เปิดประสบการณ์! เรื่องเล่าจากผู้ป่วยโควิด-19 ในมุมมองที่เราอาจคิดไม่ถึง

รบกวนเพื่อนๆพันทิพ ช่วยโหวตกะทู้ที เผื่อโชคดีได้ชึ้นเป็นกะทู้แนะนำ

ได้เห็นและกระจายข่าวกันมากขึ้น


ขอบคุณครับ

ที่มา

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000037935?fbclid=IwAR3ZLB7mK_to6nZOEjoWje9P-F6_1Zh2rqe0va72C5AkxR9kz_VcIz86hqw

เฟสต้นฉบับ

https://www.facebook.com/pitsanu.nilklad/posts/1081829032173147

เรื่องที่นำมาให้อ่านวันนี้ เป็นบันทึกของผู้ป่วยโควิด-19ที่เพื่อนผมส่งมาให้เช้าวันนี้ 
เขา-ซึ่งเป็นทั้งนักการทูตและนักเขียนบอกว่าเป็นบันทึกของคนสู้กับโควิด-19ที่รายงานครบถ้วนที่สุดเท่าที่เคยอ่าน 
ครบถ้วนทั้งในมุมของผู้ป่วย มุมของหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันตรายอย่างที่เราคิดไม่ถึง
บันทึกชิ้นนี้ค่อนข้างยาว แต่ด้วยความที่เป็นอันตรายใกล้ตัวเราและคนที่เรารักเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับผู้ป่วยเก็บรายละเอียดของอาการป่วย
กระบวนการรักษา ได้น่าติดตาม จึงทำให้อ่านจบโดยไม่รู้ตัว
อ่านบันทึกจบ ผมเข้ากูเกิลทันที อยากทราบว่าผู้ป่วยเป็นใคร……
ได้ข้อมูลพอสังเขปว่าเป็นคุณพ่อลูกสาม อายุย่าง60 ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่างกายแข็งแรง เป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัท ดวงกมลสมัย จำกัด ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากร้านหนังสือดวงกมล( D K Book House )
ของคุณสุข สูงสว่าง ร้านขายหนังสือทั้งไทยและอังกฤษที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยสมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย จำได้ว่าหนังสือพ็อกเก็ต บุ๊คของค่ายดวงกมลคุณภาพสูงทุกเล่ม จัดหน้าสวย เลือกตัวอักษรสวย และผมไม่เคยเจอคำพิมพ์ผิด
คุณธเรศ คีรี เขียนเล่าเรื่องความทุกข์ความป่วยไข้ของตัวเองได้น่าอ่าน
เป็นประโยชน์ต่อคนทั้งโลก(มีเวอร์ชั่นเขียนเป็นภาษาอังกฤษด้วย)ครับ
@@@@@@@@@
มีเพื่อน ๆ หลายคนอยากให้ผมเล่าเรื่องเป็นภาษาไทย 
ดังนั้นขอเรียบเรียงประสบการณ์ดังนี้ครับ
ถึงเพื่อนที่รัก ทุกคน,
ผมได้โพสต์ข้อความครั้งสุดท้ายเมื่อเดินทางกลับจากอังกฤษวันที่ 16 มีนาคม ที่ผ่านมา และไม่ได้โพสต์อะไรเพิ่มเติมจนถึงวันนี้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ผมขอรอแจ้งให้เพื่อนๆ ทราบเมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี (ถึงแม้จะเป็นความโชคร้าย แต่จริงๆมันคือความประทับใจที่ไม่มีวันลืมครับ)
ผมกลับจากอังกฤษถึงกทม.เย็นวันอังคารที่ 17 มีนาคม กักตัวเองที่ห้องเป็นเวลา 14 วัน ครั้งแรกรู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัว รู้สึกสับสนว่าเราต้องระวังตัวมากขนาดนี้ด้วย 
อย่างไรก็ตาม ผมเริ่มรู้สึกเจ็บคอและมีไข้เล็กน้อยเมื่อถึงวันศุกร์เช้า เข้าใจว่าเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนและผมไม่ได้เป็นหวัดมาเกือบปีแล้ว แต่ภรรยาและพี่สาวยืนยันว่าผมควรไปตรวจคัดกรอง #COVID#-19 
ดังนั้น ผมจึงติดต่อไปที่โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง แต่ไม่สามารถตรวจได้ทันที จนสามารถติดต่อที่ รพ.บำรุงราษฏร์ได้ และเตรียมจะไปตรวจในเช้าวันอาทิตย์ 
แต่ด้วยความเป็นห่วงของ พิณ ภรรยาสุดที่รัก ได้พยายามประสานงานและสามารถติดต่อให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดีแทน โดยได้ขับรถไปส่งและนั่งรออยู่ 
เราไปถึงรามาฯ ประมาณ 9.00 ซึ่งมีการตรวจคัดกรองไข้ทุกคน ซึ่งผมไม่มีไข้ด้วยซ้ำเมื่อผ่านเข้ารพ. 
ผมต้องไปอยู่ในมุมพิเศษสำหรับคนที่มาตรวจหาเชื้อ ซึ่งมีคนรอประมาณ 100 กว่าคน เจ้าหน้าที่ได้ซักถามผมถึง 2 รอบเนื่องจากต้องการเช็คคนที่มีโอกาสเสี่ยง เพราะน้ำยาสำหรับตรวจมีจำนวนจำกัด และถ้ามาตรวจเฉยๆ จะมีค่าใช้จ่ายถึงคนละ 5,000 บาท แต่เมื่อทราบว่าผมเพิ่งกลับจากอังกฤษ ก็ได้รับการยกเว้น 
อย่างไรก็ตามผมนั่งรอเกือบ 3 ชั่วโมงจึงได้รับการตรวจ โดยหมอให้ผมโทรศัพท์เข้าไปเพื่อแจ้งอาการ เนื่องจากหมอจะไม่เข้ามาแตะต้องตัวเรา นอกจากเจ้าหน้าที่ซึ่งทำการตรวจที่ใส่ชุดป้องกันทั้งตัว ได้เอาหลอดเล็กๆมาแหย่ที่จมูกและลำคอเพื่อเอาสารคัดหลั่งไปตรวจ ซึ่งรู้สึกเจ็บเล็กน้อย 
จากนั้นพยาบาลให้นั่งรออีกเกือบชั่วโมงเพื่อรอรับยา พยาบาลบอกว่าจะโทรแจ้งให้ทราบผลอีกครั้งในวันจันทร์ จากนั้นผมก็ได้รับยาลดไข้ และยาแก้หวัด Chlorpheniramine พร้อมยาน้ำแก้ไอ โดยไม่ได้เสียเงินแม้แต่บาทเดียว พิณได้นั่งรออยู่ตลอดเวลา 5 ชั่วโมง จากนั้นก็ขับรถพาผมกลับบ้าน โดยพวกเราได้ใส่หน้ากากตลอดเวลา
เมื่อกลับถึงบ้านผมรู้สึกมีไข้และเริ่มทานยาที่หมอให้มา และมีอาการดีขึ้นจึงมีความรู้สึกว่าเราคงเป็นหวัดธรรมดา
แต่แล้วเมื่อถึงวันจันทร์ตอนเที่ยง ผมก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่า “ผมติดเชื้อ #โควิด#-19 ทางโรงพยาบาลจะจัดรถพยาบาลมารับที่บ้านในวันอังคาร” 
ผมตะลึงกับข่าวและพยายามคิดว่าเป็นฝันร้ายหรือไม่ ทันใดนั้นอาการไข้และไอก็เหมือนสลายหายไปคล้ายว่าจะค้านกับข่าวที่ได้รับ แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง 
จากนั้นผมเริ่มลำดับ timeline ผมตั้งแต่การเดินทางไปอังกฤษ และส่งอีเมลกับข้อความถึงทุกคนที่ผมพบใน London, Oxford และที่ Cambridge ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าทุกคนมีอาการปกติ ยกเว้นคนที่สำนักพิมพ์ Cambridge ที่มีไข้เล็กน้อย เพราะทุกคนที่ผมได้พบนั้น ผมไม่ได้มีการสัมผัสแต่ละคนหรือจับมือแต่อย่างใด 
แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ คุณหมอ James ชาวมาเลเซียที่ผมได้พบเขาโดยบังเอิญเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 15 ตอนที่ไปวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าริมแม่น้ำThamesในOxford ผมได้พบเขาและครอบครัวอีกครั้งที่ร้านอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก และด้วยความเผลอผมได้จับมือทักทายกับเขาเป็นคนเดียวเท่านั้น ซึ่งเขาได้แจ้งกลับมาว่าเขามีอาการไข้สูงในวันศุกร์วันเดียวกับที่ผมเริ่มมีอาการไข้เช่นเดียวกัน แต่ไม่สามารถไปโรงพยาบาลไ้ด้ ต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้าน
คืนนั้น ผมนอนไม่หลับ ก่อนนอนได้โทรแจ้งเพื่อนหลายคน รวมถึงคุณพ่อมิเกลที่วัดบ้านเซเวียร์ ท่านเป็นบาทหลวงที่เหมือนคุณพ่อวิญญาณของผมที่ให้แนวทางในการไตร่ตรองชีวิตตามแบบนักบุญอิกญาซิโอ เพราะผมรู้สึกหดหู่ใจ แต่ก็ได้ภาวนาขอพรให้ผู้ป่วยคนอื่นๆและทุกคนที่กำลังเพื่อต่อสู้กับไวรัสนี้ให้มีความปลอดภัยและแข็งแรง
วันที่อังคาร 24 มีนาคม 2020 เวลา 8.00 รถพยาบาลโทรมานัดหมายว่าจะมารับผมเป็นคนแรกประมาณ 9.00 ก็เลยรีบกินข้าว แต่ตอนหลังแจ้งมาว่าไปรับคนที่ลาดพร้าวก่อน ดังนั้นจึงนั่งรอจนถึง 9.52 รถพยา
บาลพร้อมเจ้าหน้าที่ 2 คน ก็โทรมาและให้สัญญาณเตรียมตัวขึ้นรถ เพราะเขาไม่ให้ผมแตะอะไรที่ตัวรถเลย 
ได้ฤกษ์ขึ้นรถเวลา 10.00 พอดี รถพยาบาลมีเก้าอี้ 4 ตัว โชคดีที่ได้นั่ง เก้าอี้หันหลังให้คนขับซึ่งเป็น 2 ตัวติดกัน รถไม่มีแอร์ นอกจากมีหน้าต่างบานเล็กๆแค่ 2 บาน ร้อนมาก เก้าอี้ทุกตัวถูกบุไว้ด้วยพลาสติก (ซึ่งทราบภายหลังว่าหลังจากส่งคนไข้เสร็จแล้ว เขาจะเอารถไปบุพลาสติกใหม่และฆ่าเชื้อก่อนที่จะไปรับคนป่วยรอบต่อไป) 
รถพยาบาลวิ่งตะลอนไปรับคนป่วยคนที่ 3 ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ซอยสมาหาร (สุขุมวิทซอย 4 นานาใต้) ถึงรู้ว่าคนป่วยคนแรก และคนที่ 3 ทำงานที่เดียวกันคือที่ Hilary Bar ในซอยนานา และจัดเลี้ยงวันเกิดพนักงาน เมื่อวันที่ 17 มีนาคม และติดโควิดที่เดียวกันเกือบ 20 คน 
จากนั้นรถพยาบาลก็มุ่งหน้าไปขึ้นทางด่วน โดยไม่ได้เปิดไซเรนแต่อย่างใด รถติดพอสมควร ถือว่าเป็นการใช้โทษบาปในเตาอบได้เลยครับ
11.08 น. รถเลี้ยวเข้าเขตโรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ ซึ่งถนนที่จะเข้ายังไปมาลำบากมาก โรงพยาบาลนี้สร้างบนบ่อปลา 3 บ่อใหญ่ และ ยังไม่ได้เปิดใช้หอผู้ป่วยอย่างทางการ ผมและภรรยาได้สนับสนุนบริจาคเพื่อร่วมสร้างโครงการนี้ทุกปี และแทบไม่เชื่อว่าผมจะได้มารักษาตัวที่นี่
11.15 รถมาจอดอยู่หน้าหอผู้ป่วยพรีเมียม และคนไข้ทั้ง 3 คน ยังต้องนั่งรออยู่เจ้าหน้าที่ประสานงาน กับพยาบาลบนตึก ในระหว่างรอบุรุษพยา
บาลที่ใส่ชุดคลุมทั้งตัว รวมทั้งมีหน้ากากพลาสติกปิดด้านหน้า ก็มาวัดไข้,ออกซิเจน แต่ละคน และรายงานโดยวิทยุสื่อสารให้พยาบาลทราบ เพราะเขาไม่ต้องการให้เข้าใกล้พยาบาลหรือหมอเลย ผมวัดได้ Oxygen 97 และหัวใจเต้น 72 ยังปกติดี
11.25 บุรุษพยาบาลได้พาเดินเข้าไปในตึก โดยมีลิฟท์เฉพาะคนป่วย และพวกเราต้องเดินตามเส้นสีแดงห้ามเดินออกจากเส้น 
ผมได้ไปนอนห้องรวมกับหนุ่ม(อายุ 31 ปี) ที่มาด้วยกัน แต่ด้วยพระอวย
พร ผมได้นอนเตียงคนป่วย ขณะที่อีกคนนอนเตียงโซฟา 
พยาบาลแนะนำว่าไม่ให้ออกจากห้อง ห้ามจับลูกบิดประตูทางเข้าโดยเด็ดขาดด้วย 
ภายในห้องมีจอพร้อมระบบวีดีโอคอล เพราะคุณหมอจะคุยกับคนไข้ผ่านทางนี้เท่านั้น นอกจากนี้คนไข้จะต้องวัดความดัน, ชีพจร, ระดับออกซิเจน และอุณหภูมิ (แบบหนีบรักแร้)เอง และให้จดเพื่อรายงานให้พยาบาลทราบ โดยพยาบาลจะโทรมาถามเป็นระยะ 
ภายในห้องมีเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว, หน้ากากให้คนละ 5 ชุด พร้อมน้ำดื่ม 6 ลิตร (6 ขวด) ซึ่งสามารถขอเพิ่มได้ตลอดเวลา ใช้ห้องน้ำร่วมกัน แต่มีอ่างล้างหน้าอยู่ข้างนอกคนละมุมห้อง ถือว่าเป็นห้องพักที่ใหม่มาก ซึ่งพยาบาลบอกว่าเป็นห้องพักแบบ premium ที่ถูกนำมาใช้เป็นการเฉพาะกิจสำหรับ COVID-19 และเปิดอยู่ 3 ชั้น (4-6) เราอยู่ชั้น 5 ห้องหมายเลข 7
12.00 เจ้าหน้าที่ได้เข็นเครื่อง X-Ray เพื่อมา X-Ray ปอดที่เตียงคนไข้เลย จากนั้นพยาบาลก็มาเจาะเลือด (การเจาะเลือดและ X-Ray มีทุก 2 วัน) ทางแขนด้านขวา (และภายหลังผมให้เจาะแขนซ้ายเพราะเห็นเส้นเลือดใหญ่ชัดเจนกว่า) ในเวลาเดียวกัน คุณหมอ ได้ Video Call เข้ามา ถามเรื่องประวัติการเดินทางและรายละเอียดต่าง ๆ ซึ่งหมอบอกผมว่า อาจต้องอยู่ถึง 8 วัน และจะมีการให้ยาต้านไวรัส เป็นระยะ โดยหมอบอกว่า อาการที่จะรุนแรงของผมน่าจะเป็นวันพฤหัส หรือวันศุกร์นี้ เพราะครบ 1 อาทิตย์ที่เริ่มมีไข้
13.00 เจ้าหน้าที่ได้ส่งอาหารเที่ยงมื้อแรก โดยใส่เป็นภาชนะกล่องแบบย่อยสยาย แยกเป็นคนละถุง ผมเสนอให้คนไข้อีกคนกินก่อน จะได้ไม่ติดกัน เพราะอีกคนยังใส่หน้ากากอยู่ 
14.00 รู้สึกง่วงนิดหน่อยก็เลยนอนไปประมาณ 20 นาที และถูกปลุก เพราะพยาบาลโทรมาให้ใส่ หน้ากาก (พยาบาลที่นี่จะเคร่งครัดเรื่องกลัวติดเชื้อมาก) เพราะจะมีพยาบาลจะเข้าไปดูเพื่อนร่วมห้องซึ่งต้องให้ออกซิเจนถังอยู่ตลอด น่าสงสารเขามากเพราะอาการน่าจะหนักกว่าผมมาก
15.00 ตื่นขึ้นมานั่งทำงานต่อ ภายในห้องไม่มีอะไรให้ดูหรือฟังเลย คนไข้จะรู้ข่าวสารผ่านมือถือของตัวเองเท่านั้น นอกจากนี้ ทางโรงพยาบาลยังไม่อนุญาตให้นำมีดทุกชนิดเข้ามาด้วย คงเกรงว่าคนไข้อาจเกิดอาการเครียด
17.00 หยุดทำงาน นั่งดูมือถือ และขณะเดียวกันก็ฟังเสียงโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาเป็นระยะเพื่อช่วยรายงานอาการของคนไข้อีกคน ซึ่งอาการไม่ดีขึ้นเลย เขาแค่ขยับตัวก็เหนื่อยแล้ว
17.30 ทางโรงพยาบาลต้องเอาเพื่อนร่วมห้องมาใกล้หัวเตียงผม เนื่องจากถังOxygenหมด ผมเลยขยับออกไปนั่งที่มุมห้องเพื่อนั่งห่างกัน
18.00 อาหารเย็นมาส่ง ผมให้เขาทานข้าวก่อน จะได้ไม่ขาด Oxygen ส่วนผมก็นั่งไตร่ตรองและคิดถึงพระ พรต่าง ๆ ที่พระเจ้ามอบให้ รวมถึง การมีวินัยที่เราออกกำลังกายทุกวันตลอดเวลา 20 ปี ที่ผ่านมาทำให้เราแข็งแรงเมื่อเทียบกับคนอื่น เพราะปกติอาการคนไข้ทั่วไปแค่ขยับตัวก็จะหัวใจเต้นเร็วและเหนื่อยหอบ

(ต่อกะทู้ล่าง)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่