ทำไมธุรกิจบางอย่างมีการฆ่า มีการผิดศีลอยู่เป็นประจำ แต่ก็ยังรวยเอารวยเอา

ในศาสนาพุทธมักจะสอนว่า ใครอยากร่ำรวยก็ต้องรู้จักให้ทานและรักษาศีล โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีลข้อ 2 ที่ทำให้ผู้รักษาได้นั้น สามารถหาทรัพย์ไปได้เรื่อยๆและสามารถรักษาทรัพย์ที่ได้มาไว้อย่างมั่นคง

   แต่เมื่อหลายคนได้มองดูเหล่าเจ้าสัวที่ร่ำรวยระดับประเทศ ก็จะเห็นได้ว่าเจ้าสัวหลายคนก็ทำผิดหลักศีล 5 เช่น ข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ ข้อ 5 ห้ามดื่มเหล้า เป็นต้น แต่เจ้าสัวเหล่านั้นยิ่งทำก็ยิ่งมั่งคั่งร่ำรวย ไม่เห็นจะอยากจนเพราะการรักษาศีลไม่ได้ ทำให้หลายคนคิดว่าการรักษาศีลและการให้ทานนี่มีผลต่อความร่ำรวยจริงหรือเปล่า

   ในพระพุทธศาสนามีคำสอนคำชี้นำให้ผู้ประปฏิบัติตามได้สร้างตัวเองไปสู่ความร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองได้อยู่หลายคำสอนด้วยกัน 
   คำสอนว่า การให้ทานและรักษาศีลแล้วจะร่ำรวยเงินทอง เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
   ยังมีคำสอนหลักอย่างอื่นอีกที่ทำให้ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนนี้ได้ดีก็สามารถร่ำรวยเงินทองได้ นั่นคือ ปาปณิกธรรม 3
   ปาปณิธรรม 3 (qualities of a successful shopkeeper or businessman)
ปาปณิกธรรม คือ หลักของการเป็นพ่อค้า หรือคุณสมบัติของพ่อค้า หมายถึง การเป็นพ่อค้าที่ดีจะต้องมีหลักในการค้าหรือมีคุณสมบัติด้านการค้าดังต่อไปนี้
1. จักขุมา คือ ตาดี หมายถึง การรู้จักสินค้า ดูสินค้าเป็น สามารถคำนวณราคา กะทุนเก็งกำไรได้อย่างแม่นยำ เป็นต้น
2. วิธูโร คือ จัดเจนธุรกิจ หมายถึง รู้แหล่งซื้อแหล่งขาย รู้ความเคลื่อนไหวหรือความต้องการของตลาด มีความสามารถในการจัดซื้อจัดจำหน่าย รู้ใจและรู้จักเอาใจลูกค้า บริการตรงกับความต้องการของลูกค้า เป็นต้น
3. นิสสยสัมปันโน คือ มีพร้อมด้วยแหล่งทุนเป็นที่อาศัย หมายถึง ทำตัวเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจในหมู่แหล่งทุนใหญ่ (เครดิตดี) มีความสามารถหาเงินมาลงทุนหรือดำเนินกิจการได้โดยง่าย

   ปาปณิกธรรม 3 นี้เป็นหลักธรรมสำคัญของการค้าขายทุกชนิด ให้คุณไปดูเลยว่าเหล่าเจ้าสัวพ่อค้าวาณิชย์ที่ร่ำรวยทั้งหลายเขามีคุณสมบัติ 3 ข้ออย่างที่กล่าวมาหรือเปล่า แล้วพุทธศาสนิกชนบางท่านมีคุณสมบัติ 3 ข้อที่กล่าวมาเท่ากับเหล่าเจ้าสัวมั้ย

   ชาวพุทธส่วนมากที่ปรารถนาความร่ำรวยจะยึดประเด็นที่ว่า ต้องปฏิบัติตามหลักทาน ศีล ภาวนาให้เยอะๆเข้าไว้ ถ้าทำทาน ศีล ภาวนาได้เยอะ เดี๋ยวบุญก็ช่วยให้รวยเอง ซึ่งในส่วนที่ทำดีนี้ก็เป็นส่วนช่วยให้ได้สมปรารถนา แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

   ชาวพุทธที่ปรารถนาทำการค้าขายควรศึกษาพิจารณาและปฏิบัติตามหลักปาณิกธรรมซึ่งเป็นหลักสำคัญของพ่อค้าแม่ค้าที่ดีด้วย ซึ่งเท่าที่เคยสนทนาธรรมกับคนที่นับถือพุทธมาหลายคน ส่วนมากก็จะมองข้ามและละเลยในเรื่องปาปณิกธรรมไป ผลก็คือ ประสบความล้มเหลวในธุรกิจการค้าขายต่างๆ แล้วก็มานั่งคิดว่าทำบุญขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่รวยซักที หรือว่าเรายังมีบาปกรรมขัดขวางอะไรเราอยู่หรือเปล่า คิดหาสาเหตุที่ไม่รวย แต่ก็หาไม่เจอ นั่นเป็นเพราะชาวพุทธไม่ศึกษาคำสอนให้รอบด้าน

   ด้วยเหตุนี้ หากชาวพุทธคนใดต้องการจะปฏิบัติตามหลักทาน ศีล ภาวนาเพื่อให้ตนเองมีชีวิตที่ดี ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองจากการค้าขายก็ปฏิบัติไป
   แต่ต้องศึกษาและปฏิบัติตามหลักปาปณิกธรรม หลักแห่งคุณสมบัติพ่อค้าแม่ค้าให้เกิดผลจริงด้วย เช่น ถามผู้รู้ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจนั้น หรือ หาโรงเรียนที่สอนธุรกิจที่ต้องการทำ เป็นต้น

   ศาสนาพุทธสอนไว้อยู่แล้วว่า ทำอย่างไรได้อย่างนั้น หากไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ก็ต้องได้รับโทษของการไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล
   หากปฏิบัติตามหลักปาปณิกธรรม 3 ได้ นั่นคือมี 1.จักขุมา มีตาดี 2.วิธูโร จัดเจนธุรกิจ 3.นิสสยสัมปันโน มีแหล่งทุนเป็นที่พึ่งอาศัย ก็ย่อมได้ทรัพย์สินเงินทองจากการค้าขายในระยะเวลาไม่นานนัก

   เวลาที่คนจำนวนมากมองเจ้าสัว มองคนรวย ก็มักจะมองแต่เบื้องหน้า มองแต่เงินที่เขามีอยู่ แต่ก็ไม่ได้มองเบื้องหลังหรอกว่า เขามีความทุกข์ร้อนอะไรบ้างจากการที่ประพฤติผิดศีลผิดธรรม มีความสุขในทุกด้านของชีวิตจริงหรือเปล่า
   ส่วนเรื่องการให้ทานนั้น กลุ่มเจ้าสัว คนรวยทั้งหลายก็ทำบุญให้ทานก็ไม่น้อย ในส่วนที่เขาทำบุญให้ทาน ก็ควรได้รับผลในส่วนนี้ไป ส่วนที่ปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งพ่อค้าได้ดี ก็ควรได้รับผลที่ดีตามหลักธรรมข้อนี้ไป

   ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดสรรมาอย่างยุติธรรม หว่านพืชเช่นไรย่อมได้ผลเช่นนั้น เวลาเราจะดูใคร ก็ต้องพยายามมองให้ทุกเงื่อนไข ทุกประเด็น ซึ่งก็จะช่วยให้เราเข้าใจความจริงมากขึ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่