ออกตัวก่อนว่า
- ไม่ใช่กระทู้อวยรัฐบาล และไม่ใช่กระทู้ด่ารัฐบาล
- ขอแท็กหุ้น เพราะขอมองยาวไปถึงตลาดหลักทรัพย์ด้วย
- ตอนนี้ทุกอย่างฝุ่นตลบอาจบดบังทัศนวิสัยและ cloud your mind ด้วยอคติจากการเสพสื่อมากเกินไป
- ขอให้มองข้ามเรื่องดราม่าต่าง ๆ เพราะพิจารณาไปก็รกสมอง
- ไม่เชื่อเลยว่าจะวิกฤตเท่าปี 2540 แบบที่ล้มระเนระนาด เพราะสถาบันการเงินไม่ล้ม ศก. ฝืดเคืองคงหลีกเลี่ยงไม่ได้
เหตุผลที่ทำไมจึงเชื่อว่าเราได้ผ่านจุดต่ำสุดของเหตุการณ์แล้ว ถ้าไม่พิจารณาอย่างตระหนก
1. มาตรการของราชการไทยค่อนข้างได้ผลในระดับหนึ่ง ทั้งที่ถูกใจ และไม่ถูกใจ และไม่ได้ทำถูกทุกเรื่อง จากข้อมูลยอดคนป่วย มีแนวโน้มสูงที่เราจะเดินรอยตามฮ่องกง สิงค์โปร์ และญี่ปุ่นมากกว่าเก่าหลีใต้ หรือสหรัฐ ฯ ยอดคนป่วยคงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จริงแต่ไม่ใช่ในอัตราเร่ง ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดี
2. วิกฤตครั้งนี้ ยังไม่ผ่านพ้นไปในสามวันเจ็ดวันนี้ดอก เชื้อโรคมันไม่ได้หายไปเฉย ๆ วันนี้พรุ่งนี้ แต่การชะลอยอดติดเชื้อ ช่วยทำให้ความวิกฤตมันบรรเทาได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ รพ. มีศักยภาพพอจะรักษาคนป่วยที่วิกฤตได้ ไม่ต้องปล่อยให้ใครตาย แม้ว่าคนส่วนใหญ่ยังไร้วินัยขาดจิตสำนึกไม่ยอมกักตัว เที่ยวกินเล่นมั่วสุมอยู่เนือง ๆ แต่คิดว่าไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ ประกอบกับประเทศไทยโชคดีที่อากาศร้อน การกระจายตัวของเชื้อมันเลยไม่สะดวกดายเหมือนประเทศเมืองหนาว ก็ถือเป็นแต้มต่อหนึ่งที่ใช้ต่อกรกับเชื้อโรค
3. อเมริกาพิมพ์เงินกงเต๊กออกมาซื้อของทั่วโลก คนที่เทรดบ่อยจะรู้ว่ามันต้องลงหุ้นไม่มากก็น้อย และหุ้นจะขึ้นทุกครั้งที่ปั๊มเงินกงเต๊กนี้ ความหวังที่จะได้เห็น 9xx จุดคงต้องรอชาติหน้า ถ้าพิจารณาดี ๆ มันไม่ได้ลงเละเทะทุกตัว หลายตัวก็น่าเก็บเพื่อถือระยะยาว ประเทศไทยเป็น safe heaven ของฝรั่งมาสักพักแล้วเดี๋ยวหัวทองก็หอบเงินกลับมาซื้อหุ้นบ้านเรา
4. เชื่อมั่นว่าวัคซีนออกแล้วทุกอย่างจะจบ และน่าจะภายในปีนี้ โรคมันลามเร็วแต่นักวิจัยก็ไม่ใช่หยุดนิ่ง อีกหน่อยมันก็จะเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ระบาดอยู่เป็นประจำ คนตายปีหนึ่งก็ไม่ใช่น้อย แต่ไม่ได้รายงานข่าว เพราะมันเป็นโรคประจำถิ่น ตอนนี้ที่ทุกอย่างมันดูเลวร้ายกันไปหมด เพราะไม่มีวัคซีน จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งการกระจายของเชื้อโรคให้ได้ วัคซีนออกเมื่อไหร่ทุกอย่างจะจบด้วยความรวดเร็ว และทุกคนจะลืมช่วงเวลาวิบัตินี้จนสิ้น กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ จำคำพูดผมไว้เลย
6. ผมเชื่อมั่นว่าบุคลากรทางการแพทย์ของไทยไม่แพ้ชาติใด คงจะประคับประคองให้ประเทศไทยรอดพ้นไปได้ คือ ประเทศไทยคงไม่ปลอดคนติดเชื้อ 100% ดอกแต่ก็คงไม่มีคนตายมากมายจนเผาศพไม่ทัน โรคนี้คงอยู่กับเราทั้งปีแน่ ๆ แต่คนไทยปรับตัวเก่ง เอาตัวรอดเก่ง เชื่อว่าผ่านไปสักสามสี่เดือนก็จะสามารถปรับตัว ปรับชีวิต และปรับช่องทางทำกินให้เข้าสภาวะการณ์นี้ได้ เราไม่ใช่อาเจนติน่า อาหารและเครื่องอุปโภคเราก็ผลิตเอง ของอาจแพงไปบ้าง ขาดตลาดบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นกับไม่มีขาย สุดท้ายแล้วก็ยังมีบ้านนอกคอกนาที่ยังทำเกษตรกรรมได้ คนไทยส่วนใหญ่อดตายคงไม่เกิด
สิ่งที่เราต้องเผชิญแน่นอนต่อจากนี้ คือ การใช้ชีวิตที่ลำบากมากขึ้น การทำมาหากินที่ลำบากมากขึ้น แต่ผมเชื่อมั่นว่ามันก็ไม่ได้ถึงกับสิ้นไร้ไม้ตอก บ้านเมืองจะพังพินาศ หรือ ศก. ล่มสลาย เกิดสงครามแย่งชิงฆ่าฟันทรัพยากร ท้ายสุดแล้วทุกคนจะสามารถปรับตัวกันได้
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิดของผม ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
ผมเชื่อว่าเราได้ผ่านจุดต่ำสุดของเหตุการณ์ COVID-19 แล้ว
- ไม่ใช่กระทู้อวยรัฐบาล และไม่ใช่กระทู้ด่ารัฐบาล
- ขอแท็กหุ้น เพราะขอมองยาวไปถึงตลาด
หลักทรัพย์ด้วย- ตอนนี้ทุกอย่างฝุ่นตลบอาจบดบังทัศนวิสัยและ cloud your mind ด้วยอคติจากการเสพสื่อมากเกินไป
- ขอให้มองข้ามเรื่องดราม่าต่าง ๆ เพราะพิจารณาไปก็รกสมอง
- ไม่เชื่อเลยว่าจะวิกฤตเท่าปี 2540 แบบที่ล้มระเนระนาด เพราะสถาบันการเงินไม่ล้ม ศก. ฝืดเคืองคงหลีกเลี่ยงไม่ได้
เหตุผลที่ทำไมจึงเชื่อว่าเราได้ผ่านจุดต่ำสุดของเหตุการณ์แล้ว ถ้าไม่พิจารณาอย่างตระหนก
1. มาตรการของราชการไทยค่อนข้างได้ผลในระดับหนึ่ง ทั้งที่ถูกใจ และไม่ถูกใจ และไม่ได้ทำถูกทุกเรื่อง จากข้อมูลยอดคนป่วย มีแนวโน้มสูงที่เราจะเดินรอยตามฮ่องกง สิงค์โปร์ และญี่ปุ่นมากกว่าเก่าหลีใต้ หรือสหรัฐ ฯ ยอดคนป่วยคงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จริงแต่ไม่ใช่ในอัตราเร่ง ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดี
2. วิกฤตครั้งนี้ ยังไม่ผ่านพ้นไปในสามวันเจ็ดวันนี้ดอก เชื้อโรคมันไม่ได้หายไปเฉย ๆ วันนี้พรุ่งนี้ แต่การชะลอยอดติดเชื้อ ช่วยทำให้ความวิกฤตมันบรรเทาได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ รพ. มีศักยภาพพอจะรักษาคนป่วยที่วิกฤตได้ ไม่ต้องปล่อยให้ใครตาย แม้ว่าคนส่วนใหญ่ยังไร้วินัยขาดจิตสำนึกไม่ยอมกักตัว เที่ยวกินเล่นมั่วสุมอยู่เนือง ๆ แต่คิดว่าไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ ประกอบกับประเทศไทยโชคดีที่อากาศร้อน การกระจายตัวของเชื้อมันเลยไม่สะดวกดายเหมือนประเทศเมืองหนาว ก็ถือเป็นแต้มต่อหนึ่งที่ใช้ต่อกรกับเชื้อโรค
3. อเมริกาพิมพ์เงินกงเต๊กออกมาซื้อของทั่วโลก คนที่เทรดบ่อยจะรู้ว่ามันต้องลงหุ้นไม่มากก็น้อย และหุ้นจะขึ้นทุกครั้งที่ปั๊มเงินกงเต๊กนี้ ความหวังที่จะได้เห็น 9xx จุดคงต้องรอชาติหน้า ถ้าพิจารณาดี ๆ มันไม่ได้ลงเละเทะทุกตัว หลายตัวก็น่าเก็บเพื่อถือระยะยาว ประเทศไทยเป็น safe heaven ของฝรั่งมาสักพักแล้วเดี๋ยวหัวทองก็หอบเงินกลับมาซื้อหุ้นบ้านเรา
4. เชื่อมั่นว่าวัคซีนออกแล้วทุกอย่างจะจบ และน่าจะภายในปีนี้ โรคมันลามเร็วแต่นักวิจัยก็ไม่ใช่หยุดนิ่ง อีกหน่อยมันก็จะเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ระบาดอยู่เป็นประจำ คนตายปีหนึ่งก็ไม่ใช่น้อย แต่ไม่ได้รายงานข่าว เพราะมันเป็นโรคประจำถิ่น ตอนนี้ที่ทุกอย่างมันดูเลวร้ายกันไปหมด เพราะไม่มีวัคซีน จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งการกระจายของเชื้อโรคให้ได้ วัคซีนออกเมื่อไหร่ทุกอย่างจะจบด้วยความรวดเร็ว และทุกคนจะลืมช่วงเวลาวิบัตินี้จนสิ้น กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ จำคำพูดผมไว้เลย
6. ผมเชื่อมั่นว่าบุคลากรทางการแพทย์ของไทยไม่แพ้ชาติใด คงจะประคับประคองให้ประเทศไทยรอดพ้นไปได้ คือ ประเทศไทยคงไม่ปลอดคนติดเชื้อ 100% ดอกแต่ก็คงไม่มีคนตายมากมายจนเผาศพไม่ทัน โรคนี้คงอยู่กับเราทั้งปีแน่ ๆ แต่คนไทยปรับตัวเก่ง เอาตัวรอดเก่ง เชื่อว่าผ่านไปสักสามสี่เดือนก็จะสามารถปรับตัว ปรับชีวิต และปรับช่องทางทำกินให้เข้าสภาวะการณ์นี้ได้ เราไม่ใช่อาเจนติน่า อาหารและเครื่องอุปโภคเราก็ผลิตเอง ของอาจแพงไปบ้าง ขาดตลาดบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นกับไม่มีขาย สุดท้ายแล้วก็ยังมีบ้านนอกคอกนาที่ยังทำเกษตรกรรมได้ คนไทยส่วนใหญ่อดตายคงไม่เกิด
สิ่งที่เราต้องเผชิญแน่นอนต่อจากนี้ คือ การใช้ชีวิตที่ลำบากมากขึ้น การทำมาหากินที่ลำบากมากขึ้น แต่ผมเชื่อมั่นว่ามันก็ไม่ได้ถึงกับสิ้นไร้ไม้ตอก บ้านเมืองจะพังพินาศ หรือ ศก. ล่มสลาย เกิดสงครามแย่งชิงฆ่าฟันทรัพยากร ท้ายสุดแล้วทุกคนจะสามารถปรับตัวกันได้
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิดของผม ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากเพื่อนสมาชิกทุกท่าน