พระครูภาวนาภิสณฑ์ (หลวงปู่สุด ชุตินฺธโร)

กระทู้สนทนา
พระครูภาวนาภิสณฑ์ (หลวงปู่สุด ชุตินฺธโร) วัดโชติรสธรรมากร(วัดป่าบึงกาฬ)
 
'''พระครูภาวนาภิสณฑ์ (หลวงปู่สุด ชุตินฺธโร)'''  อดีตเจ้าอาวาสวัดโชติรสธรรมากร(วัดป่าบึงกาฬ) อดีตรองเจ้าคณะอำเภอบึงกาฬ อดีตพระวิปัสนาจารย์แห่งวัดป่าบึงกาฬ นามเดิม สุด นามสกุล สวัสดิ์นะที เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๔ สัญชาติ ไทย  เชื้อชาติ ไทย  เกิดที่บ้านยาง หมู่ที่ ๒  ตำบลนาเมือง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด บิดาชื่อนายชู นามสกุล สวัสดิ์นะที มารดาชื่อนางพร  นามสกุล สวัสดิ์นะที  มีพี่น้องทั้งหมด  ๗  คนดังนี้
๑.นางบุ  (ไม่ทราบนามสกุล)
๒.นางพุทธ (ไม่ทราบนามสกุล) 
๓.พระครูภาวนาภิสณฑ์  (สุด  สวัสดิ์นที)
๔.นายบุญเลี้ยง  สวัสดิ์นที 
๕นายลุน           สวัสดิ์นที 
๖.นายไพร         สวัสดิ์นที 
๗.นายอุดม        สวัสดิ์นที
 
==บรรพชาอุปสมบท==

     เมื่ออายุได้  ๒๐  ปี  วันที่ ๑๔  มีนาคม  พ.ศ.๒๔๙๔   ณ   วัดจริยาสมโพธิ์ โดยมีพระครูวิเศษเสลคุณ  วัดจริยสมโพธิ์ ตำบลนาเมือง  อำเภอเสลภูมิ  จังหวัดร้อยเอ็ด   เป็นพระอุปัชฌาย์      มีพระครูวิบูลเสลเขต( แผง  วราโภ ) วัดราษฏร์สิษฐ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ มีพระครูเกษมเสลธรรม   ( อ่อนจันทร์  เขมโก ) วัดบ้านนาดี  เป็นพระอนุสาวนาจาจารย์  
 
==การเดินธุดงค์ /ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน==
      หลังอุปสมบทได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านยาง  จังหวัดร้อยเอ็ด อยู่  ๒ พรรษา  และได้ย้ายมาอยู่วัดบ้านมะค่า  อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เพื่อปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ได้  ๕  พรรษา  จากนั้นได้เดินธุดงค์ไปยังเวียงจันทร์  ประเทศลาวและจำพรรษาที่เวียงจันทร์  ๑  พรรษา  เมื่อออกพรรษาแล้วได้เดินธุดงค์เลียบฝั่งแม่น้ำโขงไปถึงพระบาทโพนสัน  และได้พักปฏิบัติธรรมที่พระบาทโพนสันระยะหนึ่ง  แล้วจึงได้เดินทางข้ามกลับมายังประเทศไทยที่  ตำบลโพนแพง  อำเภอโพนพิสัย  จังหวัดหนองคาย  และได้ทราบข่าวว่ามีพระอาจารย์ชื่อดังฝ่ายวิปัสนาธุระ  อยู่ที่วัดโพธิ์ศรีสร้อย(ถ้ำเจีย)  ท่านจึงเดินทางไปนมัสการและฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อด่อน  อินฺทสาโร(พ่อแม่ด่อน) ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น  ท่านได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อด่อนอยู่  ๑  พรรษา  หลังจากนั้นท่านได้นั่งเรือร่อนไปทางใต้ไปขึ้นฝั่งที่  อำเภอบึงกาฬ  เมื่อท่านได้ทราบข่าวว่าว่ามีนักปฏิบัติธรรมอยู่ที่  วัดโชติรสธรรมากร (วัดป่าบึงกาฬ)  ซึ่งมีพระครูภาวนานุศิษย์(ญาท่านสิงห์)   เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน  จึงได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์และอยู่จำพรรษาที่วัดโชติรสธรรมากร  ตั้งแต่ปี  พ.ศ.๒๕๐๒-พ.ศ.๒๕๐๘  รวมเวลา ๖ พรรษา  เมื่อถึงเดือนมกราคม  พ.ศ.๒๕๐๘  จึงได้กราบลาพระอาจารย์และได้ออกเดินธุดงค์ร่วมกับหลวงพ่อเลิศ  ชินวํโส(พระครูบวรธรรมรักขิต)  ซึ่งหลวงพ่อเลิศ  ได้นับถือหลวงปู่สุดเหมือนพี่ชายแท้ๆของท่าน


==การปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อพุทธทาส==
      เมื่อหลวงปู่สุดและหลวงพ่อเลิศได้ออกเดินธุดงค์ก็ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะไปกราบนมัสการและปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อพุทธทาส  ที่สวนโมกขพลาราม  อำเภอไชยา  จังหวัดสุราษฏ์ธานี  ในระหว่างทางนั้น  ช่วงหนึ่งได้แวะปฏิบัติศาสนกิจที่เขาสันติ  ตำบลสะแก  อำเภอหัวหิน  จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  และได้ร่วมกับพระอาจารย์บุญเอก  จับจองที่ดินเพื่อทำการสร้างวัดประมาณ  ๕๐  ไร่  จากนั้นได้เดินธุดงค์ไปอำเภอสะพานน้อย  และได้รับนิมนต์จากโยมให้ปลักกลดอยู่ในไร่  ซึ่งในไร่นั้นมีการฆ่ากันตายระหว่างพี่น้องเพราะแย่งที่ดินกัน  และศพทั้งสองนั้นได้ถูกฝังไว้คนละฝั่งเขตแดน  ชั่วระยะห่างกันประมาณ  ๒  ศอก  หลวงพ่อสุดได้ปักกลดอยู่ระหว่างกลางหลุมศพพี่น้องทั้งสองนั้น  ส่วนหลวงพ่อเลิศปักกลดอยู่ห่างหลวงปู่สุดประมาณ  ๔๐  เมตร  คืนนั้นท่านทั้งสองได้ปฏิบัติธรรมโดยการนั่งสมาธิ  เดินจงกรม  ตามที่เคยปฏิบัติมา  ในช่วงดึกของคืนนั้น  ขณะที่หลวงพ่อเลิศนั่งสามธิอยู่ในกลดของท่าน  ก็ได้ยินเสียงหลวงปู่สุดเทศน์อย่างชัดเจน  ในช่วงหนึ่งของการเทศน์นั้นจับใจความได้ว่า  กรรมของมนุษย์นั้น  มีมากล้นฟ้า  ล้นแผ่นดิน  ล้นมหาสมุทร  พอรุ่งเช้าหลวงพ่อเลิศจึงได้ถามหลวงปู่ว่า  มื้อคืนนี้  อ้ายเทศน์ให้ไผฟัง  คือเสียงดังแท้อ้าย.....  หลวงปู่จึงเล่าให้หลวงพ่อเลิศฟังว่า  เมื่อคืนนี้  ผีสองผีน้องนั้นได้มาปรากฏให้เห็นและเรียนถามถึงเรื่องกรรม  เพราะทั้งสองนั้นมีความทุกข์ยากลำบากมาก  ทำอย่างไรจึงจะพ้นจากกรรมเหล่านี้ได้  ผมจึงเทศน์โปรดวิญญาณของสองพี่น้องให้ได้รับทราบ  ตามที่ท่านได้ยินนั่นแหละ  ต่อจากนั้นได้เดินธุดงค์จากไร่สองพี่น้องไปยังสวนโมกขพลาราม  ใช้เวลาธุดงค์ไป  ๑๕  วัน  และได้ศึกษาธรรมกับหลวงพ่อพุทธทาสอยู่นาน  ๒  พรรษา
      พ.ศ.๒๕๑๑  หลวงปู่สุดและหลวงพ่อเลิศจึงได้กราบลาหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ  ธุดงค์ขึ้นไปยังจังหวัดเชียงราย  ไปพักอยู่ที่วัดเจ้าคณะอำเภอเชียงแสน  โดยมีท่านพระครูอริยะคุณาธาร  เป็นเจ้าคณะอำเภอ  ต่อมา  ท่านทั้งสองได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระธรรมทูต  ประจำอำเภอ  และได้ออกเผยแพร่ธรรมตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยดีเสมอมา ช่วงหนึ่งท่านทั้งสองได้ขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนดอยแม่น้ำลัด  ซึ่งเป็นภูเขาที่มีความสูงรองจากดอยตุง  สถานที่ที่ท่านทั้งสองได้พักปฏิบัติธรรมนั้น  เป็นเส้นทางผ่านกองคาราวานฝิ่นของขุนส่า  ไม่มีหมู่บ้านหรือผู้คนอาศัยอยู่เลยในช่วงที่ปฏิบัติธรรมจึงไม่ได้ฉันภัตตาหารถึง  ๓  วันเต็มๆ  ฉันแต่น้ำพอประทังชีวิต  ในวันที่  ๒  นั้น  ขุนส่าผ่านไปพบเข้าจึงได้เข้าไปหา  บริวารของขุนส่านั้นมีหลายเผ่า  มีทั้งคนพื้นเมือง  แม้ว  พม่า  กะเหรี่ยง  ไทยใหญ่  หลวงพ่อเลิศจึงนิมนต์หลวงปู่สุดเป็นคนแสดงพระธรรมเทศนา  ในช่วงของการแสดงธรรมนั้นหลวงปู่ได้ยกเอาพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  พระบรมราชินีนาถพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์  ขึ้นมาว่า  “พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรโดยทั่วหน้าทุกหมู่เหล่า  พระองค์ได้ทรงห่วงใยความสุขความทุกข์  และได้ให้ความช่วยเหลือดูแลเป็นอย่างดียิ่ง  ซึ่งการกระทำเช่นนี้  ไม่มีพระมหากษัตริย์ของประเทศไหนในโลกกระทำกัน  นอกจากพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยเท่านั้น”  คณะบริวารขุนส่านั่งฟังเทศอย่างสนใจ  หลังจากเทศจบ  บริวารของขุนส่าได้ถวายกัณฑ์เทศน์เป็นเงินสกุลต่างๆ  ประมาณครึ่งบาตรพระ  เพื่อให้นำไปซื้อภัตาหารฉัน  จากนั้นขุนส่าพร้อมบริวารจึงได้กราบลาไป  ท่านทั้งสองอยู่ปฏิบัติธรรมต่ออีกหนึ่งคืน  รุ่งเช้าจึงได้ลงจากดอยมาถึงบ้านแม่คำน้ำลัด  และได้มอบเงินทั้งหมดให้โรงเรียนบ้านแม่คำน้ำลัด  จากนั้นได้พักอยู่วัดพระธาตุจอมกิตติ  อำเภอเชียงแสนประมาณครึ่งเดือน
     เดือนพฤษภาคม  ๒๕๑๒  หลวงพ่อเลิศได้ลาหลวงปู่สุดกลับไปที่บ้านดอนหญ้านาง  อำเภอพรเจริญ  จังหวัดหนองคาย( จังหวัดบึงกาฬในปัจจุบัน )  ส่วนหลวงปู่สุดได้อยู่ที่วัดพระธาตุจอมกิตติ  จนถึงปีพ.ศ.๒๕๑๕  หลวงปู่จึงได้เดินทางกลับมายังวัดโชติรสธรรมากร( วัดป่าบึงกาฬ )  ตามเดิม  ในปีพ.ศ.๒๕๓๔  หลวงปู่สุดได้เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาพระปริยัติธรรม  จึงได้ศึกษาดูงานพระพุทธศาสนาจากจังหวัดต่างๆ  และได้มีความคิดริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นโดยมีอาจารย์อุดม  นิลไสล  เป็นผู้ประสานงานต่างๆ  โดยเริ่มแรกทางวัดโชติรสธรรมากรนั้นยังไม่มีอาคารเรียน  จึงได้ขอใช้อาคารเรียนที่วัดศรีโสภณธรรมทาน  และใช้ชื่อโรงเรียนว่าโรงเรียนวัดศรีโสภณธรรมทาน  ต่อมาอาคารเรียนที่วัดโชติรสธรรมากรได้ก่อสร้างเสร็จสิ้นจึงได้ย้ายกลับมาสอนที่วัดป่าตามเดิม  และได้ชื่อโรงเรียนวัดศรีโสภณธรรมทานมาตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน
 
==อาการอาพาธและวาระสุดท้ายแห่งชีวิต==
      ต้นปี  พ.ศ.๒๕๓๘  อาการอาพาธของหลวงปู่เกี่ยวกับโรคนิ่วในไต  ซึ่งเป็นโรคประจำตัวเรื้อรังมานานหลายปี  ได้มีอาการรุนแรงขึ้น  ทางคณะศิษย์ทั้งหลายทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส  ได้นำท่านเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลบึงกาฬ  โรงพยาบาลหนองคาย  หลายครั้ง  แต่อาการอาพาธของท่านก็ไม่ดีขึ้นมีแต่ทรงกับทรุด  ทางคณะศิษย์จึงได้นำตัวท่านเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเปาโล  กรุงเทพมหานคร  อาการของท่านก็ไม่ดีขึ้น  จึงได้นำท่านกลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลบึงกาฬตามเดิม  อาการอาพาธของท่านก็ทรุดลงเรื่อยๆ  จนกระทั่งวันที่  ๑๑  สิงหาคม  ๒๕๓๘  หลวงปู่ใคร่จะกลับมายังวัดเพื่อดูศาลาโชติรโสนุสรณ์(ศาลาหลวงปู่เมฆ)  ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่แต่ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์  ทางศิษย์จึงได้นำท่านกลับมาที่วัดตามความประสงค์  โดยมิได้มีผู้ใดคาดคิดว่า  การกลับมาวัดครั้งนี้จะเป็นการกลับมาดูศาลาครั้งสุดท้ายของท่าน  หลังจากดูศาลาเสร็จแล้ว คณะศิษย์จึงนำตัวท่านกลับมายังโรงพยาบาลบึงกาฬ  พอมาถึงโรงพยาบาลได้ประมาณ  ๑๐  นาที  อาการอาพาธของหลวงปู่ก็ทรุดหนักสุดที่ทางคณะแพทย์จะทำการเยียวยารักษาได้  และหลวงปู่สุดก็ได้จากพวกเราไปท่ามกลางคณะสงฆ์และญาติโยม  ด้วยอาการสงบ
 
==งานการปกครอง==
พ.ศ.๒๕๑๐            ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดโชติรสธรรมากร
พ.ศ.๒๕๑๓            ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดโชติรสธรรมากร
พ.ศ.๒๕๑๖            ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลบึงกาฬ  เขต  ๒
พ.ศ.๒๕๒๗            ได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าคณะอำเภอบึงกาฬ  รูปที่  ๑
 
==สมณศักดิ์==
พ.ศ.๒๕๑     ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์  พระครูสัญญาบัตร  ที่  พระครูภาวนาภิสณฑ์   เจ้าคณะตำบลชั้นโท  ฝ่ายวิปัสนาธุระ
พ.ศ.๒๕๓๔   ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์  พระครูสัญญาบัตร  ที่พระราชทินนามเดิมที่ พระครูภาวนาภิสณฑ์ เจ้าคณะตำบลชั้นเอก  ฝ่ายวิปัสสนาธุระ  เป็น รองเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก  ฝ่ายวิปัสสนาธุระ

 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่