ผมมีเรื่องมาเล่าให้ฟังครับ

เรื่องนี้ผมไม่ยืนยันนะครับว่าเป็นเรื่องจริง
เป็นเรื่องที่ผมเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้มาจนทุกวันนี้
แต่เพื่อความเพลิดเพลินในการอ่าน กรุณาอ่านเรื่องนี้ตอนกลางวัน
หรือถ้าจะอ่านตอนกลางคืน ก็ควรหาเพื่อนมาร่วมอ่านด้วย
และถ้าไม่มีเพื่อนจริง ๆ ก็ควรจะเปิดไฟให้สว่างเข้าไว้
มีหูฟังครอบหูไว้ด้วยยิ่งดี จะได้ป้องกันเสียงต่าง ๆ ไม่ให้เข้ามารบกวน
รู้แล้วใช่ไหมครับว่าผมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร 
อิอิ...

ปิดเทอมคราวที่แล้ว..เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งชื่อไอ้ติ๊ก ชวนผมไปเที่ยวบ้านยายของมัน
บังเอิญญาติมันเสีย มันต้องไปอยู่แล้ว เลยถือโอกาสชักชวนเพื่อน ๆ ให้ไปเที่ยวด้วยกัน
ผมเองนั้นกำลังติดเกมส์จนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น เลยปฏิเสธความหวังดีของมันแต่แรก
"บ้านข้าอยู่เกาะเสม็ดนะโว้ย.."
ทำให้ผมต้องปิดคอมพ์ฯ เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เดินตามมันต้อย ๆ ที่ท่ารถในวันรุ่งขึ้น
เที่ยวเกาะเสม็ดฟรีจะพลาดได้ไง..
นอกจากผมแล้ว ยังมีเพื่อนของไอ้ติ๊กอีกสามคน
คนหนึ่งเป็นเพื่อนสมัยประถมของมัน ชื่อเมฆ
อีกคนเป็นตุ๊ด ชื่อพิ๊งค์
ส่วนอีกคน คนนี้ไม่ใช่เพื่อน เป็นลูกพี่ลูกน้องของมัน เธอชื่อว่าแพรว
หน้าตาเหมือนลูกแมว ตาโต จมูกเล็ก ปากแดง
แต่ผิวขาวซะจนผมแปลกใจ
"แพรวเป็นญาติเอ็งจริงหรือวะ?"
ไอ้ติ๊กพยักหน้า
"ไมวะ?"
"ต่างกันราวฟ้ากับดิน เป็ดไล่ทุ่งกับห่านฟ้า"
มันตบหัวผมเพี๊ยะ 
"ลูกน้าข้าเอง เขาฝากให้ไปด้วยกัน เอ็งอย่าทะลึ่ง"
ผมคลำหัวป้อย..หยุดสายตากระลิ้มกระเหลี่ยลงได้
ก็เธอน่ารักจริง ๆ นี่นา

ไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกอย่างนั้น
ไอ้เมฆก็เช่นเดียวกัน
มันเกาะเธอแจ..คอยเทคแคร์ทุกอย่างจนน่าหมั่นไส้
ขณะนั่งบนรถทัวร์ มันก็ชิงแย่งที่นั่งข้าง ๆ ของเธอ
และแทนที่ผมกับไอ้ติ๊กจะได้นั่งด้วยกัน เพราะแต่ละคนที่เหลือหน้าใหม่สำหรับผมทั้งนั้น
แต่ยัยพิงค์กลับนั่งแปะลงข้าง ๆ ผม ปล่อยให้ไอ้ติ๊กนั่งไปกับคนอื่น
ผมก็ได้แต่นั่งยิ้มแหย ๆ ให้กับเพื่อนใหม่ใจหญิงคนนี้
ผมสงสัยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ว่า เหตุใดฟ้าจึงประทานปากให้กับกระเทยทุกคน
หล่อนคงลืมไปแล้วว่าหล่อนกับผมเพิ่งรุ้จักกันในวันนี้
พูดเก่งมาก คุยเก่งมาก เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ผมฟังไม่ได้หยุดราวกับรู้จักกันมาตั้งแต่เกิด
มีการจีบปากจีบคอ กรีดมือกรีดไม้ ทำสีหน้าแววตาส่งเสียงสูงเสียงต่ำคล้ายผู้หญิงจริง ๆ มาก
เสียแต่ว่าหล่อนไม่ใช่..นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมง่วง.. ผมหลับไปท่ามกลางเสียงของหล่อนในเวลาไม่นาน
ตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจกับเสียงพูดคุยรอบข้าง
ผู้โดยสารกำลังส่งเสียงไม่พอใจอะไรบางอย่าง ผมเพิ่งรู้ว่ารถได้จอดลงแล้วที่ข้างทางท่ามกลางความมืด
เด็กติดรถตะโกนมาจากด้านหน้าว่ารถเสีย หม้อน้ำรั่ว ต้องจอดรถรอรถคันใหม่มาขนถ่ายเดินทางต่อ
"ใครที่ร้อนก็ลงไปเดินเล่นข้างล่างได้นะครับ..แอร์เปิดไม่ได้นะคร้าบ..."
เสียงตะโกนทิ้งท้ายตามมา
เราห้าคนไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร เพราะเราไม่รีบ
แม้ว่าเราจะออกเดินทางกันมาด้วยรถเที่ยวสุดท้าย แต่ไอ้ติ๊กบอกว่าญาติของมันจะขับเรือมารับ
เราไม่จำเป็นต้องขึ้นเรือสาธารณะ พวกเรามีเรือส่วนตัว
"อย่าบอกนะว่าเป็นเรือหาปลา.." ผมถามไอ้ติ๊ก
"เรือยอร์ชล่ะมั๊ง ไอ้เวร"

ครอบครัวของไอ้ติ๊กเป็นชาวประมงขนานแท้
นอกจากนั้นยังปลูกต้นมะพร้าวไว้หลายไร่ ที่เหลือก็เป็นสวนผลไม้อื่น ๆ 
มะม่วง มะนาว พุทรา ส้มโอ ฯลฯ
ไชโย โห่ฮิ้ว..

เมื่อไม่มีแอร์ ในรถก็แทบไม่มีอากาศหายใจ
ผู้โดยสารคนอื่น ๆ เดินลงจากรถกันเป็นแถว
พวกเราก็เช่นเดียวกัน ทิ้งสัมภาระไว้ในรถ เดินยืดเส้นยืดสายด้านล่าง
ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือ อีกสิบห้านาทีห้าทุ่ม
สองชั่วโมงกว่า ๆ ที่เรานั่งกันมา รถน่าจะเข้าเขตจังหวัดระยองแล้ว
แต่ผมไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนของระยอง สองข้างทางมืดสนิท เต็มไปด้วยต้นไม้สูงติดกันเป็นพรืด
เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องกันระงม
เสียงพูดคุยกันระหว่างผู้โดยสารคนอื่นกับคนขับพอจะจับใจความได้ว่า รถที่จะมาเปลี่ยนจะตีลงมาจากบ้านเพ
คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง ทำให้หลายคนหัวเสีย 
คนขับกับเด็กรถก็บอกว่าพวกเขาก็พยายามซ่อมอยู่ แต่ไม่มีอะไหล่และเครื่องมือ แต่ถ้าซ่อมให้พอวิ่งได้ก็จะพยายามขับไปจอดที่ปั๊มน้ำมันข้างหน้า ซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
"กี่โล" คนหนึ่งถามขึ้น
"ประมาณ 5 โล"
"เนื่ยนะไม่ไกล?"
ได้ยินแต่เสียงหัวเราะแหะ ๆ ของโซเฟอร์

เรายืนจับกลุ่มคุยกันอยู่พักใหญ่..ทุกคนคุยไปสู่รบกับยุงและแมลงไป
ริมถนนที่มืดสนิทเช่นนี้ แมลงจะบินเข้าหาแสงไฟ
รถเปิดไฟหน้าทิ้งไว้ ทั้งยังเปิดไฟในรถทิ้งไว้
แมลงเลยแห่กันมาเป็นกองทัพ
"ไม่ไหวแล้ว..เราขึ้นไปบนรถกันดีกว่า"
เป็นเสียงของน้องแพรว
เธอกำลังเกาแขนและตบยุงที่ต้นคอ
"ร้อนตาย.." ไอ้ติ๊กบอก
ไอ้เมฆดูจะแสดงอาการเป็นห่วงออกมานอกหน้า
มันช่วยปัดแมลงให้แพรว เหลียวซ้ายและขวา
แล้วชี้มือไปด้านหลังรถทัวร์ ซึ่งเห็นเงาตะคุ่มของศาลาข้างทาง
มันอยู่ห่างไปประมาณ 100 เมตร
"เดินไปนั่งรอที่ศาลานั่นดีกว่า แมลงคงน้อยกว่านี้เพราะไม่มีแสงไฟ ดีมะน้องแพรว?"
น้องแพรวไม่ตอบ ทำหน้าแหย ๆ
"แล้วพอรถมาเราจะวิ่งมาขึ้นทันเหรอ?"
"ทันอยู่แล้ว อย่างไงเขาก็ต้องรอพวกเรา"
เมื่อทุกคนไม่คัดค้านเช่นนั้น ผมก็ขัดไม่ได้
ทั้ง ๆ ที่ผมอยากนอนต่อบนรถมากกว่า
"พี่แทนว่าไงคะ?"
น้องแพรวหันมาถามผมอย่างกระทันหัน จนผมไม่ทันตั้งตัว
ได้แต่พยักหน้า
"ว่าไงว่าตามกัน"
ก่อนจะออกเดิน ผมวิ่งไปบอกเด็กรถเอาไว้ก่อนว่าเราจะไปไหน
เด็กรถหรี่ตามองศาลานั้น..เขาไม่ค่อยเห็นด้วย
"รออยู่ที่เดียวกันไม่ดีกว่าหรือน้อง ตรงนั้นมันเปลี่ยวและก็มืดมากนะ บ้านคนก็ไม่มี"
ผมเห็นด้วยกับเขา แต่ไม่อยากขัดใจเพื่อน
"พวกผมไปกันหลายคนครับ คงไม่มีอะไร"
"งั้นก็ตามใจ..."

น้องแพรวเดินคู่กับผมอย่างเจตนา
ยัยพิ๊งค์เลยต้องไปเดินคุ่กับไอ้เมฆ ส่วนไอ้ติ๊กก็เดินนำหน้า
เราต้องเดินเรียงแถวกันอย่างนี้ เพราะข้างถนนซึ่งเป็นกรวดแดงนั้นไม่กว้างใหญ่นัก
พอเอาเข้าจริงผมก็ไม่มีอะไรจะคุยกับเธอ
ทั้ง ๆ ที่อยากจะชวนเธอคุยอยู่เหมือนกัน
ยิ่งมีโอกาสได้มองเธออย่างละเอียด ผมยิ่งมองเห็นความสวยน่ารักของเธอ
เธอเป็นน้องที่อายุใกล้เคียงกับพวกผม ซึ่งเป็นวัยแรกแย้มของดอกไม้สวย
คล้ายจะได้กลิ่นหอม ๆ ของเธอโชยเข้าจมูกเสียด้วยซ้ำ
เสื้อยืดรัดหุ่นจนเห็นความโค้งนูน กับกางเกงขาสั้นที่เผยความขาวอ่อนของน่องเรียว
ผมแอบกลืนน้ำลาย..
"พี่แทนเรียนที่เดียวกับพี่ติ๊กเหรอคะ?"
เธอจึงเป็นฝ่ายที่ชวนผมคุยก่อน กระชากความคิดของผมกลับมาสู่ความเป็นจริง
"ครับ แต่ก็เพิ่งจะมาสนิทกันไม่นานนี่แหละ"
"แพรวก็ไม่ค่อยได้เจอพี่ติ๊กบ่อยนักหรอก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะต้องมางานศพก็คงไม่ได้เจอกัน"
"ใครเสียเหรอครับ?"
"อ้าว พี่ติ๊กไม่ได้บอกเหรอว่ายายเสีย"
ผมหัวเราะแหย มันคงบอกผมแล้วล่ะแต่ผมไม่สนใจ
"แกเป็นอะไรครับ?"
"เห็นแม่บอกว่าโรคคนแก่ อยู่ดี ๆ แกก็นอนหลับไปเฉย ๆ"
"เสียใจด้วยนะครับ.."
เธอหันมามองหน้าผม ดวงตาในแสงจาง ๆ นั้นสุกใสดีเหลือเกิน
"พี่แทนพูดเพราะจัง.."

ร่างเธอสูงเพียงหัวไหล่ผมเท่านั้น
เวลาคุยเธอเลยต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
คางของเธอสวย รับกับปากที่จิ้มลิ้มน่ารัก
คอระหงรรับกับไหล่ลาดสมส่วน..
ผมอยากถามเธอเหลือเกินว่าเธอมีแฟนหรือยัง
ด้วยแสงไฟจากรถยนต์ที่วิ่งมานาน ๆ ครั้งทำให้ผมเห็นเต็มตา
มันสาดแสงให้เห็นรูปร่างของเธออย่างชัดเจน
อย่างนี้คงมีไม่ต่ำกว่า 3 คนแน่ ๆ
ใครเลยจะปล่อยให้เด็กสาววัยกำดัดร่างสวยเช่นนี้หลุดมือมาได้ถึงป่านนี้
ดูไอ้เมฆเป็นตัวอย่าง มันพยายามจะจีบเธออย่างเห็นได้ชัด
ผมหรือจะยอม!!

ศาลานั้นทรุดโทรมกว่าที่เห็นแต่ไกลมาก
หลังคาเป็นรูโหว่..พื้นที่เป็นไม้นั้นก็ผุแหว่ง
ที่นั่งยาวมีฝุ่นจับเขลอะ..ไอ้เมฆกำลังใช้กิ่งไม้เล็ก ๆ ที่มันหักมาจากข้างศาลาปัดอยู่เหย็ง ๆ
"พอจะนั่งได้แล้ว.." มันหันมาบอกน้องแพรว หวังว่าเธอคงจะเห็นความเอาอกเอาใจของมัน
เธอพึมพำขอบคุณ แต่ไม่ยักนั่ง
ผมทำตามไอ้เมฆ กิ่งไม้หนึ่งมีใบไม้ติดมาพอประมาณถูกหักติดมือมา 
ผมวางมันไว้ จะปัดทำไมให้ฝุ่นฟุ้ง
แล้วทรุดลงนักทับลงไปบนใบไม้  เว้นที่เอาไว้ให้เธอด้วย
เธอนั่งแปะลงทันที
ให้มันรู้ซะมั่งว่าใครเป็นใคร ผมลอบมองสีหน้าไอ้เมฆ
แล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้มัน
เวลาผ่านไปอย่างเนิ่นช้า
เสียงแมลงกลางคืนร้องระงม
นาน ๆ ทีจะมีรถราผ่านไปผ่านมาซักคัน
แมลงน้อยลงอย่างที่คิด แต่ยุงก็ยังชุมไม่ลดลงเลย
ผมมองสำรวจทั่วบริเวณ ไม่มีบ่านคนอยู่ใกล้ ๆ จริง ๆ ด้วย
แถวนี้คงเป็นสวนยาง สลับกับสวนทุเรียนและเงาะ ที่เจ้าของปลูกทิ้งไว้รอให้มันออกลูกออกมา
และศาลาแห่งนี้ก็คงเป็นที่รอรถโดยสารสาธารณะ ผมนึกแปลกใจหน่อย ๆ ว่าสร้างเอาไว้ทำไม
ทั้งห่างไกลผู้คน ทั้งเปลี่ยวทั้งน่ากลัวอย่างนี้
จะมีใครจะมาลงรถหรือรอรถที่นี่กันวะ??
เราคุยกันไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา 
น้องแพรวคุยเก่งพอสมควร ขณที่เธอกำลังเล่าถึงเพื่อนที่โรงเรียนของเธอ อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงกรี๊ดเกิดขึ้น
ผมตกใจ หันไปเห็นยัยพิ๊งค์กำลังกระโดดเร่า ๆ 
ศาลาทั้งหลังสะเทือนยวบยาบ ขณะหล่อนร้องเสียงหลง
"งู..."
ทั้งหมดลุกพรึบโดยไม่ต้องนัด พากันกระโจนออกจากศาลานั้น
เราทั้งสี่กระโจนไปหาถนน แต่ยัยพิงค์กลับกระโจนลงไปข้างทาง
หล่อนคงกลัวงูจริง ๆ กลัวจนไม่ได้สติ
ทุกคนร้องเรียกเสียงขรม หล่อนวิ่งลับหายไปในดงไม้
ผมกระโจนวิ่งตาม
ยัยพิ๊งค์วิ่งไปไม่ไกลนัก
หล่อนกำลังยืนนิ่งหันหลังให้ผม
ผมตะโกนเรียก หล่อนยังนิ่งอยู่อย่างนั้น
เมื่อผมวิ่งไปถึงตัว..คว้าไหล่ให้หันมา
แต่เมื่อผมได้เห็นหน้าของเพื่อน หัวใจของผมตกลงไปที่ตาตุ่ม
+++++

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่