"ขอขอบคุณเพจ ป ปืนอย่างสูงครับ"
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster/
ในปี 1907 Louis Schmeisser (เป็นพ่อของ Hugo Schmeisser ) ซึ่งเขาได้ทำงานให้กับ Dreyse ได้จดสิทธิบัตรปืนกลเอาไว้ โดยต้นแบบถูกผลิตออกมาทดสอบ ในปี 1912 จากนั้นมีการพัฒนาให้สมบูรณ์แบบมายิ่งขึ้น จนประสบความสำเร็จในปี 1918 ซึ่งมันมีชื่อว่า Dreyse Model 1918 Machinegun เพื่อเป็นเกียรติ์แก่ Johann Nikolaus von Dreyse (ผู้ออกแบบ Dreyse needle gun ) และได้มอบสิทธิบัตร Simson & Co. เมือง Suhl (เยอรมัน) เป็นผู้ผลิต
ซึ่งปืนใช้ระบบบริหารกลไกแบบ แรงสะท้อนช่วงสั้น (short-recoil operated,) โดยเมื่อมีการยิงแรงสะท้อนจะผลักลำกล้องถอยมาแล้วลูเลื่อนจะเคลื่อนที่ตามมาปลดแท่งขัดกลอนออกจากร่องขัดกลอน ลูกเลื่อนจะปลดตัวเองเคลื่อนที่มาข้างหลัง ระบบลั่นไกของ MG 13 นั้นเป็นระบบพร้อมยิงขณะลูกเลื่อนปิด ( fires from a closed bolt,) และมีนกปืน (internal hammer.) ปืนสามารถยิงได้ทั้งระบบ กึ่งอัตโนมัติ และ อัตโนมัติ โดยร่องไกบนคือยิงกึ่งอัตโนมัติ และร่องไกล่างคือ อัตโนมัติ (แบบ MG 34 ) ห้ามไกอยู่ทางด้านซ้ายหนือด้ามปืน
ลำกล้องสามารถถอดเปลี่ยนได้แต่ไม่ใช่ระบบถอดเร็ว ใช้กระสุนขนาด 7.92×57mm Mauser
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1สิ้นสุดลง ในชช่วงยุค1930 Rheinmetall ได้นำ MG 13 มาทำการปรับปรุง ใช้ซองกระสุนแบบถอดได้ 25นัดแบบ Gerat 13 (device 13). และซองกระสุนแบบก้นหอยคู่ 72 นัดแบบ Doppeltrommel 13 เพื่อปรับปรุงเป็นปืนกลเบาเต็มรูปแบบ มีขาทรายแบบถอดได้ (detachable bipod )ซึ่งสามารถติดตั้งขาทรายได้ทั้งปลายลำกล้องและชิดโครงปืน พานท้ายสามารถพับไปทางด้านขวาของโครงปืนได้ และปืนมีหูหิ้วอัตราการยิงของปืนอยู่ที่ 600 นัดต่อนาที
สามารถติดตั้งกับขาหยั่งต่อสู้อากาศยาน (AA) และ มีศูนย์ต่อสู้อากาศยาน
จากนั้นได้รับเข้าประจำการในปี 1932 ในชื่อ Maschinengewehr 13 หรือ MG 13 แต่มันก็เป็นการเข้าหระจำการในระยะเวลาช่วงสั้นๆเพื่อตบตาAllied Control Commission ซึ่งควบคุมด้วย สนธิสัญญาแวร์ซาย (Versailles treaty.)
หากมีข้อผิดพลาดประการใดๆก็ขออภัยมา ณ.ที่นี้ครับ และขอบคุณที่ติดตาม
Cr.
https://modernfirearms.net/…/machineguns/germany…/mg-13-eng/
https://en.wikipedia.org/wiki/MG_13
#MG13 #ป_ปืน
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 353 ปืนกล MG 13
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster/
ในปี 1907 Louis Schmeisser (เป็นพ่อของ Hugo Schmeisser ) ซึ่งเขาได้ทำงานให้กับ Dreyse ได้จดสิทธิบัตรปืนกลเอาไว้ โดยต้นแบบถูกผลิตออกมาทดสอบ ในปี 1912 จากนั้นมีการพัฒนาให้สมบูรณ์แบบมายิ่งขึ้น จนประสบความสำเร็จในปี 1918 ซึ่งมันมีชื่อว่า Dreyse Model 1918 Machinegun เพื่อเป็นเกียรติ์แก่ Johann Nikolaus von Dreyse (ผู้ออกแบบ Dreyse needle gun ) และได้มอบสิทธิบัตร Simson & Co. เมือง Suhl (เยอรมัน) เป็นผู้ผลิต
ซึ่งปืนใช้ระบบบริหารกลไกแบบ แรงสะท้อนช่วงสั้น (short-recoil operated,) โดยเมื่อมีการยิงแรงสะท้อนจะผลักลำกล้องถอยมาแล้วลูเลื่อนจะเคลื่อนที่ตามมาปลดแท่งขัดกลอนออกจากร่องขัดกลอน ลูกเลื่อนจะปลดตัวเองเคลื่อนที่มาข้างหลัง ระบบลั่นไกของ MG 13 นั้นเป็นระบบพร้อมยิงขณะลูกเลื่อนปิด ( fires from a closed bolt,) และมีนกปืน (internal hammer.) ปืนสามารถยิงได้ทั้งระบบ กึ่งอัตโนมัติ และ อัตโนมัติ โดยร่องไกบนคือยิงกึ่งอัตโนมัติ และร่องไกล่างคือ อัตโนมัติ (แบบ MG 34 ) ห้ามไกอยู่ทางด้านซ้ายหนือด้ามปืน
ลำกล้องสามารถถอดเปลี่ยนได้แต่ไม่ใช่ระบบถอดเร็ว ใช้กระสุนขนาด 7.92×57mm Mauser
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1สิ้นสุดลง ในชช่วงยุค1930 Rheinmetall ได้นำ MG 13 มาทำการปรับปรุง ใช้ซองกระสุนแบบถอดได้ 25นัดแบบ Gerat 13 (device 13). และซองกระสุนแบบก้นหอยคู่ 72 นัดแบบ Doppeltrommel 13 เพื่อปรับปรุงเป็นปืนกลเบาเต็มรูปแบบ มีขาทรายแบบถอดได้ (detachable bipod )ซึ่งสามารถติดตั้งขาทรายได้ทั้งปลายลำกล้องและชิดโครงปืน พานท้ายสามารถพับไปทางด้านขวาของโครงปืนได้ และปืนมีหูหิ้วอัตราการยิงของปืนอยู่ที่ 600 นัดต่อนาที
สามารถติดตั้งกับขาหยั่งต่อสู้อากาศยาน (AA) และ มีศูนย์ต่อสู้อากาศยาน
จากนั้นได้รับเข้าประจำการในปี 1932 ในชื่อ Maschinengewehr 13 หรือ MG 13 แต่มันก็เป็นการเข้าหระจำการในระยะเวลาช่วงสั้นๆเพื่อตบตาAllied Control Commission ซึ่งควบคุมด้วย สนธิสัญญาแวร์ซาย (Versailles treaty.)
หากมีข้อผิดพลาดประการใดๆก็ขออภัยมา ณ.ที่นี้ครับ และขอบคุณที่ติดตาม
Cr.
https://modernfirearms.net/…/machineguns/germany…/mg-13-eng/
https://en.wikipedia.org/wiki/MG_13
#MG13 #ป_ปืน