หากพูดถึงหุ้นที่ราคาปรับลดลงน้อยมากในวิกฤติครั้งนี้ หุ้น CPALL น่าจะผุดขึ้นมาในหัวนักลงทุนหลายๆคน ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะด้วยลักษณะธุรกิจที่น่าจะทนทานต่อวิกฤติในครั้งนี้ได้มากกว่าใคร แถมปีนี้ CPALL อาจจะดันกำไรเติบโตได้มากกว่าปีก่อนๆด้วยซ้ำ แต่ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงน้อยมาก จะคุ้มค่าลงทุนหรือไม่ ?
*** ราคาหุ้น CPALL ปรับตัวลดลงน้อยมาก
นับตั้งแต่ตลาดหุ้นไทย(SET Index)เป็นขาลงชัดเจนในวันที่ 14 ก.พ.63 ซึ่งขณะนั้นราคาหุ้น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL อยู่ที่ 69.75 บาท ซึ่งหากเทียบกับที่ลงไปจุดต่ำสุดของวิกฤตรอบนี้ที่ 56.25 บาท และราคาปิดวานนี้ที่ 62.25 บาท แล้ว ถือว่าราคาหุ้นฟื้นตัวได้เร็วมาก คิดเป็นปรับตัวลดลงเพียง -10.75% จากก่อนช่วงวิกฤตจะเกิด
แม้ในช่วงดังกล่าวจะมีข่าวเข้ามากระทบราคาหุ้นอยู่มาก ทั้งการเข้าซื้อ "เทสโก้ โลตัส" มูลค่าถึง 3.38 แสนล้านบาท การประกาศสั่งปิดร้านค้า 4 ทุ่ม - ตี 5
ขณะที่ราคาหุ้นวันนี้บวกต่อทำจุดสูงสุดรอบเช้าไปที่ 64.50 บาท ก่อนปิดตลาดไปที่ บาท เพิ่มขึ้น บาท หรือ % ปริมาณหุ้นที่ซื้อขายเพิ่มขึ้น % เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้า
*** กำไรสุทธิ CPALL ปีนี้ยังโตได้ดี ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
การระบาดของโควิด-19 แน่นอนว่าแม้แต่หุ้นค้าปลีกสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะกำลังซื้อที่หดตัวลงอย่างมาก ประกอบกับการประกาศสั่งปิดร้าค้าทุกประเภทในช่วงเวลา 4 ทุ่ม ถึง ตี 5 เป็นเวลา 1 เดือนด้วยแล้ว ย่อมทำให้ผลประกอบการผิดเพี้ยนไปจากภาวะปกติ แต่นักวิเคราะห์กลับมองว่ากำไรสุทธิปีนี้จะยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะ บล.เอเซีย พลัส ที่มองกำไรสุทธิปี 63 โตถึง 12.6%
ประเด็นแรก ปิดสาขากระทบกำไรไม่ถึง 5% : บล.เอเซีย พลัส ระบุไว้ว่า CPALL จะต้องปิดสาขาทั้งหมด 1.2 หมื่นแห่งในเวลา 4 ทุ่ม - ตี 5 จะทำให้ยอดขายช่วงดังกล่าวลดลง เพียงแต่ว่ายอดขายในช่วงนี้จะต่ำกว่าช่วงเช้า และบ่ายอย่างมากอยู่แล้ว และเชื่อว่าลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมไปกระจุดตัวซื้อสินค้าก่อนช่วงร้านค้าจะปิดแทน ดังนั้นจึงได้ประโยชน์จากส่วนนี้ เช่น ค่าใช้จ่ายพนักงานชั่วคราว ค่าไฟฟ้า ค่าเช่า จะลดลง ซึ่งจะเข้ามากระทบกับประมาณการกำไรปีนี้ไม่ถึง 5%
ประเด็นสอง ได้อานิสงส์จากการกระตุ้นกำลังซื้อเพิ่มเติม : บล.กรุงศรี ระบุว่า CPALL ได้อานิสงส์จากภาครัฐเสนอให้เพิ่มจำนวนผู้ที่ได้รับการเยียวยาจากผลกระทบของไวรัส โควิด-19 จำนวน 5,000 บาทต่อราย เพิ่มขึ้นจาก 3 ล้านรายเป็น 9 ล้านราย และขยายเวลาการเยียวยาเพิ่มขึ้นจาก 3 เดือน เป็น 6 เดือน และมาตรการคืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า 21 ล้านครัวเรือนมูลค่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งประชาชนเริ่มทยอยได้รับเงินคืนแล้ว
ประเด็นสาม การซื้อหุ้น เทสโก้ โลตัส ยังไม่กระทบกับงบปีนี้ : บล.ทิสโก้ ระบุว่า การซื้อหุ้น เทสโก้ โลตัสของ CPALL จำนวน 40% หรือ 9.6 หมื่นล้านบาท จะยังไม่เกิดการจ่ายเงินในปีนี้ และยังต้องรอการอนุมัติของ OTCC ในช่วงไตรมาส 3/63 เป็นอย่างเร็ว ทำให้การเจรจาจะจบลงในปลายปี 63 และจะทำให้มี Bridge Loan ก่อนการออกหุ้นกู้ในปีหน้าเป็นแหล่งเงินทุน ทำให้ไม่กระทบต่อสภาพคล่องของบริษัท
*** ไตรมาส 1/63 แย่หน่อย SSSG อาจติดลบ
บล.เคจีไอ คาดว่า กำไรสุทธิของ CPALL ในจะหดตัวมาอยู่ที่ 5.7 พันล้านบาท (-2% YoY and -8% QoQ) เนื่องจาก SSSG ที่อ่อนแอตามภาวะเศรษฐกิจ และแคมเปญงดแจกถุงพลาสติก และ SG&A ที่เพิ่มขึ้น
โดย SSSG ในไตรมาสนี้ก็อาจติดลบ เพราะจากข้อมูลในอดีต SSSG ของ CPALL จะต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของ GDP ไทยโดยเฉลี่ย 0.8% นับตั้งแต่ไตรมาส 1/56 ขณะที่คาดว่า GDP ไทยในไตรมาส 1/63 จะติดลบ 3% ดังนั้น SSSG ของ CPALL จะอยู่ที่ -3.5% (ต่ำสุดในรอบ 20 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 4/57) สอดคล้องกับที่ผู้บริหารบอกไว้ในการประชุมนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุดว่า SSSG ติดลบในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้
ส่วน SG&A คาดจะเพิ่มขึ้น 6% YoY (เป็น 19.6% ต่อยอดขาย จาก 19.2% ในไตรมาส 1/62) เนื่องจาก 1.การขยายสาขาร้านที่มี platform ใหญ่ และ 2.การใช้มาตรฐานบัญชี TFRS 16 (บริษัทบอกว่า TFRS 16 จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเช่าเพิ่มขึ้น 3-5% หรือปีละ 400 ล้านบาท) เราคาดว่า EBIT margin จะลดลงเหลือ 6.2% จาก 6.6% ในไตรมาส 1/62 สะท้อนถึงยอดขายที่อ่อนแอตามภาวะเศรษฐกิจ
*** มีอัพไซด์จากราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่ 31.70%
จากการสำรวจราคาเหมาะสมปี 63 ของนักวิเคราะห์พบว่ามีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 85 บาท ซึ่งหากอิงจากราคาสูงสุดวันนี้ 64.50 บาท เท่ากับว่ามีอัพไซด์อยู่ที่ 20.5 บาท หรือ 31.7%
หากนักวิเคราะห์ประเมินไว้ถูกต้องจริงว่ากำไรสุทธิ CPALL จะโตถึง 12% ในภาวะเช่นนี้ เท่ากับว่าราคาหุ้นที่แทบไม่ปรับตัวลงเลยในช่วงวิกฤตก็สมเหตุสมผลแล้ว แต่การที่จะซื้อเพื่อหวังให้ราคาหุ้นขึ้นไปแตะราคาเหมาะสมของนักวิเคราะห์ที่มีอัพไซด์ถึง 31% อาจจะต้องพึ่งพาประเด็นบวกมากกว่านี้...
.
**อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ ==>>
http://www.efinancethai.com/HotStocks/HotStockMain.aspx?release=y&id=Uk5OS3FvTkpsVDQ9
--------------------------
สำนักข่าว efinanceThai ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นได้ที่นี่
Website :
https://www.efinancethai.com
Facebook :
https://www.facebook.com/efinanceThaiTV/
Facebook :
https://www.facebook.com/efinanceThai/
lTwitter : @eFinanceThai
IG : @efinancethai_official
line : @efin
CPALL กำไรโตสวนวิกฤติ แต่ใช่จังหวะเก็บหุ้นหรือไม่?
หากพูดถึงหุ้นที่ราคาปรับลดลงน้อยมากในวิกฤติครั้งนี้ หุ้น CPALL น่าจะผุดขึ้นมาในหัวนักลงทุนหลายๆคน ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะด้วยลักษณะธุรกิจที่น่าจะทนทานต่อวิกฤติในครั้งนี้ได้มากกว่าใคร แถมปีนี้ CPALL อาจจะดันกำไรเติบโตได้มากกว่าปีก่อนๆด้วยซ้ำ แต่ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงน้อยมาก จะคุ้มค่าลงทุนหรือไม่ ?
*** ราคาหุ้น CPALL ปรับตัวลดลงน้อยมาก
นับตั้งแต่ตลาดหุ้นไทย(SET Index)เป็นขาลงชัดเจนในวันที่ 14 ก.พ.63 ซึ่งขณะนั้นราคาหุ้น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL อยู่ที่ 69.75 บาท ซึ่งหากเทียบกับที่ลงไปจุดต่ำสุดของวิกฤตรอบนี้ที่ 56.25 บาท และราคาปิดวานนี้ที่ 62.25 บาท แล้ว ถือว่าราคาหุ้นฟื้นตัวได้เร็วมาก คิดเป็นปรับตัวลดลงเพียง -10.75% จากก่อนช่วงวิกฤตจะเกิด
แม้ในช่วงดังกล่าวจะมีข่าวเข้ามากระทบราคาหุ้นอยู่มาก ทั้งการเข้าซื้อ "เทสโก้ โลตัส" มูลค่าถึง 3.38 แสนล้านบาท การประกาศสั่งปิดร้านค้า 4 ทุ่ม - ตี 5
ขณะที่ราคาหุ้นวันนี้บวกต่อทำจุดสูงสุดรอบเช้าไปที่ 64.50 บาท ก่อนปิดตลาดไปที่ บาท เพิ่มขึ้น บาท หรือ % ปริมาณหุ้นที่ซื้อขายเพิ่มขึ้น % เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้า
*** กำไรสุทธิ CPALL ปีนี้ยังโตได้ดี ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
การระบาดของโควิด-19 แน่นอนว่าแม้แต่หุ้นค้าปลีกสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะกำลังซื้อที่หดตัวลงอย่างมาก ประกอบกับการประกาศสั่งปิดร้าค้าทุกประเภทในช่วงเวลา 4 ทุ่ม ถึง ตี 5 เป็นเวลา 1 เดือนด้วยแล้ว ย่อมทำให้ผลประกอบการผิดเพี้ยนไปจากภาวะปกติ แต่นักวิเคราะห์กลับมองว่ากำไรสุทธิปีนี้จะยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะ บล.เอเซีย พลัส ที่มองกำไรสุทธิปี 63 โตถึง 12.6%
ประเด็นแรก ปิดสาขากระทบกำไรไม่ถึง 5% : บล.เอเซีย พลัส ระบุไว้ว่า CPALL จะต้องปิดสาขาทั้งหมด 1.2 หมื่นแห่งในเวลา 4 ทุ่ม - ตี 5 จะทำให้ยอดขายช่วงดังกล่าวลดลง เพียงแต่ว่ายอดขายในช่วงนี้จะต่ำกว่าช่วงเช้า และบ่ายอย่างมากอยู่แล้ว และเชื่อว่าลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมไปกระจุดตัวซื้อสินค้าก่อนช่วงร้านค้าจะปิดแทน ดังนั้นจึงได้ประโยชน์จากส่วนนี้ เช่น ค่าใช้จ่ายพนักงานชั่วคราว ค่าไฟฟ้า ค่าเช่า จะลดลง ซึ่งจะเข้ามากระทบกับประมาณการกำไรปีนี้ไม่ถึง 5%
ประเด็นสอง ได้อานิสงส์จากการกระตุ้นกำลังซื้อเพิ่มเติม : บล.กรุงศรี ระบุว่า CPALL ได้อานิสงส์จากภาครัฐเสนอให้เพิ่มจำนวนผู้ที่ได้รับการเยียวยาจากผลกระทบของไวรัส โควิด-19 จำนวน 5,000 บาทต่อราย เพิ่มขึ้นจาก 3 ล้านรายเป็น 9 ล้านราย และขยายเวลาการเยียวยาเพิ่มขึ้นจาก 3 เดือน เป็น 6 เดือน และมาตรการคืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า 21 ล้านครัวเรือนมูลค่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งประชาชนเริ่มทยอยได้รับเงินคืนแล้ว
ประเด็นสาม การซื้อหุ้น เทสโก้ โลตัส ยังไม่กระทบกับงบปีนี้ : บล.ทิสโก้ ระบุว่า การซื้อหุ้น เทสโก้ โลตัสของ CPALL จำนวน 40% หรือ 9.6 หมื่นล้านบาท จะยังไม่เกิดการจ่ายเงินในปีนี้ และยังต้องรอการอนุมัติของ OTCC ในช่วงไตรมาส 3/63 เป็นอย่างเร็ว ทำให้การเจรจาจะจบลงในปลายปี 63 และจะทำให้มี Bridge Loan ก่อนการออกหุ้นกู้ในปีหน้าเป็นแหล่งเงินทุน ทำให้ไม่กระทบต่อสภาพคล่องของบริษัท
*** ไตรมาส 1/63 แย่หน่อย SSSG อาจติดลบ
บล.เคจีไอ คาดว่า กำไรสุทธิของ CPALL ในจะหดตัวมาอยู่ที่ 5.7 พันล้านบาท (-2% YoY and -8% QoQ) เนื่องจาก SSSG ที่อ่อนแอตามภาวะเศรษฐกิจ และแคมเปญงดแจกถุงพลาสติก และ SG&A ที่เพิ่มขึ้น
โดย SSSG ในไตรมาสนี้ก็อาจติดลบ เพราะจากข้อมูลในอดีต SSSG ของ CPALL จะต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของ GDP ไทยโดยเฉลี่ย 0.8% นับตั้งแต่ไตรมาส 1/56 ขณะที่คาดว่า GDP ไทยในไตรมาส 1/63 จะติดลบ 3% ดังนั้น SSSG ของ CPALL จะอยู่ที่ -3.5% (ต่ำสุดในรอบ 20 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 4/57) สอดคล้องกับที่ผู้บริหารบอกไว้ในการประชุมนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุดว่า SSSG ติดลบในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้
ส่วน SG&A คาดจะเพิ่มขึ้น 6% YoY (เป็น 19.6% ต่อยอดขาย จาก 19.2% ในไตรมาส 1/62) เนื่องจาก 1.การขยายสาขาร้านที่มี platform ใหญ่ และ 2.การใช้มาตรฐานบัญชี TFRS 16 (บริษัทบอกว่า TFRS 16 จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเช่าเพิ่มขึ้น 3-5% หรือปีละ 400 ล้านบาท) เราคาดว่า EBIT margin จะลดลงเหลือ 6.2% จาก 6.6% ในไตรมาส 1/62 สะท้อนถึงยอดขายที่อ่อนแอตามภาวะเศรษฐกิจ
*** มีอัพไซด์จากราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่ 31.70%
จากการสำรวจราคาเหมาะสมปี 63 ของนักวิเคราะห์พบว่ามีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 85 บาท ซึ่งหากอิงจากราคาสูงสุดวันนี้ 64.50 บาท เท่ากับว่ามีอัพไซด์อยู่ที่ 20.5 บาท หรือ 31.7%
หากนักวิเคราะห์ประเมินไว้ถูกต้องจริงว่ากำไรสุทธิ CPALL จะโตถึง 12% ในภาวะเช่นนี้ เท่ากับว่าราคาหุ้นที่แทบไม่ปรับตัวลงเลยในช่วงวิกฤตก็สมเหตุสมผลแล้ว แต่การที่จะซื้อเพื่อหวังให้ราคาหุ้นขึ้นไปแตะราคาเหมาะสมของนักวิเคราะห์ที่มีอัพไซด์ถึง 31% อาจจะต้องพึ่งพาประเด็นบวกมากกว่านี้...
.
**อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ ==>> http://www.efinancethai.com/HotStocks/HotStockMain.aspx?release=y&id=Uk5OS3FvTkpsVDQ9
--------------------------
สำนักข่าว efinanceThai ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นได้ที่นี่
Website : https://www.efinancethai.com
Facebook : https://www.facebook.com/efinanceThaiTV/
Facebook : https://www.facebook.com/efinanceThai/
lTwitter : @eFinanceThai
IG : @efinancethai_official
line : @efin