจะถูกกระทบโดยตรงและต้องออกจากงาน ในที่สุดก็ต้อง “ร้องขอกลับประเทศ”
ถ้าเป็นหลายพันคนขอกลับประเทศ เมื่อนั้นจะเป็นภาระหนักสำหรับประเทศไทยอีกระลอกหนึ่ง
ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย กำลังอยู่ในระยะที่จำนวนผู้ป่วยจากโควิด-19
มีจำนวนเพิ่มขึ้นทวีคูณ แน่นอนว่า 2 ประเทศนี้จะยิ่งต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดทุกรูปแบบที่จะหยุดยั้งให้การแพร่
กระจายของโรคอยู่ในวงจำกัด นั่นหมายความว่า จะมีคนไทยที่ทำงานอยู่ในสิงคโปร์และ/หรือมาเลเซียที่กิจการ
ปิดตัวลงชั่วคราว ในที่สุดต้องเดินทางกลับประเทศไทยเหมือนเช่นที่กำลังเป็นอยู่ ในขณะนี้
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือคนไทยที่ไปทำงานที่สิงคโปร์และมาเลเซียที่ถูกกฎหมายมีเพียง 2 พันคน และ 3 พันคนเศษ
ตามลำดับ
โดยเฉพาะมาเลเซียเชื่อว่ามีแรงงานไทยเข้าไปทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตมากกว่า 2 หมื่นคน
ถ้าธุรกิจที่คนไทยเหล่านี้ไปทำงานเป็นลูกจ้างรายวัน เช่น งานการเกษตรและงานตามร้านอาหารปิดตัวลงเป็นเวลา
นาน พวกเขาจะขอเดินทางกลับเข้าประเทศไทยโดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ถ้าต้องกลับเข้ามาเป็นจำนวนหลายพันคนภาระของรัฐบาลในการวินิจฉัยโรค เฝ้าระวังโรค รวมทั้งการกักกันตัว
จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเทียบกับกำลังของสถานพยาบาลที่มีจำนวนไม่มากเหมือนจังหวัดอื่น
เป็นเรื่องที่กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รวมทั้ง
ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ต้องเตรียมรับมือเอาไว้ล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม ยังมีความน่ากังวลมากกว่าเรื่องคนไทยกลับจากต่างประเทศ คือ เรื่องการดูแลกิจการที่อาจจะ
กระทบแรงงานต่างด้าวมากกว่า 2.7 ล้านคน จากประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังอยู่ในประเทศไทย
โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่มาจาก 3 ประเทศรอบบ้านเราคือ
เมียนมาที่มีมากกว่า 1.8 ล้านคน
กัมพูชามากกว่า 6.5 แสนคน
และ สสป.ลาวมากกว่า 2.8 แสนคน
กระจายอยู่แทบทุกจังหวัดของประเทศไทย มีทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ที่ทำกิจการส่งออกตามจังหวัดชายทะเล
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกระจุกตัวในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและหัวเมืองจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ
ปัญหาที่อาจจะมีคือ แรงงานส่วนใหญ่มาทำงานเพื่อเก็บเงินและส่งเงินกลับประเทศ การอยู่อาศัยและการกินอยู่
มีลักษณะที่ประหยัด
ชุมชนแรงงานต่างด้าว ตัวอย่างเช่น หมู่บ้านการเคหะฯ แฟลตล้งกุ้ง แถว สมุทรสาครอยู่อย่างแออัด ห้องหนึ่งนอน
3-5 คน นอนตามช่องทางเดินอาคาร เป็นต้น
ถ้าบังเอิญเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ขึ้นมาในชุมชนเหล่านี้ บางแห่งมีคนงานต่างด้าวอยู่เป็นหมื่นคน
จะให้กักตัวอยู่แต่ในอพาร์ทเม้นท์เพื่อสังเกตอาการ 14 วัน เขาคงปฏิบัติตาม Social distancing ลำบาก
เพราะว่าไม่มีที่ให้เขาทำเช่นนั้นได้
ที่พูดถึงเรื่องนี้ไม่ต้องการให้เกิดอาการหวาดกลัว (Panic) ขึ้นมากับครอบครัวชาวต่างด้าวและ/หรือชุมชนคนไทย
โดยรอบ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทางกระทรวงแรงงานร่วมกับทางสภากาชาดไทยและหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ปูพรมด้วยหลายภาษา “ถิ่น” ของแรงงานต่างด้าวในหลายๆ ช่องทาง เพื่อให้
ชาวต่างด้าวได้เข้าใจพิษภัยของโรคโควิด-19 การป้องกันตัวเองและครอบครัวให้อยู่รอดปลอดภัยจากโควิด-19
เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ต้องทำให้เข้าถึงทุกชาติพันธุ์ที่เข้ามาทำงานในไทย ซึ่งมีทั้งชาวมอญ กะเหรี่ยงพุทธ
กะเหรี่ยงคริสต์ พม่า ม้ง ลาหู่ ที่หลักๆ ยังมีภาษากัมพูชา ภาษาลาว เป็นต้น พวกเขาอยู่กระจายโดยทั่วไป
ดังนั้น ควรคำนึงถึงแหล่งจ้างงานของพวกเขา ที่สำคัญนายจ้างคือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับแรงงานต่างด้าวมากที่สุด
ควรจะเป็นคนที่ “รับผิดชอบ” ชีวิตแรงงานต่างด้าวมากที่สุด
และถ้าเกิดโรคระบาดในกลุ่มต่างด้าวจะกระทบชุมชนคนไทยและงานสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
สมมติมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในหมู่แรงงานต่างด้าว 20,000 คน และมีคนที่อยู่แวดล้อมนับร้อยๆ จะเอาสถานที่ไหน
ไปกักตัวพวกเขาได้
จึงขอให้กระทรวงแรงงานอย่าผ่อนความเข้มงวดในการตรวจติดตามการระบาดของโควิด-19 จากแรงงานต่างด้าว
จำนวนมหาศาลในประเทศไทย
อย่าลืมว่ายังมีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายปะปนอยู่บ้าง ซึ่งไม่ทราบจำนวนเท่าไร จำนวนพันหรือจำนวนหมื่น
แรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้มักเป็นลูกจ้างชั่วคราว รายวัน เคลื่อนย้ายตัวเองเป็นระยะ กระจายอยู่ตามสวน ไร่นา
ที่ห่างไกลจากสายตาเจ้าหน้าที่ ยากที่จะตรวจจับซึ่งเป็นอีกกลุ่มเสี่ยงที่ต้องให้ความระมัดระวังและเข้มงวด
ทางกฎหมาย
ท้ายที่สุด ผู้เขียนขอสนับสนุนกระทรวงแรงงานใช้มาตรการเชิงรุกในการดูแลแรงงานต่างด้าว แต่ต้องทำความเข้าใจ
กับการระบาดของโควิด-19 ด้วยว่า นิเวศของการอยู่อาศัยของแรงงานต่างด้าวจำนวนมากนี้มีความสุ่มเสี่ยงที่
จะเกิดการระบาดได้เช่นกัน “กันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วแก้ไม่ทัน” .
Cr. :
https://www.isranews.org/article/isranews/87923-news-15.html
●● ทำอย่างไรให้แรงงานต่างด้าวกว่า 2 ล้านคนในไทยปลอดภัยจากโควิด-19 ●●
( โดย รศ.ดร. ยงยุทธ แฉล้มวงษ์... ทีดีอาร์ไอ )
ในภาวะที่โรคระบาดโควิด-19 กระจายไปทั่วโลก คนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศถึง 119 ประเทศต้องเผชิญกับ
ปัญหาอันเนื่องมาจากเกือบทุกประเทศมีมาตรการปิดประเทศ ปิดชายแดน ปิดการบินระหว่างประเทศ งดกิจกรรม
ที่มีคนจำนวนมาก ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างกับคนอื่นและ/หรือสมาชิกในครอบครัว
ซึ่งรู้กันในเทอม Social distancing
สำหรับแรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศมากกว่า 142,000 คน
ซึ่งในเอเชีย มีจำนวนคนไทยเดินทางไปทำงานในกลุ่มประเทศเอเชียใต้มากที่สุดมากกว่า 1 แสนคน
กลุ่มประเทศรองลงมาคือในทวีปยุโรป อเมริกา มากกว่า6,000 คน
ตามด้วยกลุ่มประเทศตะวันออกกลางมากกว่า 27,000 คน
และสุดท้ายคือกลุ่มประเทศแอฟริกามีมากกว่า 700 คน
คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาต้องกักตัวเองมานานนับเดือนและกำลังเผชิญกับปัญหาขาดรายได้และเงินสะสม
เริ่มร่อยหรอ บางคนโชคดีถ้านายจ้างมีความรับผิดชอบสูงจะจัดอาหาร เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง ให้ประทังชีวิต
แต่ถ้าไม่มีความรับผิดชอบจากนายจ้างและไม่สามารถกลับประเทศได้ เช่น ประเทศที่แรงงานคนไทยไปอยู่มาก
อาทิ ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และอิสราเอล เป็นต้น คงต้องพึ่งเจ้าหน้าที่แรงงานของกรมการจัดหางานและ
เจ้าหน้าที่สถานทูตที่จะต้องคอยสอดส่องดูแลให้พวกเขาอยู่ได้โดยไม่อดอยาก
เจ้าหน้าที่ไทยควรจะมองหาช่องทางเจรจากับเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้นๆ ให้แรงงานที่เดือดร้อนได้รับการช่วยเหลือ
ซึ่งประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจดีคงพอช่วยเหลือได้
แต่ที่สำคัญคือ ผลจากโควิด-19 ในประเทศนั้นจะยืดเยื้อไปนานแค่ไหน
ถ้านานเกินไปบางกลุ่มของอุตสาหกรรมต้องปิดตัวลงไปทั้งๆ ที่สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่ยุติ
ถ้าเป็นเช่นนั้นแรงงานไทยอาจจะถูกกระทบโดยตรงและต้องออกจากงาน ในที่สุดก็ต้อง “ร้องขอกลับประเทศ”
ถ้าเป็นหลายพันคนขอกลับประเทศ เมื่อนั้นจะเป็นภาระหนักสำหรับประเทศไทยอีกระลอกหนึ่ง
ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย กำลังอยู่ในระยะที่จำนวนผู้ป่วยจากโควิด-19
มีจำนวนเพิ่มขึ้นทวีคูณ แน่นอนว่า 2 ประเทศนี้จะยิ่งต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดทุกรูปแบบที่จะหยุดยั้งให้การแพร่
กระจายของโรคอยู่ในวงจำกัด นั่นหมายความว่า จะมีคนไทยที่ทำงานอยู่ในสิงคโปร์และ/หรือมาเลเซียที่กิจการ
ปิดตัวลงชั่วคราว ในที่สุดต้องเดินทางกลับประเทศไทยเหมือนเช่นที่กำลังเป็นอยู่ ในขณะนี้
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือคนไทยที่ไปทำงานที่สิงคโปร์และมาเลเซียที่ถูกกฎหมายมีเพียง 2 พันคน และ 3 พันคนเศษ
ตามลำดับ
โดยเฉพาะมาเลเซียเชื่อว่ามีแรงงานไทยเข้าไปทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตมากกว่า 2 หมื่นคน
ถ้าธุรกิจที่คนไทยเหล่านี้ไปทำงานเป็นลูกจ้างรายวัน เช่น งานการเกษตรและงานตามร้านอาหารปิดตัวลงเป็นเวลา
นาน พวกเขาจะขอเดินทางกลับเข้าประเทศไทยโดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ถ้าต้องกลับเข้ามาเป็นจำนวนหลายพันคนภาระของรัฐบาลในการวินิจฉัยโรค เฝ้าระวังโรค รวมทั้งการกักกันตัว
จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเทียบกับกำลังของสถานพยาบาลที่มีจำนวนไม่มากเหมือนจังหวัดอื่น
เป็นเรื่องที่กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รวมทั้ง
ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ต้องเตรียมรับมือเอาไว้ล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม ยังมีความน่ากังวลมากกว่าเรื่องคนไทยกลับจากต่างประเทศ คือ เรื่องการดูแลกิจการที่อาจจะ
กระทบแรงงานต่างด้าวมากกว่า 2.7 ล้านคน จากประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังอยู่ในประเทศไทย
โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่มาจาก 3 ประเทศรอบบ้านเราคือ
เมียนมาที่มีมากกว่า 1.8 ล้านคน
กัมพูชามากกว่า 6.5 แสนคน
และ สสป.ลาวมากกว่า 2.8 แสนคน
กระจายอยู่แทบทุกจังหวัดของประเทศไทย มีทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ที่ทำกิจการส่งออกตามจังหวัดชายทะเล
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกระจุกตัวในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและหัวเมืองจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ
ปัญหาที่อาจจะมีคือ แรงงานส่วนใหญ่มาทำงานเพื่อเก็บเงินและส่งเงินกลับประเทศ การอยู่อาศัยและการกินอยู่
มีลักษณะที่ประหยัด
ชุมชนแรงงานต่างด้าว ตัวอย่างเช่น หมู่บ้านการเคหะฯ แฟลตล้งกุ้ง แถว สมุทรสาครอยู่อย่างแออัด ห้องหนึ่งนอน
3-5 คน นอนตามช่องทางเดินอาคาร เป็นต้น
ถ้าบังเอิญเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ขึ้นมาในชุมชนเหล่านี้ บางแห่งมีคนงานต่างด้าวอยู่เป็นหมื่นคน
จะให้กักตัวอยู่แต่ในอพาร์ทเม้นท์เพื่อสังเกตอาการ 14 วัน เขาคงปฏิบัติตาม Social distancing ลำบาก
เพราะว่าไม่มีที่ให้เขาทำเช่นนั้นได้
ที่พูดถึงเรื่องนี้ไม่ต้องการให้เกิดอาการหวาดกลัว (Panic) ขึ้นมากับครอบครัวชาวต่างด้าวและ/หรือชุมชนคนไทย
โดยรอบ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทางกระทรวงแรงงานร่วมกับทางสภากาชาดไทยและหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ปูพรมด้วยหลายภาษา “ถิ่น” ของแรงงานต่างด้าวในหลายๆ ช่องทาง เพื่อให้
ชาวต่างด้าวได้เข้าใจพิษภัยของโรคโควิด-19 การป้องกันตัวเองและครอบครัวให้อยู่รอดปลอดภัยจากโควิด-19
เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ต้องทำให้เข้าถึงทุกชาติพันธุ์ที่เข้ามาทำงานในไทย ซึ่งมีทั้งชาวมอญ กะเหรี่ยงพุทธ
กะเหรี่ยงคริสต์ พม่า ม้ง ลาหู่ ที่หลักๆ ยังมีภาษากัมพูชา ภาษาลาว เป็นต้น พวกเขาอยู่กระจายโดยทั่วไป
ดังนั้น ควรคำนึงถึงแหล่งจ้างงานของพวกเขา ที่สำคัญนายจ้างคือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับแรงงานต่างด้าวมากที่สุด
ควรจะเป็นคนที่ “รับผิดชอบ” ชีวิตแรงงานต่างด้าวมากที่สุด
และถ้าเกิดโรคระบาดในกลุ่มต่างด้าวจะกระทบชุมชนคนไทยและงานสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
สมมติมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในหมู่แรงงานต่างด้าว 20,000 คน และมีคนที่อยู่แวดล้อมนับร้อยๆ จะเอาสถานที่ไหน
ไปกักตัวพวกเขาได้
จึงขอให้กระทรวงแรงงานอย่าผ่อนความเข้มงวดในการตรวจติดตามการระบาดของโควิด-19 จากแรงงานต่างด้าว
จำนวนมหาศาลในประเทศไทย
อย่าลืมว่ายังมีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายปะปนอยู่บ้าง ซึ่งไม่ทราบจำนวนเท่าไร จำนวนพันหรือจำนวนหมื่น
แรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้มักเป็นลูกจ้างชั่วคราว รายวัน เคลื่อนย้ายตัวเองเป็นระยะ กระจายอยู่ตามสวน ไร่นา
ที่ห่างไกลจากสายตาเจ้าหน้าที่ ยากที่จะตรวจจับซึ่งเป็นอีกกลุ่มเสี่ยงที่ต้องให้ความระมัดระวังและเข้มงวด
ทางกฎหมาย
ท้ายที่สุด ผู้เขียนขอสนับสนุนกระทรวงแรงงานใช้มาตรการเชิงรุกในการดูแลแรงงานต่างด้าว แต่ต้องทำความเข้าใจ
กับการระบาดของโควิด-19 ด้วยว่า นิเวศของการอยู่อาศัยของแรงงานต่างด้าวจำนวนมากนี้มีความสุ่มเสี่ยงที่
จะเกิดการระบาดได้เช่นกัน “กันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วแก้ไม่ทัน” .
Cr. : https://www.isranews.org/article/isranews/87923-news-15.html