อาการหนัก

กระทู้สนทนา


             “คนไข้อาการหนัก คุณปล่อยให้รอดหูรอดตามาได้ยังไง”
 
             เสียงผู้อำนวยการสถาบันโรคทางประสาทแผดขึ้นอย่างไม่พอใจภายในส่วนทำงานส่วนตัวของจิตแพทย์หนุ่ม เขากำลังนั่งอ่านบันทึกของคนไข้อยู่เพลินๆ ท่านผู้ใหญ่แห่งวงการคนบ้าประสาท ก็โผล่เข้ามาให้ห้อง ด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด อากาศวันนี้ร้อนเป็นพิเศษ เพราะเห็นผู้อำนวยการเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อหัวล้านแตกซิก
 
             “ผมกำชับแล้วไม่ใช่หรือว่า ให้สนใจคนไข้ให้ดี เดี๋ยวเสียชื่อสถาบันหมด พักนี้คนเรากำลังนิยมบ้ากันคุณก็รู้  ใคร ๆ ก็อยากเป็นผีบ้าผีบอกันทั้งนั้น เพราะมีคนทะลึ่งปล่อยแชร์มั่ว ว่าความบ้าต่อต้านไวรัสโควิดได้  ถ้าเราบริการไม่ดี เดี๋ยวคนไข้ก็แห่ไปยื่นใบสมัครบ้าที่อื่นหมด อีกหน่อยเราก็เจ๊ง ไม่มีปัญญาทำบ้า”
 
              เสียงขุ่นมัวนั้นยังดังต่อไป พลางเดินวนไปมาหน้าโต๊ะอย่างคนอารมณ์พลุ่งพล่านไม่ยอมนั่งระงับสติอารมณ์
 
             “ใจเย็น ๆ ครับ”  จิตแพทย์หนุ่มพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “เดี๋ยวจะบ้าตายเสียก่อน จะบ้าให้อร่อยต้องใจเย็น ๆ  มีเรื่องอะไร คนไข้คนไหน ตึกไหน ผมจะส่งคนไปดูแล”
 
             “ผมเห็นเขานั่งอยู่หน้าประตูทางเข้านานแล้ว”
 
             “อะไรนะ” จิตแพทย์หนุ่มร้องเสียงดัง พลางทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ “คนไข้ทั้งคนไปนั่งอยู่หน้าประตูทางเข้า ไม่มีใครสนใจทำอะไรเลยหรือครับ ทำไมบ้าโดดเดียวขนาดนั้น”
 
             “นี่ละ ผมถึงอยากมาถามคุณ”
 
            “ตอนนี้เขาอยู่ไหนครับ มีหมอหรือพยาบาลไปดูแลหรือยัง”
 
             “ถ้ามีผมคงไม่มาหาคุณหรอก” ผู้อำนวยการยังไม่ยอมนั่ง แต่เปลี่ยนจากเดินวนมาเป็นยืนเอามือเท้าเอวอย่างคนมีอารมณ์ไม่พอใจระดับเสี่ยง
 
             “อาการเขาเป็นอย่างไรบ้างครับท่าน”
 
            “ผมพยายามถาม เขาก็ เฉย ไม่ตอบ”
 
             “เขาคงหูหนวก”  คุณหมอหนุ่มเอ่ยขึ้นลอย ๆ มากกว่าจะให้ความเห็นอย่างจริงจัง แต่เสียงตอบรับจากท่านผู้อำนวยการสถาบันกลับจริงจังมาก
 
            “ใช่ เขาหูหนวก”
 
             “เอ้อ...ท่านรู้อย่างไรว่าเขาหูหนวก”
 
             “ทำไมผมจะไม่รู้ ผมตะโกนใส่เขา จนคอแทบแตกเขายังนั่งเฉย ไม่สะดุ้งสะเทือน เหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไร แปลว่าเขาหูหนวก”
 
            “เอ้อ...แล้วเขาไม่พูดอะไรสักคำเลยเหรอครับ”
 
             “ผมก็กำลังจะบอกคุณต่อไปนี่ยังไงว่า นอกจากหูหนวกแล้วเขายังเป็นใบ้อีก”
 
            “แต่ที่ว่ามานี้ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับโรคทางจิตเลยนี่ครับ” หมอหนุ่มแย้งอย่างสุภาพ แต่ท่านหมอใหญ่กลับหัวเราะหมิ่น ๆ แถมน้ำเสียงก็มีแววดูถูกอยู่ในที
 
             “คุณไม่รู้อะไร คนไข้บางคนเป็นโรคทางจิตขนาดหนัก จนทำให้ตาบอดหูหนวก เป็นใบ้ ก็มีมากมาย อย่างทอมมี่ไง อ้อ...คุณคงไม่รู้หรอก ทอมมี่หมายถึงเด็กชายผู้พบสิ่งเลวร้ายในครอบครัว จนเขากลายเป็นคนหูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ ทั้งที่ร่างกายเป็นปกติ”
 
            เขานั่งงงไปพักหนึ่งก่อนจะเพิ่งนึกออกว่า ทอมมี่เป็นชื่ออัลบั้มเพลง ของวงร็อค ชื่อก้องโลก The who ออกมาประมาณปี 1975 ในอดีตกับประโยคติดปากSee Me, Feel Me .. touch me, heal me..Listening To You…เรื่องราวของเด็กชายทอมมี่ ในเนื้อเพลง มีเรื่องราวเต็มไปด้วยความบาป ตัณหาและสิ่งวิปริตเลวร้ายที่ทอมมี่ได้เผชิญ จนกลายเป็นตำนาน คนหูหนวก ตาบอด และเป็นใบ้
 
             “เอ้อ..ครับ ว่าแต่คนไข้คนนี้ คงไม่ตาบอด ใช่ไหมครับ”
    
             “ผมกำลังจะบอกว่าเขาตาบอดด้วย เขามองไม่เห็นอะไรเลย”
 
            “ป่าดทีโท้...มันชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว”  จิตแพทย์หนุ่มเผลอหลุดภาษาคลาสิก ลุกขึ้นจากเก้าอี้ จะไปดูให้รู้แน่ว่า ทำไมคนไข้คนนี้ไม่ยอมไปโรงพยาบาล ตา หู จมูก และปาก  แต่อีกฝ่ายยกมือร้องห้ามไว้เสียก่อน พลางพูดต่อไปว่า
 
            “ผมยังพูดไม่หมด นอกจากตาบอดหูหนวกเป็นใบ้แล้ว เขายังไม่รับรู้ต่อการสัมผัสของผมอีกด้วย  เหมือนจิตใจเขาหลุดไปอยู่อีกมิติแล้ว ผมว่าเขาอาจเจออะไรหนักหนาสาหัส  มากกว่าทอมมี่ก็เป็นไปได้”
 
             คราวนี้ค่อยฟังเข้าเค้าหน่อย หมอหนุ่มคิดในใจ บางทีคนเราถ้าจิตใจสิ้นหวังกดดันไร้ทางออก มืดมนอนธการขนาดหนัก สามารถส่งผลต่อจิตใจและร่างกายได้เหมือนกัน 
 
“             ไม่เป็นไรครับ ไม่ค้องพูดหมดก็ได้”   จิตแพทย์หนุ่มทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ท่านผู้อำนวยการคว้าแขนไว้เสียก่อน พลางบอกกระซิบกระซาบด้วยเสียงเครียดหนักว่า
 
             “เดี๋ยวก่อน อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต เดี๋ยวผมจะพาเขามาหาคุณเอง ให้ผมได้มีโอกาสแสดงศักยภาพสูงส่ง ในการดูแลคนไข้บ้างสิ ก่อนมาหาคุณพักหนึ่งผมโทรเรียกนักข่าวให้มาทำข่าวแล้ว คุณจะมาแย่งซีนผมได้ยังไง”
 
             เขาถอนใจ ไม่อยากแย่งซีนของใคร หน้าที่คือรักษาคนไข้ ก็ต้องรักษาคนไข้เท่านั้น นั่งรออยู่ในห้องไม่ต้องออกไปกลางแดดก็บุญหัวแล้ว
 
              สักพักนั่งคนไข้เจ้าปัญหาอาการหนัก ก็ถูกนำตัวมากับท่านผู้อำนวยการผู้เหงื่อหัวล้านแตกซิกไม่สร่างซา สีหน้าท่าทางของท่านเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องบอกว่า
 
             “นักข่าวมาเพียบ ผมต้องดังแน่งานนี้ สถาบันเราต้องดังด้วย อีกหน่อยเงินทุนจะไหลมาเทมา”
 
            จิตแพทย์หนุ่มมองแล้วถอนใจ ไม่พูดจาอะไรกับทั้งคนไข้และท่านผู้อำนวยการ ยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะกดโทรออกไปยังศูนย์เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
 
              “มารับคนไข้อาการหนักมาก ที่ห้องผมด่วนด้วยครับ มาเดี๋ยวนี้เลย”   ว่าพลางชำเลืองดูผู้อำนวยการ ผู้กำลังบรรจงวาง ‘คนไข้อาการหนัก”’ลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ก้อนหินหนักมีขนาดใหญ่ประมาณ คงสิบกิโลกรัมขึ้นไป หนักไม่เบาสำหรับท่านผู้กลัวคนมาแย่งซีน เลยต้องเหงื่อท่วมตัวมาแบบนี้
 
              เออว่ะ...หูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ ไม่รู้สึกรู้สม ไม่กระดุกกระดิก ไม่เห่าไม่หอน  ใช่...หินหนักไม่เบาเลย อาการหนักแน่นอน แบบนี้ใครจะไปเถียงได้ลงคอ โรคภัยมันไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ใหญ่แค่ไหนก็เป็นได้

              จิตแพทย์หนุ่มส่ายหน้าอย่างเศร้าใจ ขณะมองดู ท่านผู้อำนวยการถูกเจ้าหน้าที่ลากตัวออกไป จากนั้นก็หันมาสนใจก้อนหินที่วางบนโต๊ะ สีหน้าเริ่มมีแววกังวล
 
               เขาจะเริ่มรักษาก้อนไข้อาการหนัก ก้อนนี้อย่างไรดี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

              อาการหนักจริง ๆ

.

จบแล้วครับ
ขอบคุณที่แวะมาเยือนครับ    บ้าวันละนิด จิตแจ่มใส  วันนี้คุณบ้าแล้วหรือยัง^^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่