[Part2]ขาลงของ Agents? เมื่อ Airbnbรุกตลาดเช่าระยะยาว เล่าให้ฟังหมดเปลือกฐานะ Owner/ผู้เช่าที่ต่างประเทศ

ต้องขออภัยทุกท่านด้วยที่กลับมาช้าและขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจและโหวตให้กระทู้ผมกลายเป็นกระทู้แนะนำ
 
สืบเนื่องจากกระทู้เดิม
 
Part 1
 
ผมได้เล่าให้ฟังจบไปแล้วเกี่ยวกับรายรับของ Airbnb และอัตราค่าคอมมิชชั่นของแพลตฟอร์มอื่นๆ
 
ที่นี้อยากจะมาพูดคุยให้ฟังเพิ่มเติมเกี่ยวกับลูกค้าของ Airbnb และประสบการณ์ในการใช้งานเมื่อเป็นลูกค้า และผู้เช่าระยะยาว Airbnb/Platform อื่นๆ ในต่างประเทศ
 
รวมไปถึงการใช้บริการ Agent ในประเทศเพื่อขายอสังหาริมทรัพย์ และให้เช่า
 
(สำหรับ Agents ถ้าอยากข้ามตรงนี้ไปลองเลื่อนไปอ่านที่ช่องคอมเม้นท์เลยครับ)
 
จากที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้าว่า Airbnb มันเป็น Platform ที่ค่อนข้าง Casual ครับ (แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะไม่มีกำลังซื้อเลย)
 
จากการที่ผมได้เปิดอพาร์ตเม้นท์ให้เช่าใน Airbnb 

ในมุมมองของ Owner ใน Airbnb
 
มีประสบการณ์ดีๆและแย่ๆมากมาย 

ผมได้พบปะและพูดคุยกับแขกจากหลากหลายประเทศและอาชีพ แขกเกือบทุกระดับ นับตั้งแต่ Backpackers ,คนเกาหลีที่มากันยกบ้าน,หญิงท้องแก่ชาวอินเดีย, พ่อค้าเพชรชาวฮ่องกง, founder tech-startup ไปจนถึงนางแบบชุดชั้นใน Victoria's Secret o_O
 
ผมมีทริคนิดหน่อยที่จะบอกทุกคนถ้าคุณอยากจะปล่อยเช่าอพาร์ทเม้นท์ระยะสั้นหรือทำโรงแรม
 
ว่าถ้าหากคุณไม่ต้องการที่จะเจอแขกที่จู้จี้  demanding และ อย่าใช้กลยุทธในการตัดราคาเป็นอันขาด!
 
เพราะราคานี่แหละคือการคัดสรรลูกค้ามาให้คุณเป็นอย่างดี
 
โดยแรกเริ่มผมเคยขายห้องของผมในขนาด 60sqm ที่มีเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินและตกแต่งด้วยไม้จริงและหินอ่อน ในราคาเพียงคืนละ 60-80$
 

 
เพราะผมคิดว่าถ้าหากเราได้แขกมาเป็นเวลา 1 เดือน ผมก็จะมีรายรับเหนาะๆเดือนนึง ราวๆ 2000$(หัก discount)
 
รวมไปถึงผมก็คิดว่า Price Strategy นี่ล่ะที่ทำให้เราน่าจะได้รับ รีวิวดีเพราะเราขายของดีราคาถูก คนก็จะยิ่งกลับมาอีกๆ 
 
แต่แล้วผมก็คิดผิดฮะเพราะว่า แขกของ Airbnb ส่วนใหญ่เป็นแขกที่มาพักระยะสั้นเป็นเวลา 5 วัน-2อาทิตย์
 
และผมเจอกับลูกค้าที่คุณภาพแย่มาก!!!!!!
 
ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาในช่วงที่ผมตั้งขายราคานี้เป็นลูกค้าวัยรุ่น ค่อนข้าง Demanding เรื่องมาก กำลังจ่ายน้อย
 
ไม่พอใจอะไรนิดหน่อยเอะอะขู่จะรีวิวแย่ๆอย่างเดียว ขอต่อราคาให้ถูกลงไปอีกก่อนเข้าพัก และมักจะจากไปโดยทิ้งห้องไว้ในสภาพที่ไม่เรียบร้อยมากๆ (ขยะเกลื่อนทิ้งถุงขนมเกลื่อนเต็มห้อง)
 
การตั้งราคาถูกโดยหวังว่าราคาถูกจะทำให้ Occupancy rate เยอะๆ ในเวลาที่คุณทุนกับห้องไปในราคาสูงๆ มันไม่คุ้มเอามากๆ และทำให้ห้องโทรมเร็ว
 
เวลาที่คุณปล่อยให้ลูกค้าอยู่กับห้องลำพังโดยที่ไม่ได้ให้พนักงานทำความสะอาดเข้ามาตรวจสอบความเรียบร้อยมันคือความเสี่ยงสูงสุด
 
ผมจึงเปลี่ยนกลยุทธใหม่ โดยเป็นการให้ maid เข้าไปทำความสะอาดห้องทุกวัน และเสิร์ฟอาหารเช้าถึงที่ห้องแล้ว Markup ราคาขายเพิ่มเป็นราคา 100-150$ และขายใน Platform OTA อื่นๆร่วมด้วย
 
ซึ่งผมก็ได้เจอกับลูกค้าที่คุณภาพดีขึ้น (แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจาก Airbnb)

ตัวผม(ตัวเอง) ทำงานน้อยลงในการพยายาม Compromise กับลูกค้า และแก้ปัญหาต่างๆ
 
เหมือนกับว่าราคานั้นได้คัดกรองลูกค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงวัยทำงาน เป็นผู้ใหญ่ มีการศึกษา และจากไปในสภาพห้องที่ค่อนข้างดี(แม่บ้านไม่ค่อยบ่น)

แต่ใน Airbnb พวกเขาก็ต่อราคาอยู่ดี ในขณะที่ Booking หรือ Agoda พวกเขาไม่สามารถต่อราคาได้เลย
 
"แต่ถึงกระนั้นก็ตามที ผมก็ไม่แนะนำให้พวกคุณทำ Airbnb ในคอนโดที่ประเทศไทยอยู่ดีเพราะคุณจะต้องเผชิญความเสี่ยงหลายอย่าง เช่นเรื่องของนิติบุคคลและเพื่อนบ้านที่มักไม่พอใจเวลาที่แขกเข้าๆออก รวมไปถึง Airbnb ในไทยยังคงผิดกฎหมาย หากคนพักเช่าเป็นเวลาต่ำกว่า30วัน"
 
แต่การปล่อยเช่าลูกค้า Airbnb ให้ได้เกิน 30 วันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก

-สำหรับคอนโดผมเคยได้ลูกค้า Longtermเกิน 30 วัน จาก Airbnb นะ แต่เขาต่อราคาห้องหูดับตับไหม้เลยทีเดียว หลายๆครั้งที่ต่อราคาเกิน20% และเคยมีบางคนต่อราคาถึง 50% เลยทีเดียว
 
ในมุมมองของคนเช่า

ทีนี้ผมอยากจะเล่าเรื่องตอนสมัยที่ผมเรียนอยู่ที่นิวคาสเซิ่ล กับการหาเช่าบ้านพักระยะยาว Shared-house
 
บ้านเช่าที่ต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเช่าแบบรวม พื้นที่ส่วนกลาง ครัว ห้องนั่งเล่น รวมไปถึงห้องน้ำนั้นต้องใช้ร่วมกับผู้อื่น
 
อพาร์ทเม้นท์ส่วนตัวที่อยู่ใกล้สถานศึกษามักมีราคาแพงมาก และจะต้องจ่ายในราคาอาทิตย์ละไม่ต่ำกว่า250$(อันนี้คือแบบห่วยที่สุดคือหอในมหาวิทยาลัยและมีแค่1 เตียง) ไปจนถึง 400$ ถ้าอยากเช่าห้องในคอนโด สำหรับการอยู่คนเดียวที่จะต้องจ่ายเป็นเงินไทยราวๆ 32000-55000 (เรทในยุคนั้น) 

มันแพงมากเทียบกับไทยแลนด์แดนสวรรค์ จ่ายขนาดนี้ คุณต้องได้ Luxury คอนโดชิดขอบรถไฟฟ้าใน CBD ในกทมแล้ว

 
ผมจึงลองเข้าไปค้นหาห้องเช่าในกระทู้บอร์ดของท้องถิ่นว่ามันมีบ้านเช่าแบบ Shared-house ไหนมั้ยที่ราคาไม่แพงและอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย


 
แล้วผมก็เจอกับบ้านในฝันที่ราคาเช่าเพียงอาทิตย์ละ 180$ และอยู่ตรงข้ามกับประตูรั้วมหาวิทยาลัยพอดี

ความจริงมันราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหลังอื่น แต่ผมคิดว่ามันแพงด้วยโลเคชั่น
 
สำหรับคนไม่มีรถอย่างผมการย่นระยะทาง Shorter commute เป็นสิ่งที่จำเป็นมากเพราะขนส่งสาธารณะต่างประเทศมีราคาแพง และในเมืองบ้านนอกๆอย่างนิวคาสเซิ่ลความถี่ในการรับส่งมันน้อยมาก (บางครั้งต้องรอ 30-45นาทีสำหรับรถเมล์บางสาย และไม่มีรถไฟฟ้า)
 
ผมส่งอีเมลไปหาเจ้าของบ้านและบอกว่าผมมีความจำเป็นที่จะต้องย้ายเข้าอย่างเร่งด่วน (เพราะวีซ่านักเรียนพึ่งออก7 วันก่อนเดินทาง) ทำให้ผมไม่มีเวลาไปดูบ้านล่วงหน้า และดูจากรูปที่เจ้าของบ้านโพสต์ในกระทู้มันก็ดูเหมือนบ้านในหนังฝรั่งซีรี่ยส์อเมริกันทั่วไป * *
 
เจ้าของบ้านก็ได้บอกว่าเขาขอสัญญาขั้นต่ำ 6 เดือน และขอให้เซ็นต์สัญญา
 
ผมเซ็นต์สัญญาโดยที่ไม่ได้อ่านสัญญาล่วงหน้าจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าและเตรียมย้ายเข้าไปอยู่เลยพร้อมกับของ 50KG
 
ปรากฎว่า...
 
สิ่งที่เป็นกับสิ่งที่อยู่ในรูปมันต่างกันมาก ส่วนกลางของบ้านสกปรกมาก ห้องน้ำเป็นคราบและมีคราบเลือดติดอยู่ทั่ว ที่สะอาดที่สุดเห็นจะเป็นห้องนอน แต่ห้องนอนก็ไม่สามารถเปิดหน้าต่างได้ ยังไม่รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องนอนผมต้องซื้อเองทุกอย่าง (ผมเช่าบ้านอาทิตย์ละ 5000 กว่าบ้านนะ!! O_o)
 
 

 

 
และเมื่อถึงในยามหน้าร้อนที่อากาศร้อนพุ่งถึง 40 องศา คุณต้องอยู่ในห้องที่เป็นเตาอบที่มีแต่พัดลมและไม่สามารถเปิดหน้าต่างได้
 
มีอยู่ครั้งนึงที่กุญแจบ้านผมหาย
 
ผมไม่สามารถเข้าห้องได้เป็นเวลา 2 วันในช่วง Deadline Thesis และทุกสิ่งทุกอย่างของผมอยู่ในห้องนั้น รวมถึงกระเป๋าสตางค์ด้วย!!!
 
เจ้าของห้องไม่สามารถนำกุญแจสำรองมาให้ผมได้ทันที ทั้งๆที่มันคือช่วงวิกฤต เพราะเขาให้เหตุผลว่า มันคือวันหยุดแห่งชาติ!!!! เขาต้องการที่จะอยู่กับครอบครัว!!! OoO OMG
 
และอย่าได้พูดถึงการให้ช่างมาสะเดาะกลอนเลย วันที่ผมโทรไป ช่างคิดค่าเปิดประตูห้องในราคา 450$!!!!!! O_o ด้วยเหตุผลที่ว่ามันคือวันหยุดแห่งชาติ!!!

เรื่องนั้นจบลงด้วยการที่เจ้าของบ้านนำกุญแจมาให้ผม พร้อมกับทวงบุญคุณว่า ฉันอุตส่าห์ขับรถมา 3 ชั่วโมงจากอีกเมืองเพื่อเอากุญแจมาให้เธอนะ เธอควรที่จะจ่ายฉันสัก 150$ เป็นค่าน้ำมัน!! O_o
 

——————————————————————————————————————————————————————————
ครั้งที่ 2 ที่ผมลองหาเช่าบ้านผ่านทาง Airbnb คราวนี้ได้บ้านที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาหน่อยที่สะอาดขึ้นมาบ้าง แต่เจ้าของได้ขออีเมล์และให้ผมเซ็นต์สัญญาส่วนตัวโดยแลกกับการลดค่าเช่า  และแน่นอนสำหรับผู้ไม่มีรายได้อย่างผมในฐานะนักศึกษา ผมเลือกที่จะทำเช่นนั้น

แต่บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านที่ถูกดัดแปลง ห้องนอนที่ผมอยู่เป็นห้องที่ดัดแปลงมาจากห้องเก็บของและมันไม่มีกลอนประตู!!!! และห้องอื่นๆในบ้านบางครั้งเป็นห้องที่ถูกดัดแปลงขึ้นมาจากโรงรถ

บ้านหลังดังกล่าวมีห้องนอนถึง 9 ห้อง แต่มีห้องน้ำเพียง 2 ห้องเท่านั้น!!! (และในส่วนนี้เจ้าของก็ไม่ได้ระบุลงในพื้นที่โฆษณา)

รวมไปถึงกฎเกณฑ์เงื่อนไขต่างๆนาๆที่เจ้าของบ้านบังคับให้ผู้เช่าต้องทำความสะอาดกวาดและถูพื้นที่ส่วนกลางด้วยตัวเอง! O_o

มันทำให้ผมรู้สึกขยาด และการเช่ากับรายย่อยโดยตรงไม่ผ่านใครเลยมันมีความเสี่ยงเรื่องของความความไม่แน่นอนเป็นอย่างมาก และการ ดีลกับเจ้าของบ้านโดยตรงมันไม่เวิร์คเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าบ้านหลังนั้นจะอยู่ในสภาพที่ดีขึ้น

เจ้าของห้องอยู่ที่ต่างประเทศและไม่สามารถให้ความช่วยเหลืออะไรได้มากเช่นกัน ในขณะผมติดสัญญาอยู่นานอีก 6 เดือน

ผมตัดสินใจขอเจ้าของบ้านฉีกสัญญา แต่ในเนื้อหาสัญญายังมีความเอาเปรียบเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าถึงแม้ว่าผมจะอยู่ไม่ครบ 6 เดือน นอกจากเจ้าของบ้านจะยึดเงินประกันแล้ว ผมยังต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่มอีก 1 เดือนฟรีๆให้กับเจ้าของบ้าน!!!

ครั้งที่ 3 ของการย้ายบ้าน ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปกับการต้องดีลกับเจ้าของห้องโดยตรง คราวนี้ผมเดินเข้าไปหาบริษัท Agent ท้องถิ่นโดยตรงที่

ชื่อ Reece Realty 



เอเจ้นท์ที่นั่นทำงานอย่าง Professional มาก แรกเริ่มเขาถามว่า budget ในการเช่าของคุณราคาเท่าไหร่ คุณต้องการอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยใช่มั้ย?
และเขาก็ขับรถพาไปดูห้องเช่าแต่ละที่รอบๆเพื่อเปรียบเทียบสภาพกับราคา ผมได้เห็นทุกอย่างทั้งเพื่อนร่วมบ้าน สภาพห้อง ฯลฯ
อันนี้เป็นบริการที่ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ยังไม่รวมไปถึงวันที่ผมทำกุญแจหาย ทางเอเจ้นท์ให้ผมเบิกกุญแจสำรองได้ฟรี 1 ครั้ง และครั้งที่ 2 ในราคา 80$ ซึ่งสำหรับผมมันแฟร์

สำหรับผมถ้าคิดจะเช่าห้องในประเทศหรือต่างประเทศระยะยาว ผมคงเลือกเช่าผ่านเอเจ้นท์และคงไม่ดีลกับจขโดยตรงหรือ airbnb อีก

เดี๋ยวต่อที่คอมเม้นท์ด้านล่างเลยครับ

——————————————————————————————————————————————

ใครชอบเป็นกำลังใจโหวตให้ด้วยนะครับ * *
 
 ฝากเพจด้วยครับ Aloha Investment x ตี๋น้อย
 
 https://www.facebook.com/Alohainvest/
 
 เขียนมุมมองอสังหา + หุ้นตามฉบับลูกหลาน SME feat. ชีวิตนักศึกษาป.เอกที่จีนท่ามกลางวิกฤตโควิด19

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่