เรื่องสั้น : แถวนั้น

กระทู้สนทนา


 
             ท้องฟ้าสีครามแจ่มใส นกกาโบยบิน อากาศสดชื่น สายลมรำเพย อารมณ์เบิกบาน  โลกยังไม่เป็นวันโลกาวินาศ อย่างที่กลัวกัน อุกกาบาตไม่ได้ถล่มโลก คลื่นยักษ์สูงตึกสิบชั้นไม่ได้กวาดเมืองหลวงลงทะเล อย่างคำทำนายของ(เกจิ)บางองค์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะไม่มีใครอยากต้อนรับอุบัติการณ์ล้างโลก
 
 
             สองสาว แต่งตัวออกจากห้อง เพื่อไปเที่ยวงานสงกรานต์ เราขอสมมุติให้สาวทั้งสองชื่อว่า กีกี้ กับ นีนี่  (หากซื่อไปคล้าย และ/หรือ พ้องรูปพ้องเสียง กับชื่อใคร ถือว่าเป็นความบังเอิญเท่านั้น มิได้เจตนาชื่นชมใครเกินกว่าเหตุ)
 
             ทั้งสองนั่งคุยกันบริเวณเก้าอี้หินอ่อนในเงาต้นสน ข้างตึกใหญ่ มีแปลงกุหลาบงดงาม คดเคี้ยวเลี้ยวเลาะออเซาะริมทางเดินโรยกรวด อบอุ่นและเป็นมิตรต่อฝ่าเท้า เวลาเยื้องกราย
 
             “เธอจะไปเล่นสงกรานต์ที่ไหน”  นีนี่เอ่ยถามขึ้น หลังจากมาพบกันโดยบังเอิญ จากนั้นนั่งคุยกันอย่างตรงอรรถรส
 
             “ฉันตั้งใจว่าจะไปแถวถนนข้าวเปลือก”  กีกี้ตอบขณะยกกระจกส่องหน้าตา เพื่อแน่ใจว่าความงามแห่งตัวเอง ไม่ได้หล่นหายกลางทาง ก่อนจะได้เล่นน้ำสงกรานต์
 
            “เห็นว่ากันว่า...ถนนข้าวเปลือกคึกคักมาก มีคนมาเล่นน้ำสงกรานต์มากมาย ทั้ง จีน ไทย แขก ฝรั่ง พุทรา  มังคุด ละมุด ลำไย โอ้ย...ท่าทางสนุก แล้วเธอจะไปเที่ยวที่ไหนล่ะ”

             “ฉันจะไปเที่ยวถนนข้าวซอย” นีนี่ตอบอย่างมั่นใจ

             “ถนนข้าวซอยมันอยู่ที่ไหน”  กีกี้สงสัย เพราะเกิดมาไม่เคยได้ยินชื่อถนนแบบนี้

             "มันก็อยู่แถว ๆ นั้นล่ะ”

             “อ้อ..”   กีกี้ถึงบางอ้อ “ แหม นึกออกแล้ว แหม... นึกตั้งนาน  แหม...นึกว่าที่ไหนเสียอีก..ที่แท้ก็อยู่แถวนั้นนั่นเอง แต่ว่า เอ๊ะ.....แล้วแถวนั้นที่ว่ามันอยู่แถวไหน”

             “มันเป็นความลับ”  นีนี่เอามือป้องป้องกระซิบราวกับเป็นความลับที่สำคัญถึงวาระสุดท้ายของมนุษย์โลก “รู้แล้วเธออย่าไปบอกใครเชียวนา แถวนั้น มันก็อยู่แถวนั้นล่ะ มันจะอยู่แถวไหนไม่ได้ เพราะแถวไหนก็ไม่ใช่แถวนั้น”

             “มิน่าล่ะ...”  กีกี้ตบเข่าฉาด  “ว่าทำไมมันแปลก ๆ ว่าทำไมตอนแรกก็นึกออก แต่ทำไมต่อมานึกไม่ออก ที่แท้แถวนั้นก็อยู่แถวนั้นนั่นเอง แหม.. นึกว่าจะอยู่แถวโน้นเสียอีก ดีนะที่ไม่อยู่แถวนี้ ...ไม่งั้นคงหากันแย่ ชักอยากจะไปแถวนั้นกับเธอเสียแล้วสิ ถนนข้าวซอยที่ว่า ท่าทางจะอร่อยกว่าถนนข้าวเปลือก”
 
             “ของมันแน่อยู่แล้วจ๊ะ ใครเขากินข้าวทั้งเปลือกกันล่ะจ๊ะ...แต่ข้าวซอยกินได้ โดยไม่ต้องใส่เปลือกข้าวให้เสียคุณค่า เอางี้ไหมล่ะ เดี๋ยวเราไปแถวนั้นด้วยกัน”  นีนี่ชวนอย่างมีน้ำใจ

             “ได้เลย... แต่ว่าเราจะไปกันตอนไหนดีล่ะ” กีกี้ถาม

             “ตอนไหนก็ได้ ไม่ใช่ตอนนี้.รออีกสักนิด”   ตอบพลางนีนี่ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา  “ตอนนี้ เพิ่งจะ 8.36 น. เอง ยังเช้าอยู่ ถ้าไปตอนนี้ คนยังไม่ค่อยมี ไม่สนุก ”
 
             กีกี้นั่งมองอย่างสงสัย ก่อนจับข้อมือของนีนี่มาดูอย่างพิจารณา แล้วทำหน้าสงสัยเป็นสองเท่า   “ไหน ๆ ๆ..นาฬิกาของเธออยู่ไหน ไม่เห็นมี”

             นีนี่มองดูข้อมือตัวเอง ลูบคลำไปมาให้แน่ใจ สักสองนาที ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ เบิกตาโตร้องเสียงดังด้วยความตกใจ
“ว๊าย...แล้วนาฬิกาฉันหายไปไหน ใครมาขโมยนาฬิกาของฉันไป แล้วเมื่อกี้ฉันรู้ได้ยังไงว่า เป็นเวลา 8.36 น. มันต้องมีอะไรผิดปกติ แย่แล้ว ทำไงดี”
 
             “ใจเย็น ๆ”  คู่สนทนาพยายามปลอบใจ ลูบหลังไปมาเหมือนลูบหลังคนเมาจนจะอ้วก “ลองนึกดูว่าเธอเจอมันครั้งสุดท้ายวันไหน”
 
            นีนี่นั่งนิ่ง ทบทวนความทรงจำของตัวเองนานแสนนาน ดูเหมือนว่าการจะออกไปเที่ยวงานวันสงกรานต์ จะไม่ราบรื่นเสียแล้ว ในที่สุดเธอก็เริ่มนึกออก
 
             “ฉันเห็นมันครั้งสุดท้ายเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนั้นเวลา 22.15 น. ฉันวางมันลงหัวเตียง ข้างตุ๊กตาแมวสีขาว ราคา 253 บาท ไม่นึกว่าเวลาแค่สองปี ฉันเพิ่งมารู้ตัว ว่าฉันทำมันหายตอนไหนก็ไม่รู้ โอ ไม่...” กล่าวจบเธอก็น้ำตาไหลพรากด้วยความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว ยิ่งกว่ามีชายหนุ่มหน้าตาพระเอกเกาหลีสองร้อยคนมาหักอกเธอ
 
             “ไม่เป็นไรน่า..” กีกี้ยังคงรับบทคนปลอบใจที่ดี  “เราไปเที่ยวกัน แล้วขอดูนาฬิกาคนอื่นก็ได้  ใครไม่ยอมเราก็วิ่งตามไปดูให้ได้ ดูสิว่าจะยอมไหม จะไม่ยอมให้ดูก็ให้รู้ไป อ้อ...พวกเราต้องหามีดสักเล่ม ไว้ป้องกันตัวพวกที่ชอบเล่นสงกรานต์แบบวิตถารวิปริต”
 
             “มีแบบนั้นด้วยเหรอ” มีมี่ถามหน้าตาตื่น
 
             “มีสิ.....มีมากด้วย มีทุกปี เราต้องระวังตัว ไม่แน่ใจก็อย่าไปเที่ยวในพื้นที่เสี่ยง ได้ข่าวว่ามีทั้งพวกโรคจิต ถ้ำมอง พวกค้ากำไรเกินควรอยู่ในงานเพียบ สาว ๆ เปลืองหน้าเปลืองตัวตาม ๆ กัน”
 
             “จังซี้มันต้องถอน”  สาวนีนี่ขบกรามกรอดด้วยความรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น แล้วดึงมืออีกฝ่ายให้ลุกขึ้น เตรียมตัวออกเดินทาง

             “เอ้อ....แล้วเราจะไปยังไง ถนนข้าวซอยที่ว่า”  กีกี้ถาม

             “นั่นน่ะสิ” สาวนีนี่ตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ ทำไมฉันไม่คิดเรื่องนี้มาก่อนนะ ดันไปคิดเรื่องโน้น ฉันเองก็ลืมไปแล้วว่า แถวนั้น มันอยู่ตรงไหน เอางี้ดีกว่า... เดี๋ยวพวกเราเรียกแท็กซี่ แล้วบอกให้เขาไปส่ง แถวนั้น คนขับแท็กซี่จะต้องรู้จักแน่ ๆ....”
 
            “หัวแหลมลิงมาก จะได้ไม่หลงไปแถวนู้น” กีกี้ดีดนิ้วชมเปาะ แต่แล้วก็ชะงัก แล้วมองหน้าคู่สนทนาถามขึ้นว่า
 
             “เธอแน่ใจหรือว่าคนขับแท็กซี่จะไว้ใจได้ บ้านเมืองเรายังไม่มีการดูแลเรื่องนี้ให้ดี ขนาดขี้ยาฆ่าคนออกมาจากคุกได้สองเดือน ยังมาขับแท็กซี่ได้ เกิดมันฆ่าพวกเราจะทำไง”
 
             “แย่แล้ว....”  นีนี่ร้องเสียงหลง ใบหน้าซีดเผือด ยกมือทาบอก สีหน้าท่าทางราวกับกำลังจะโดนฆ่าจริงๆ “โดนฆ่าก็ตาย ตายแล้วก็ไม่ได้ไปเที่ยวสงกรานต์  ไม่ได้หายใจ ไม่ได้ไปถนนข้าวซอย ไม่ได้ไป แถวนั้น แบบนี้ก็แย่สิ แต่มันจะฆ่าใครก่อนระหว่างฉันกับเธอ..แล้วใครจะพาเธอไป แถวนั้น”

             “เอ่อ..ฉันคิดว่าเธอก่อนนะ”  กีกี้ตอบอย่างระมัดระวัง

             “ทำไมต้องเป็นฉันก่อนล่ะ....”นีนี่จ้องหน้าถาม
 
             “น่า ไม่ต้องถามมาก ยอม ๆ ถูกฆ่าตายก่อนไปเถอะ ฉันจะหาทางไปแถวนั้นเอง”
 
             นีนี่ร้องไห้โฮทันที ยังไม่ไปถึงงานสงกรานต์ก็โดนฆ่าเสียแล้ว มันเป็นเรื่องน่าเศร้าใจจริง สำหรับสงกรานต์ปีนี้
 
             “ไม่ต้องห่วง”   กีกี้ยังคงปลอบต่อ” ฉันจะหนีเอาตัวรอดไปแถวนั้น แล้วหาคนมาช่วยเธอ ให้เธอแกล้งตายไม่หายใจไปก่อนสักสองสามชั่วโมง มันจะได้ตายใจ ฉันไปไม่นานหรอกกลับมาจากแถวนั้น จะรีบกลับมา”
 
             “ฉันตายก็กลายเป็นผีน่ะสิ แล้วฉันจะทำยังไง”
 
             “เรื่องนี้เธอต้องรู้ดีกว่าฉันสิจ๊ะ เพราะฉันไม่ได้ตาย แต่เธอต่างหากเป็นคนตาย ก็ต้องรู้กฎ กติกา มรรยาท ของผีมากกว่าฉันสิจ๊ะ”
 
             “ฉันตายแล้วจริง ๆ หรือนี่ ”นีนี่คร่ำครวญ “แต่ทำไมฉันถึงหายใจอยู่เลยตอนนี้”

             “อ้าว...เป็นไปได้ไง”  อีกฝ่ายหน้าตาตื่น มองหน้าแล้วเริ่มถอยหลังทีละน้อย “แสดงว่าเธอเป็นความตายที่ไม่ยอมตาย วิญญาณตามติด คนซ่อนผี  มีที่ไหน ตายไปแล้วยังหายใจอยู่แบบนี้ ไม่เอาล่ะ....ฉันไปเที่ยวแถวนั้นคนเดียวดีกว่า”
 
             “ไม่มีทางเสียล่ะ...”นีนี่เค้นเสียงทั้งน้ำตา “ฉันอุตส่าห์ยอมตายแล้ว เธอจะทิ้งฉันไปแบบนี้ไม่ได้ เราต้องไปแถวนั้นด้วยกัน”

              “แต่ เธอเป็นผี...”  กีกี้บอกเสียงสั่น ยังมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมอยู่ดี ๆ เพื่อนถึงกลายเป็นฝีไปได้ มันจะต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติ
 
             “ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันตายไปแล้ว เพราะฉันยังหายใจได้อยู่ ฉันไปกับเธอ แล้วจะช่วยคุ้มครองเธอไงเวลาไปแถวนั้น เพราะฉันเป็นผี ใครมาแกล้งเธอ ฉันจะหลอกมันให้หัวโกร๋นไปเลย”
 
             กีกี้นิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วเริ่มเห็นด้วยกับข้อเสนอของนูนี่ ใช่แล้ว...น่าจะเป็นเรื่องดี ไปเที่ยวโดยมีวิญญาณคอยคุ้มครองแบบนี้ เท่และปลอดภัยดีแน่นอน   “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่เธอห้ามหลอกฉันนะ”
 
              “ฉันจะหลอกเธอทำไม ฉันเพิ่งตาย ยังหลอกไม่เป็นสักหน่อย..ว่าแต่พวกเราไปกันเถอะ”

             ทั้งสองมองหาป้ายรถแท็กซี่แต่ไม่เห็น มีบางอย่างผิดปกติ..

             แล้วเราจะไปได้ยังไงล่ะนี่”  นีนี่เอ่ยปากถามเพื่อนรวมชะตากรรม เพราะมองอย่างไรก็ไม่เห็นมีรถแท็กซี่ผ่านมาแม้แค่คันเดียว “เราไปรถเมล์ดีกว่า กีกี้ทำท่าคิด แล้วเสนอแนะ “รถเมล์ปลอดภัยกว่า จะต้องมีสักสายที่ผ่านไปแถวนั้น”

             “ดี ๆ” นีนี่รีบเห็นด้วย “ไปรถเมล์ก็แสดงว่าฉันไม่ต้องโดยคนขับแท็กซี่ตายเสียใช่ไหมล่ะ ใช่ ๆ เราไปรถเมล์ดีกว่านะ”
 
             “อ้าว...แปลว่าตอนนี้เธอไม่ตายแล้วล่ะ มิน่า....เมื่อกี้ยังสงสัยว่าทำไมตายไปแล้วยังหายใจได้ ที่แท้เธอไม่ได้ตายสักหน่อย แหม..เพิ่งคิดออก....ป่ะ เราไปกันเถอะ”
 
             สองสาวตั้งท่าจะไปแถวนั้นทางรถเมล์ แต่เมื่อมองดูกันและกันอีกครั้งต่างฝ่ายก็ชะงัก เมื่อเห็นว่าทั้งสองอยู่ในชุดขาวทั้งตัวเหมือนกัน แถมมีหมายเลขปักบริเวณอกเสื้อ

             “ทำไมเธอแต่งตัวแบบนี้ไปงานสงกรานต์”  ทั้งสองส่งเสียงถามพร้อมกัน และมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ก็รู้สึกว่าตัวเองเพิ่งแต่งกายสวยงามออกมาจากบ้านแท้ ๆ เป็นแบบนี้ได้อย่างไร ต้องมีบางอย่างผิดปกติ
 
             ขณะนั้นเอง นางพยาบาลสาวสองคนปรี่มาจากด้านหลัง ตรงมาหาคนไข้ ‘ระดับไม่มีอันตราย’ ทั้งสองซึ่งเคยเป็น ‘นางสาวสงกรานต์’ ทัพพีสงกรานต์กันมาก่อน
 
             ได้เวลากลับห้องทานยาแล้วค่ะ”  พยาบาลยิ้มและบอกเสียงใส ทั้งสองเป็นพยาบาลประจำ”สถานบันวิเคราะห์โรคทางจิต” อันใหญ่โตและมีชื่อเสียง ซึ่งระยะนี้กำลังทำการทดลอง ตามข่าวที่น่าเชื่อถืออย่างมากทางแชร์ไลน์ว่า พลาสม่าของของคนไข้ สามารถยับยั้งการกลายพันธุ์ของไวรัสร้าย และอาจนำไปสู่การพัฒนาเป็นเซรุ่มและวัคซีนได้
 
             “ว้า...อดเลย” นีนี่หน้าเจื่อน ส่วนกีกี้หน้าจืด เพราะอดเที่ยวไม่ได้ไปแถวนั้น

             “พวกคุณสองคน จะไปไหนกันคะ”

             “พวกเราจะไปเที่ยวงานสงกรานต์แถวนั้นกันค่ะ” นีนี่ตอบ

             “แถวนั้นไปไม่ได้นะคะ  แถวนู้นนน...ก็ห้ามไป ควายขวิด20 กำลังระบาดหนัก... พวกเราเตรียมงานสงกรานต์ให้แล้ว  แถวนั้นไม่ต้องไป แถวนี้ก็มีสงกรานต์ ไปทานยาฉีดยาแถวนี้กันก่อนนะคะ แล้วแยกกันไปเล่นสงกรานต์ในห้องอาบน้ำเลยนะคะ รับรองมวนคัก ๆ อิหลีเด้อค่ะ”
 
             “เย......” คนไข้สาวทั้งสองกอดคอกัน ร้องพร้อมกันอย่างดีใจ ไม่ต้องไปแถวนั้นให้ลำบากยุ่งยากอีกแล้ว แถวนี้หรือแถวโน้นก็ได้ไม่เห็นเป็นไร อาบน้ำคนเดียวคงไม่ถึงลมดำขาดใจตายหรอก ถ้าไม่ได้ไปออกงานเล่นสงกรานต์สักปี
 
 
               ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ



The End.

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยือน ครับป๋ม^^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่