สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งกับรีวิวดองเค็ม อันนี้ก็ไปตอน พฤษภาคม 2019 เหมือนกันครับ ไปก่อนกูชิ่งไม่กี่วันเอง
แต่ทริปวักกะไนนี่ เป็นทริปสั้นๆในทริปฮอกไกโด 7 วันของผมครับ ด้วยความที่เห็นรูปแล้วอยากไปมากๆ
เลยยอมเสียเงินเพิ่มเพื่อไปเมืองเล็กๆ เหนือสุดแดนญี่ปุ่นครับ
รูปที่ขึ้นรูปแรก อาจจะไม่ใช่รูปที่เป็นมุมมหาชนแบบ ใครมาก็ต้องถ่าย (เพราะก็แอบลับอยู่เหมือนกัน พวกผมก็ไปเจอที่นี่โดยบังเอิญครับ)
แต่รู้สึกว่าชอบที่สุดในทริปนี้ จึงขอใช้เป็นรูปเปิดครับ
รูปในทริปนี้ถ่ายด้วย Canon 750D 18-135mm, Samsung Galaxy Note 8 ครับ
=== วักกะไหนมันอยู่หน๊ายยยยย ===
ได้ยินชื่อแล้วทุกคนก็อิหยังวะตามเดิม บอกเลย ผมชอบมากเวลาที่ไปเที่ยวแล้วทุกคนไม่รู้จัก มันรู้สึกแบบ ไม่แมสดี 555
อย่างที่รู้กันว่า ฮอกไกโดคือจังหวัดที่ใหญ่ที่สุด แถมอยู่เหนือสุด แต่วักกะไนเนี่ย ก็ยิ่งกว่านั้นไปอีก คือเป็นเมืองที่เหนือที่สุด
ของจังหวัดที่เหนือที่สุด เหนือขนาดที่ว่าวันไหนอากาศดีๆ เราสามารถยืนที่วักกะไน แล้วมองเห็นเกาะซาคาลินฝั่งรัสเซียตะวันออกได้เลยทีเดียวครับ
นอกจากวักกะไนแล้ว ยังมีเกาะสวยๆ ใกล้ๆกันอีกสองเกาะครับ คือเกาะเรบุน และเกาะริชิริ
ใจจริงเราอยากไปทั้งสองเกาะครับ แต่คาดว่าค่าใช้จ่ายน่าจะบานมากๆ รวมถึงเราไปช่วง golden week ด้วยครับ
คนญี่ปุ่นไปพักร้อนกันเยอะแยะเลย ค่าที่พักเลยแพงขึ้นครับ เราเลยตัดสินใจไปแค่เกาะริชิริ ที่เราอยากไปดูภูเขาไฟริชิริฟูจิครับ
(ส่วนเรบุนก็ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ)
ในทริปนี้เราเดินทางจากซัปโปโร-ชิโตเสะ บินตรงไปยังวักกะไนครับ domestic flight ของ ANA ครับผม
ค่าบินไปกลับ 3200 บาท ครับ จัดว่าแพงเลยทีเดียว บินด้วยเครื่อง DHC8 Q400 ครับ คนบินเต็มลำเลย
ที่สนามบินวักกะไนนี้จะมีเพียง ANA บินเจ้าเดียวครับ (แต่ก็มีสะพานเทียบท่าเครื่องบินด้วยนะ)
โดยบินจากชิโตเสะวันละ 2 ไฟลท์, ฮาเนดะวันละ 1 ไฟลท์ครับ
จากนั้นเราเดินทางต่อจากวักกะไนไปเกาะริชิริ ด้วยเรือเฟอรี่ครับ
บนเกาะริชิริ ก็จะมีสนามบินด้วยเช่นกันครับ บินตรงจากชิโตเสะได้เลย มีทั้ง JAL (ออกจาก ซัปโปโร-โอคาดามะ) และ ANA (ซัปโปโร-ชิโตเสะ) ครับ
ขอไม่เกริ่นถึงช่วงก่อนหน้าที่เราเดินทางมาถึงซัปโปโร ขอข้ามเลยละกัน
เราเริ่มที่สนามบินชิโตเสะครับ ไฟลท์เช้าของการไปวักกะไนคือไฟลท์ 10.20 ครับ
ตั๋ว domestic ก็จะหน้าตาประมาณนี้ครับ
หวยวันนี้ออกที่ Gate 0 ครับ ไม่ต้องตกใจครับ Gate 0 แบบเลขศูนย์จริงๆ ฮ่าๆ
เตรียมตัวขึ้นเครื่องกันครับ และนั้นคือโฉมหน้าของ DHC8 Q400 ที่จะไปส่งเราในวันนี้ครับ
คนเกือบเต็มลำเลยครับ load factor 90-95% เห็นจะได้ บอร์ดผู้โดยสารเร็วและเป็นระเบียบมากครับ
หลังจากนั้น พนง.ก็จะสาธิตเรื่องความปลอดภัย และเสิร์ฟเครื่องดื่มครับ
สำหรับการบินในครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีเท่านั้นครับ ช่วงบินบินไม่สูงเท่าไหร่ ยังเห็นภาคพื้นดินได้ชัดแจ๋วครับ
ถ้าหน้าต่างสะอาดๆ เมฆน้อยๆ วิวชายฝั่งฮอกไกโดฝั่งตะวันตกถือว่าสวยมากๆ เลยทีเดียวครับ
ผมถ่ายเก็บมาได้รูปนึงครับ ฮ่าๆ ไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่ครับ
มาถึงสนามบินวักกะไนกันแล้ว มีสายพานรับกระเป๋า 1 อัน พร้อมกับน้องอุ๋ง แมวน้ำตัวเขียวๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่
สาเหตุที่น้องตัวสีเขียวเพราะเขาบอกว่าที่วักกะไนนี่ ทะเลสมบูรณ์มาก มีสาหร่ายขึ้นเต็มไปหมด นังน้องก็ไปกินจนตัวเขียวหมดเลย
ที่นี่จะมีตุ๊กตาน้องตัวเขียวๆขายเต็มไปหมดเลยครับ
จากนั้นเราก็ออกมาขึ้นรถ shuttle bus เข้าเมืองกันครับ โดยรถบัสที่นี้จะให้บริเวณ 3 เวลาเท่านั้น ตามเวลาที่เครื่องบินเข้าออกในแต่ละวันเลยครับ
ค่าตั๋ว 600 เยนตลอดสายครับ ระหว่างทางก็จะมีจอดตามชุมชนเรื่อยๆครับ เราจะลงปลายทางที่ Wakkanai JR station กันครับ
แต่ขอให้ติดตามตารางการเดินรถอีกครั้งนะครับ เดี๋ยวจะลงลิงค์ที่มีประโยชน์เรื่องตารางเวลาต่างๆไว้ให้ครับ
ที่วักกะไนทุกสิ่งอย่างแทบจะเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน หาภาษาอังกฤษได้ยาก แนะนำมีเน็ตและ google translate ตลอดเวลาครับ
เราจองที่พักเป็นที่ hotel sakhalin ครับ อยู่ใกล้กับ breakwater dome เลยครับ
**ภาพจาก booking.com **
<img src="
https://q-cf.bstatic.com/images/hotel/max1024x768/741/74171646.jpg">
จากนั้นเราก็ไปหารถเช่ากันครับ ตอนแรกพวกเรากะว่าจะนั่งรถเมล์เอา แต่ปรากฎว่าทุกอย่างไม่เป็นดังวางแผนไว้
จึงต้องจำใจเจียดเงินไปเช่ารถครับ เราเช่า 24 ชม กับ Times Car Rental (รายละเอียด
https://rental.timescar.jp/)
เราเช่าเป็น Class C-1 Suzuki Solio 1200 cc 24hr 7700 เยนมาครับ (อย่างว่า เลือกที่ถูกที่สุดเพราะผิดแผนอะนะครับ)
จากนั้นก็ไปโลดครับ
โดย DAY 1 ของเราเหลือแค่ช่วงบ่ายแล้วครับ เราจึงแพลนไป Breakwater dome, ตลาดปลา Fukko, Wakkanai Park,
แหลม Soya และ Noshappu Cape ครับ
สำหรับที่แรก ใกล้ๆที่พักเราเลยครับ คือ North Breakwater Dome
โดมทรงประหลาด ยาวเป็นหางว่าว มีไว้กันลมและคลื่นครับ เพราะว่าที่นี่คลื่นและลมแรงมาก
ในสมัยก่อน วักกะไนมีการติดต่อกับซาคาลิน รัสเซียผ่านทางเรือครับ เค้าอยากจะพัฒนาให้ท่าเรือมันมีความปลอดภัยจากพวกลม/คลื่น
จึงให้วิศวกรออกแบบและสร้างเจ้านี้ขึ้นมาครับ แต่หลังจากนั้นพอสร้างเสร็จก็พบว่ามันดันกันลมฤดูหนาวไม่ได้
เลยต้องมาเติมโครงสร้างกันใหม่ แปลนตั้งแต่ 1910 กว่าจะเสร็จก็ 1936 เลยทีเดียวครับ
ปัจจุบันเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของที่นี่ไปแล้วครับ เราสามารถขึ้นไปชมวิววักกะไนอีกฝั่งนึงได้ตามสันของโดมครับ
จากนั้นไม่รอช้า หิวสุดๆ ไปตลาดปลา fukko กันครับ
** ภาพตลาดจากถนนใหญ่จาก google map street view **
ภายในจะขายของฝากเป็นกลุ่มอาหารทะเลแห้ง หรือแพกเกจในรูปสุญญากาศที่สามารถนำกลับบ้านไปได้ครับ
ตั้งแต่ปลาไหล ปลาหมึก โอโทโร่ ปลาทุกอย่าง ยันหอยต่างๆ ทั้งแบบสด และแห้ง สารพัดมากๆครับ รวมถึงสาหร่ายหลากชนิดด้วยครับ
ขนมมีบ้าง ประปรายครับ
เราฝากท้องกับร้านอาหารในตลาดปลาแห่งนี้ครับ เมนูมีรูปครับ แต่ญี่ปุ่นล้วน ก็ชี้ๆเอาครับ ฮ่าๆ
แต่เรามาที่นี่เราหวังอาหารทะเลครับ เราเลยสั่งข้าวหน้าปลาดิบ wakkanai special ครับ โดนไป 1200 เยนครับ
แต่รู้สึกว่าอร่อยมากจริงๆ ที่กินที่ไทยปกติต้องใส่โชยุตลอดเลย ไม่งั้นมันจืดไป แต่ของที่นี่คือ แทบไม่ต้องใส่เพิ่มเลยครับ
ข้าวหุงมาอร่อยมาก และตัวปลา กุ้งอะไรต่างๆ คือมีความเค็มจากทะเลมากๆ 55555 อร่อยมากครับชอบ เอาไปเลย 100/10
ชีวิตนี้ไม่เคยกินข้าวหน้าปลาดิบอร่อยขนาดนี้มาก่อน (ไม่เว่อร์ครับ เป็นความเห็นส่วนตัว แหะๆ)
จากนั้นเราก็เหลือบไปเห็นภาษาไทยครับ นมวักกะไน ฮ่าๆ เลยซื้อมากินดูครับ หวานมันมาก ขนาดเป็นรสจืดนะครับ
ที่นี่เค้าค่อนข้างโฆษณาเรื่องอาหารทะเล นมวักกะไน และเนื้อวัวดำโซยะ มากๆครับ
เสร็จตรงนี้แล้วเราขอฟ่าวไปต่อกันที่ wakkanai park ครับ เป็นสวนสาธารณะบนเขาของที่นี่ครับ
ข้างบนก็จะมีรูปปั้น อนุสรณ์สถานต่างๆนานา เยอะแยะครับ โดยข้างบนจะมี wakkanai tower ด้วยครับ
เป็นหอชมวิว โดยมีพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ชั้นล่างครับ สำหรับค่าขึ้น อยู่ที่ 400 yen ครับผม
แต่เราคิดว่าตัวสวนสาธารณะเองก็สูงพอแล้ว เลยไม่ขึ้น แต่เดินรอบๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆแทนครับ อากาศดีมากๆเลยทีเดียว
แถมยังเห็นวิวเมืองวักกะไนทั้งหมดอีกด้วยครับ
มีน้องกวางมาเดินเล็มหญ้าที่เห็นกันแบบระยะประชิดเลยทีเดียว
ก่อนจะลงจากสวนสาธารณะ เราแวะเข้าห้องน้ำที่จุกพักแต่ดั้น เหลือบไปเห็น wakkanai milk ice cream
ก็จัดไปสิครับ อากาศ 10 องศาแล้วยังไงนะ ก็จะกินอะ โดนไป 200 เยน
แต่ผลคือ โอ้แม่จ้าววววว ซอฟครีมนี่มัน สุดยอดมากครับ บอกไม่ถูก ขอให้คะแนนพร่ำเพรื่อ เอาไปเลย 1000/10 ครับ
หลังจากนั้นพวกเรารีบบึ่งรถไปแหลมโซยะครับ ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน ดูที่ว่าน่าจะไป noshappu cape ไม่ทันแล้วแน่ๆ เลยตัดสินใจเทครับ
(แม้จะอยากไปดูนังอุ๋งตัวเขียวๆที่ noshappu aquarium ก็เถอะ แต่คิดว่าพอไปถึงก็น่าจะปิดพอดี)
ตัดภาพมาที่แหลมโซยะ คนเข้าแถวายรูปที่จุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นเยอะมากกกกกกก
แต่ระเบียบดีมากกก แม้ว่าในวงนั้นจะมีคนยุโรป คนอินเดียปนด้วยก็ตาม ทุกคนยืนต่อแถวให้
ถ่ายรูปรวมให้คนก่อนหน้า และผลัดกันไปเรื่อยๆครับ
บริเวณรอบๆก็มีร้านอาหาร และของที่ระลึกปนๆ กันไปครับ
มีป้ายบอกทางด้วย ห่างจาก sakhalin russia แค่ 43 กิโลเอง
แถมมีบอกทางไป ishigaki ตะวันตกสุดของญี่ปุ่นอีกด้วย (อีกจุดหมายที่เราอยากไปเลยครับ ishigaki - yonaguni)
พวกเราตัดสินใจว่าจะขึ้นไปกินเนื้อวัวดำโซยะที่ guesthouse amelia ที่อยู่บนเนินเขาที่แหลมโซยะนี่เองครับ
เลยขับรถขึ้นไป พอเห็นกังหันลมแบบนั้นก็แน่นอนครับ ใช่แล้วล่ะ
เนื้อวัวดำโซยะที่เขาว่าพิเศษ เพราะวัวที่นี้เค้าจะเลี้ยงแบบปล่อยในเวรตามกรรม เอ้ย ปล่อยให้กินหญ้าบนเนินเขาเองครับ
ไม่เลี้ยงแบบปิด organic สุดๆว่างั้น เราลองถามที่โรงแรมเค้าก็แนะนำที่นี่ครับ เลยมากันที่นี่เลย
ปรากฎว่า ... เนื้อวัวดำหมดจ้า อด บรัย เราจึงหาของกินที่อื่นแทนครับ
ระหว่างนั้นเราขับขึ้นเขาแล้ว ดูตามแผนที่สามารถใช้ทางบนเขาขับกลับวักกะไนได้
เลยตัดสินใจขับกลับทางถนน shoyahuhyoga และทางหลวง 889 ครับ
----- ไว้มาต่อนะครับ หมดโควต้า 10000 ตัวอักษรแล้วคร้าบ -----
[CR] Wakkanai เหนือสุดแดนญี่ปุ่น เหนือกว่านี้ก็รัสเซียแล้วค่ะคุณพี่
สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งกับรีวิวดองเค็ม อันนี้ก็ไปตอน พฤษภาคม 2019 เหมือนกันครับ ไปก่อนกูชิ่งไม่กี่วันเอง
แต่ทริปวักกะไนนี่ เป็นทริปสั้นๆในทริปฮอกไกโด 7 วันของผมครับ ด้วยความที่เห็นรูปแล้วอยากไปมากๆ
เลยยอมเสียเงินเพิ่มเพื่อไปเมืองเล็กๆ เหนือสุดแดนญี่ปุ่นครับ
รูปที่ขึ้นรูปแรก อาจจะไม่ใช่รูปที่เป็นมุมมหาชนแบบ ใครมาก็ต้องถ่าย (เพราะก็แอบลับอยู่เหมือนกัน พวกผมก็ไปเจอที่นี่โดยบังเอิญครับ)
แต่รู้สึกว่าชอบที่สุดในทริปนี้ จึงขอใช้เป็นรูปเปิดครับ
รูปในทริปนี้ถ่ายด้วย Canon 750D 18-135mm, Samsung Galaxy Note 8 ครับ
=== วักกะไหนมันอยู่หน๊ายยยยย ===
ได้ยินชื่อแล้วทุกคนก็อิหยังวะตามเดิม บอกเลย ผมชอบมากเวลาที่ไปเที่ยวแล้วทุกคนไม่รู้จัก มันรู้สึกแบบ ไม่แมสดี 555
อย่างที่รู้กันว่า ฮอกไกโดคือจังหวัดที่ใหญ่ที่สุด แถมอยู่เหนือสุด แต่วักกะไนเนี่ย ก็ยิ่งกว่านั้นไปอีก คือเป็นเมืองที่เหนือที่สุด
ของจังหวัดที่เหนือที่สุด เหนือขนาดที่ว่าวันไหนอากาศดีๆ เราสามารถยืนที่วักกะไน แล้วมองเห็นเกาะซาคาลินฝั่งรัสเซียตะวันออกได้เลยทีเดียวครับ
นอกจากวักกะไนแล้ว ยังมีเกาะสวยๆ ใกล้ๆกันอีกสองเกาะครับ คือเกาะเรบุน และเกาะริชิริ
ใจจริงเราอยากไปทั้งสองเกาะครับ แต่คาดว่าค่าใช้จ่ายน่าจะบานมากๆ รวมถึงเราไปช่วง golden week ด้วยครับ
คนญี่ปุ่นไปพักร้อนกันเยอะแยะเลย ค่าที่พักเลยแพงขึ้นครับ เราเลยตัดสินใจไปแค่เกาะริชิริ ที่เราอยากไปดูภูเขาไฟริชิริฟูจิครับ
(ส่วนเรบุนก็ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ)
ในทริปนี้เราเดินทางจากซัปโปโร-ชิโตเสะ บินตรงไปยังวักกะไนครับ domestic flight ของ ANA ครับผม
ค่าบินไปกลับ 3200 บาท ครับ จัดว่าแพงเลยทีเดียว บินด้วยเครื่อง DHC8 Q400 ครับ คนบินเต็มลำเลย
ที่สนามบินวักกะไนนี้จะมีเพียง ANA บินเจ้าเดียวครับ (แต่ก็มีสะพานเทียบท่าเครื่องบินด้วยนะ)
โดยบินจากชิโตเสะวันละ 2 ไฟลท์, ฮาเนดะวันละ 1 ไฟลท์ครับ
จากนั้นเราเดินทางต่อจากวักกะไนไปเกาะริชิริ ด้วยเรือเฟอรี่ครับ
บนเกาะริชิริ ก็จะมีสนามบินด้วยเช่นกันครับ บินตรงจากชิโตเสะได้เลย มีทั้ง JAL (ออกจาก ซัปโปโร-โอคาดามะ) และ ANA (ซัปโปโร-ชิโตเสะ) ครับ
ขอไม่เกริ่นถึงช่วงก่อนหน้าที่เราเดินทางมาถึงซัปโปโร ขอข้ามเลยละกัน
เราเริ่มที่สนามบินชิโตเสะครับ ไฟลท์เช้าของการไปวักกะไนคือไฟลท์ 10.20 ครับ
ตั๋ว domestic ก็จะหน้าตาประมาณนี้ครับ
หวยวันนี้ออกที่ Gate 0 ครับ ไม่ต้องตกใจครับ Gate 0 แบบเลขศูนย์จริงๆ ฮ่าๆ
เตรียมตัวขึ้นเครื่องกันครับ และนั้นคือโฉมหน้าของ DHC8 Q400 ที่จะไปส่งเราในวันนี้ครับ
คนเกือบเต็มลำเลยครับ load factor 90-95% เห็นจะได้ บอร์ดผู้โดยสารเร็วและเป็นระเบียบมากครับ
หลังจากนั้น พนง.ก็จะสาธิตเรื่องความปลอดภัย และเสิร์ฟเครื่องดื่มครับ
สำหรับการบินในครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีเท่านั้นครับ ช่วงบินบินไม่สูงเท่าไหร่ ยังเห็นภาคพื้นดินได้ชัดแจ๋วครับ
ถ้าหน้าต่างสะอาดๆ เมฆน้อยๆ วิวชายฝั่งฮอกไกโดฝั่งตะวันตกถือว่าสวยมากๆ เลยทีเดียวครับ
ผมถ่ายเก็บมาได้รูปนึงครับ ฮ่าๆ ไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่ครับ
มาถึงสนามบินวักกะไนกันแล้ว มีสายพานรับกระเป๋า 1 อัน พร้อมกับน้องอุ๋ง แมวน้ำตัวเขียวๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่
สาเหตุที่น้องตัวสีเขียวเพราะเขาบอกว่าที่วักกะไนนี่ ทะเลสมบูรณ์มาก มีสาหร่ายขึ้นเต็มไปหมด นังน้องก็ไปกินจนตัวเขียวหมดเลย
ที่นี่จะมีตุ๊กตาน้องตัวเขียวๆขายเต็มไปหมดเลยครับ
จากนั้นเราก็ออกมาขึ้นรถ shuttle bus เข้าเมืองกันครับ โดยรถบัสที่นี้จะให้บริเวณ 3 เวลาเท่านั้น ตามเวลาที่เครื่องบินเข้าออกในแต่ละวันเลยครับ
ค่าตั๋ว 600 เยนตลอดสายครับ ระหว่างทางก็จะมีจอดตามชุมชนเรื่อยๆครับ เราจะลงปลายทางที่ Wakkanai JR station กันครับ
แต่ขอให้ติดตามตารางการเดินรถอีกครั้งนะครับ เดี๋ยวจะลงลิงค์ที่มีประโยชน์เรื่องตารางเวลาต่างๆไว้ให้ครับ
ที่วักกะไนทุกสิ่งอย่างแทบจะเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน หาภาษาอังกฤษได้ยาก แนะนำมีเน็ตและ google translate ตลอดเวลาครับ
เราจองที่พักเป็นที่ hotel sakhalin ครับ อยู่ใกล้กับ breakwater dome เลยครับ
**ภาพจาก booking.com **
<img src="https://q-cf.bstatic.com/images/hotel/max1024x768/741/74171646.jpg">
จากนั้นเราก็ไปหารถเช่ากันครับ ตอนแรกพวกเรากะว่าจะนั่งรถเมล์เอา แต่ปรากฎว่าทุกอย่างไม่เป็นดังวางแผนไว้
จึงต้องจำใจเจียดเงินไปเช่ารถครับ เราเช่า 24 ชม กับ Times Car Rental (รายละเอียด https://rental.timescar.jp/)
เราเช่าเป็น Class C-1 Suzuki Solio 1200 cc 24hr 7700 เยนมาครับ (อย่างว่า เลือกที่ถูกที่สุดเพราะผิดแผนอะนะครับ)
จากนั้นก็ไปโลดครับ
โดย DAY 1 ของเราเหลือแค่ช่วงบ่ายแล้วครับ เราจึงแพลนไป Breakwater dome, ตลาดปลา Fukko, Wakkanai Park,
แหลม Soya และ Noshappu Cape ครับ
สำหรับที่แรก ใกล้ๆที่พักเราเลยครับ คือ North Breakwater Dome
โดมทรงประหลาด ยาวเป็นหางว่าว มีไว้กันลมและคลื่นครับ เพราะว่าที่นี่คลื่นและลมแรงมาก
ในสมัยก่อน วักกะไนมีการติดต่อกับซาคาลิน รัสเซียผ่านทางเรือครับ เค้าอยากจะพัฒนาให้ท่าเรือมันมีความปลอดภัยจากพวกลม/คลื่น
จึงให้วิศวกรออกแบบและสร้างเจ้านี้ขึ้นมาครับ แต่หลังจากนั้นพอสร้างเสร็จก็พบว่ามันดันกันลมฤดูหนาวไม่ได้
เลยต้องมาเติมโครงสร้างกันใหม่ แปลนตั้งแต่ 1910 กว่าจะเสร็จก็ 1936 เลยทีเดียวครับ
ปัจจุบันเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของที่นี่ไปแล้วครับ เราสามารถขึ้นไปชมวิววักกะไนอีกฝั่งนึงได้ตามสันของโดมครับ
จากนั้นไม่รอช้า หิวสุดๆ ไปตลาดปลา fukko กันครับ
** ภาพตลาดจากถนนใหญ่จาก google map street view **
ภายในจะขายของฝากเป็นกลุ่มอาหารทะเลแห้ง หรือแพกเกจในรูปสุญญากาศที่สามารถนำกลับบ้านไปได้ครับ
ตั้งแต่ปลาไหล ปลาหมึก โอโทโร่ ปลาทุกอย่าง ยันหอยต่างๆ ทั้งแบบสด และแห้ง สารพัดมากๆครับ รวมถึงสาหร่ายหลากชนิดด้วยครับ
ขนมมีบ้าง ประปรายครับ
เราฝากท้องกับร้านอาหารในตลาดปลาแห่งนี้ครับ เมนูมีรูปครับ แต่ญี่ปุ่นล้วน ก็ชี้ๆเอาครับ ฮ่าๆ
แต่เรามาที่นี่เราหวังอาหารทะเลครับ เราเลยสั่งข้าวหน้าปลาดิบ wakkanai special ครับ โดนไป 1200 เยนครับ
แต่รู้สึกว่าอร่อยมากจริงๆ ที่กินที่ไทยปกติต้องใส่โชยุตลอดเลย ไม่งั้นมันจืดไป แต่ของที่นี่คือ แทบไม่ต้องใส่เพิ่มเลยครับ
ข้าวหุงมาอร่อยมาก และตัวปลา กุ้งอะไรต่างๆ คือมีความเค็มจากทะเลมากๆ 55555 อร่อยมากครับชอบ เอาไปเลย 100/10
ชีวิตนี้ไม่เคยกินข้าวหน้าปลาดิบอร่อยขนาดนี้มาก่อน (ไม่เว่อร์ครับ เป็นความเห็นส่วนตัว แหะๆ)
จากนั้นเราก็เหลือบไปเห็นภาษาไทยครับ นมวักกะไน ฮ่าๆ เลยซื้อมากินดูครับ หวานมันมาก ขนาดเป็นรสจืดนะครับ
ที่นี่เค้าค่อนข้างโฆษณาเรื่องอาหารทะเล นมวักกะไน และเนื้อวัวดำโซยะ มากๆครับ
เสร็จตรงนี้แล้วเราขอฟ่าวไปต่อกันที่ wakkanai park ครับ เป็นสวนสาธารณะบนเขาของที่นี่ครับ
ข้างบนก็จะมีรูปปั้น อนุสรณ์สถานต่างๆนานา เยอะแยะครับ โดยข้างบนจะมี wakkanai tower ด้วยครับ
เป็นหอชมวิว โดยมีพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ชั้นล่างครับ สำหรับค่าขึ้น อยู่ที่ 400 yen ครับผม
แต่เราคิดว่าตัวสวนสาธารณะเองก็สูงพอแล้ว เลยไม่ขึ้น แต่เดินรอบๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆแทนครับ อากาศดีมากๆเลยทีเดียว
แถมยังเห็นวิวเมืองวักกะไนทั้งหมดอีกด้วยครับ
มีน้องกวางมาเดินเล็มหญ้าที่เห็นกันแบบระยะประชิดเลยทีเดียว
ก่อนจะลงจากสวนสาธารณะ เราแวะเข้าห้องน้ำที่จุกพักแต่ดั้น เหลือบไปเห็น wakkanai milk ice cream
ก็จัดไปสิครับ อากาศ 10 องศาแล้วยังไงนะ ก็จะกินอะ โดนไป 200 เยน
แต่ผลคือ โอ้แม่จ้าววววว ซอฟครีมนี่มัน สุดยอดมากครับ บอกไม่ถูก ขอให้คะแนนพร่ำเพรื่อ เอาไปเลย 1000/10 ครับ
หลังจากนั้นพวกเรารีบบึ่งรถไปแหลมโซยะครับ ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน ดูที่ว่าน่าจะไป noshappu cape ไม่ทันแล้วแน่ๆ เลยตัดสินใจเทครับ
(แม้จะอยากไปดูนังอุ๋งตัวเขียวๆที่ noshappu aquarium ก็เถอะ แต่คิดว่าพอไปถึงก็น่าจะปิดพอดี)
ตัดภาพมาที่แหลมโซยะ คนเข้าแถวายรูปที่จุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นเยอะมากกกกกกก
แต่ระเบียบดีมากกก แม้ว่าในวงนั้นจะมีคนยุโรป คนอินเดียปนด้วยก็ตาม ทุกคนยืนต่อแถวให้
ถ่ายรูปรวมให้คนก่อนหน้า และผลัดกันไปเรื่อยๆครับ
บริเวณรอบๆก็มีร้านอาหาร และของที่ระลึกปนๆ กันไปครับ
มีป้ายบอกทางด้วย ห่างจาก sakhalin russia แค่ 43 กิโลเอง
แถมมีบอกทางไป ishigaki ตะวันตกสุดของญี่ปุ่นอีกด้วย (อีกจุดหมายที่เราอยากไปเลยครับ ishigaki - yonaguni)
พวกเราตัดสินใจว่าจะขึ้นไปกินเนื้อวัวดำโซยะที่ guesthouse amelia ที่อยู่บนเนินเขาที่แหลมโซยะนี่เองครับ
เลยขับรถขึ้นไป พอเห็นกังหันลมแบบนั้นก็แน่นอนครับ ใช่แล้วล่ะ
เนื้อวัวดำโซยะที่เขาว่าพิเศษ เพราะวัวที่นี้เค้าจะเลี้ยงแบบปล่อยในเวรตามกรรม เอ้ย ปล่อยให้กินหญ้าบนเนินเขาเองครับ
ไม่เลี้ยงแบบปิด organic สุดๆว่างั้น เราลองถามที่โรงแรมเค้าก็แนะนำที่นี่ครับ เลยมากันที่นี่เลย
ปรากฎว่า ... เนื้อวัวดำหมดจ้า อด บรัย เราจึงหาของกินที่อื่นแทนครับ
ระหว่างนั้นเราขับขึ้นเขาแล้ว ดูตามแผนที่สามารถใช้ทางบนเขาขับกลับวักกะไนได้
เลยตัดสินใจขับกลับทางถนน shoyahuhyoga และทางหลวง 889 ครับ
----- ไว้มาต่อนะครับ หมดโควต้า 10000 ตัวอักษรแล้วคร้าบ -----
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น