บอกตามตรง อุตส่าห์ป้องกันตัวเองสุดๆ ไปไหนก็ใส่หน้ากากอนามัย แพงก็หามาใส่ เพราะที่บ้านมีคนแก่

แต่โควิด19 ก็วิ่งมาหาถึงที่ เพื่อนน้องชายเป็นเซียนมวยค่ะ ไปสนามมวยลุมพินี  มีรูปถ่ายกับแมทธิวในเฟสบุค แล้วก็มีอาการไม่ปกติ ไข้สูง เข้าแอดมิทในโรงพยาบาล ด้วยอาการติดไวรัสโควิด จึงประกาศหน้าเฟสให้เพื่อนๆทราบ

พอเราทราบ ให้น้องชายกับเพื่อนๆกลุ่มที่เจอกันในงานแห่งนึงไปตรวจ ผลคือ ทางโรงพยาบาลบอกไม่เข้าข่ายที่ต้องตรวจหาเชื้อโควิด เพราะไม่มีไข้
PUI ต้อง มีครบ 3 ข้อ 1.เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงหรือใกล้ชิดคนที่ติดเชื้อ 2. มีอาการไอ เจ็บ คอ หายใจไม่สะดวก 3. มีไข้

ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า คนป่วยต้องครบ 3 ข้อ ถึงจะให้แอดมิดและตรวจเชื้อ ตอนแรกเราคิดว่าฟังผิด จึงถามไปว่า ถ้าไม่แอดมิดแต่จะตรวจหาเชื้อและไปกักตัวที่บ้านล่ะ ทำได้ไหม ทางพยาบาลบอกเน้นอีกครั้งว่า จะตรวจเฉพาะกรณีที่แอดมิดเท่านั้น น้องชายของเรา มีแค่ 2 ข้อ ขาดข้อสุดท้าย คือ ไม่มีไข้

เราฟังไม่ผิดค่ะ เพราะย้อนมาฟังใหม่จากเสียงที่อัดไว้ 

จะบอกว่า ถ้าจะตรวจโดยใช้เกณฑ์เช่นนี้ โควิด19 คงระบาดหนักมากในประเทศไทยในอนาคต มันเป็นการวิ่งตามโรค ไม่ใช่การป้องกันและตัดวงจรระบาดเลย

ณ ตอนนี้ ใครๆก็รู้ว่า ระยะฟักตัว อาจจะไม่มีไข้ แต่เป็นพาหะได้ ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นรึไม่เป็น ก็มีโอกาสแพร่เชื้อได้ ไม่ใช่แค่คนภายนอก แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกัน

เปลี่ยนได้ไหมคะ  ทบทวน PUI ใหม่ วันนี้ประกาศ คนติดเชื้อ 60 คน เพิ่มจากเมื่อวานเกือบเท่าตัว

ไม่อยากให้เหมือนอิตาลีที่แพทย์ต้องเลือกว่าจะช่วยใคร

เคยมีหมอคนนึง เป็นหนึ่งในคณะทัวร์ของสมาคมแพทย์สมาคมนึงซึ่งเหมาลำไปเที่ยวที่จังหวัดซึ่งเราเคยทำงานอยู่ เอ่ยถึงหมออีกคนที่ลงมาเล่นการเมือง ว่าไม่ควรเลย เราได้แต่ฟัง แต่ไม่แสดงความเห็น เพราะใจนึงก็คิดเหมือนกัน หมอควรจะได้ตรวจและช่วยชีวิตคน แต่อีกใจก็คิดว่า เป็นหมอเก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีสิทธิ์กำหนดนโยบายได้ จะทำอะไรได้ นอกจากก้มหน้าทำงานทำตามที่ใครบางคนกำหนด ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม