เมื่อเดือนมกราที่ผ่านมา ได้ตะลุย backpack คนเดียวที่ Hokkaido มาเป็นเวลา 10 วัน 9 คืน สาเหตุที่เลือกแถบนี้ก็เพราะอยากสัมผัสอากาศหนาวที่สุดสักครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอุณหภูมิก็ประมาณ -5 ถึง -14 ก็เที่ยวไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เหนือจรดใต้ของเกาะ (ไม่ได้ไปแตะฝั่งตะวันออก เพราะว่า Drift Ice ยังมาไม่ถึง เลยแวะไปโฉบๆถึงแค่ Asahikawa เท่านั้น) หลายๆเมืองที่ไปก็อาจเป็นที่คุ้นหูสำหรับหลายคนดี เช่น Hakodate, Otaru, Asahikawa, Sapporo ซึ่งรีวิวในพันทิปก็มีให้เห็นอยู่มากมาย แต่มีที่หนึ่งที่ตอนทำการบ้าน หาคนให้ตามรอยได้ยากมาก คือ Wakkanai พอผมได้ไปมาก็เลยจะลองมารีวิวให้ดู เผื่อเป็นข้อมูลให้คนที่จะไปบ้าง อันเป็นที่มาของกระทู้นี้ ซึ่งผมจะพักที่นี่เป็นเวลา 2 คืนครับ
ก่อนอื่นแจ้งข่าวที่ได้ทราบมาเร็วๆนี้ก่อนว่า Wakkanai เป็นหนึ่งในเป้าหมายของ JR Hokkaido ที่อาจจะโดนยุบการให้บริการ เว้นแต่จะเจรจากับทางท้องถิ่นในเรื่องการแบกรับค่าใช้จ่ายกันได้ เนื่องจากเป็นเมืองที่คนอยู่กันเบาบางมาก อีกทั้งไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวจะไปถึง ดังนั้น หากมีการยุบเส้นทางขึ้นมาจริงๆ คงต้องทำใจว่าอาจจะไปได้ลำบากขึ้น จากที่ลำบากอยู่แล้ว5555 เพราะ Pass จะก็ไม่ครอบคลุมอีกต่อไป
อนึ่ง อย่างที่หลายคนทราบว่า ยิ่งห่างจากเมืองท่องเที่ยวมากเท่าไร ภาษาอังกฤษจะหายไปมากเท่านั้น ใช้ได้กับที่นี่เช่นกัน หากเดินออกจากสถานีเมื่อไร ป้ายภาษาอังกฤษแทบจะอันตธานหายไป ตัวผมเอง N3 พอจะถูไถเอาตัวรอดไปได้ แต่คิดว่าใครที่ไม่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นเลย อาจจะพบกับความลำบากอยู่บ้างเหมือนกัน และขอออกตัวว่าผมไม่เฉียดใกล้กับนิยามคำว่าสายหรูเลยสักนิด ทั้งทริปนี้ 10 วันตั้งแต่ออกจนกลับไทยหมดไปไม่ถึง 35000 บาท อิ่มทุกมื้อแต่จะฝากท้องไว้กับคอมบินีเป็นหลัก เข้าร้านอาหารเป็นบางมื้อ อาจจะไม่มีรูปของกินให้ดูนะครับ แต่ตอนท้ายว่าจะสรุปค่าใช้จ่ายสำหรับเมืองนี้ให้นะครับ
Wakkanai (稚内) เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดในประเทศญี่ปุ่น และเป็นเมืองท่าที่ถูกขนาบทะเลญี่ปุ่นและทะเลโอคอทสก์ ถูกเรียกว่าเมืองสายลม เพราะลมพัดแรงมากแทบทั้งปี (อันนี้ผมเองก็ประสบมาเหมือนกัน) เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของการประมงและการจับสัตว์ทะเลมากมาย โดยเฉพาะปู หอยเชลล์ และพระเอกอย่างหอยเม่น
เริ่มต้นกันที่ ผมเดินทางมาถึงสถานี JR Wakkanai ในเวลาหกโมงเย็นกว่าๆ ที่นี่เป็นสถานีปลายทางของสาย Soya Line อยู่แล้ว นั่งกันแบบหลับแล้วหลับอีก พอมาถึงก็แทบไม่เหลือผู้โดยสารเลย เรียกได้ว่าทั้งขบวนมีอยู่ 4-5 คน มีแต่คุณป้ากับวัยรุ่นที่ดูแล้วน่าจะกลับจากการออกไปซื้อของในตัวเมืองใหญ่ บรรยากาศตอนทุ่มนึงครับ สาบานได้ว่านี่คือใจกลางของเมืองเลย โล่งมากแบบว่าเดินไปโรงแรมนี่ไม่ได้กลัวจงกลัวโจรเลย กลัวผีมากกว่า ช็อคกว่านั้นระหว่างทาง เจอจิ้งจอกตัวเป็นๆด้วยครับ คงอาจมาหาของกินหลังพระอาทิตย์ตกไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดุนะครับ ดูกลัวคนซะด้วยซ้ำ เมืองอื่นเห็นเค้าชอบพูดกันว่าห้าโมงเย็นก็ไม่มีคนแล้ว ประทานโทษนะครับ ที่นี่ไม่มีคนทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น
นี่คือสวนสาธารณะกลางเล็กๆของเมืองนี้ ใกล้กับบริเวณที่เจอจิ้งจอก หิมะท่วมสูงมากเพราะจะถูกโกยเพื่อกรุยทางอยู่ตลอด ทำให้ต้องปิดห้ามเข้าในช่วงฤดูหนาว ผมเดินขนาบข้างนี่เรียกได้ว่ามิดหัวพอดีเลยครับ สูงขนาดไหนลองกะจากต้นไม้รอบๆก็ได้ครับ ป้ายที่เห็นน่าจะสูงสักสองเมตร อยากโดดลงไปเหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาแบบที่เคยเห็นคนอื่นเค้าทำกันบ้าง แต่คงลุกกลับขึ้นมาไม่ได้แน่นอน555
สำหรับที่พัก แน่นอนว่าคนอย่างผมเลือกที่ที่ถูกที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งปกติก็คือ Hostel แต่แต่แต่.. เมืองนี้เป็นเมืองแรกที่เคยไปที่ไม่มี Hostel ครับ ที่จริงแม้แต่โรงแรมที่ระยะเดินถึงก็มีอยู่แค่ 3 ที่ครับ และเป็นห้องเดี่ยว Only แต่ข้อดีคือว่าอยู่กระจุกเดียวกันหมดเลยและใกล้กับสถานีมาก ที่ว่ามานี่ก็คือ Dormy Inn Wakkanai / ANA Crowne Plaza Wakkanai / Hyosetsuso ทั้งสามอันได้คะแนนรีวิวดีหมดเลย และรู้สึกอ่านเจอว่าอันแรกจะมีออนเซ็นในโรงแรมกับราเมนฟรีให้กินตอนดึกด้วยมั้งครับถ้าจำไม่ผิด แต่ผมพักที่อันหลังสุด เป็นโรงแรมไซส์เล็กเมื่อเทียบกับอีกสองที่ซึ่งมีห้องแบบฟูกญี่ปุ่น เพราะเบื่อไม่อยากพักห้องแบบตะวันตก ในห้องก็กว้างขวางและสะอาดดีครับ มีอุปกรณ์ครบครัน ตู้เย็น ทีวี ฮีตเตอร์ ฯลฯ ประทับใจที่นี่ครับ
ในตลอดช่วงที่พักสองคืน ได้คุยกับเจ้าของโรงแรม เป็นคุณลุงอายุสักประมาณ 50 กว่า ไปเมืองไทยมาแล้วหลายครั้งมาก แล้วก็อุปการะให้ทุนการศึกษาเด็กยากจนไปหลายคนแล้ว แต่กระนั้นก็พูดไทยไม่ได้ (สวัสดีครับ/ขอบคุณครับ ผมไม่นับว่าพูดได้ละกันนะ) ส่วนอังกฤษแม้จะไม่ถึงกับปร๋อ แต่ก็พูดคล่องเมื่อเทียบกับมาตรฐานคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ตอนเช็คเอาท์ลุงขอถ่ายรูปกับฟร้อนท์โรงแรม บอกว่านานๆทีจะมีแขกต่างชาติมาคุยด้วย มีมาเมื่อไรแกจะขอเอารูปกับประวัติความเป็นมาไปเล่าลงเพจโรงแรมทุกราย แต่เนื่องด้วยเป็นภาษาญี่ปุ่นค่อนข้างยาวซึ่งบางประโยคผมก็แปลไม่ออก อยากให้ผู้เชี่ยวชาญแปลให้ฟังเหมือนกัน แต่รู้สึกเขินเลยขอไม่แคปมาลงพันทิปดีกว่า555
คุยไปคุยมาผมบอกว่าอยากหาวิวถ่ายรูปสวยๆ แกก็ได้ทีอวดเลยเอาโปสการ์ดที่แกถ่ายเองมาแจกให้ 3 ใบ ตอนหลังแวะมาคุยอีก ทีนี้แกควักถุงมือ Booking.com มาแจกเลยครับ อันนี้ดูดีมากครับ สวมแล้วทัชสมาร์ทโฟนได้ แถมอุ่นกว่าที่ขายในเซเว่น 1000 เยนอีก แอบคิดว่าทำไมของแจกดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอยู่นานกว่านี้คงจะได้ของใหญ่5555 สงสัยถูกใจเจอนักท่องเที่ยวพูดญี่ปุ่นได้(บ้าง) ปกติเวลาเดินทางไปเที่ยวตปท. ผมจะพกของที่ระลึกเล็กๆจากเมืองไทยไปด้วย เอาไว้แจกเผื่อเวลาเจอใครช่วยเหลืออะไรหรือใครมาชวนคุยแนะนำอะไร คราวนี้เป็นแม็กเน็ตรูปช้างจากจตุจักรซึ่งอันที่จริงเหลือจากทริปที่แล้ว555 ยาดมซึ่งตอนนี้ดังที่ญี่ปุ่น อาจจะเป็นเพราะมีรายการญี่ปุ่นเคยเอาไปออกละมั้ง (อันนี้ปรากฏว่าลุงก็มีอยู่แล้ว ใช้อยู่ประจำ พร้อมกับหยิบออกมาโชว์) แล้วก็ขนมอีกนิดหน่อย วันเช็คเอ้าท์ผมก็เลยแจกคืนไปหลายอันเลย
[CR] [Hokkaido] หน้าหนาว ณ Wakkanai เหนือสุดแดนญี่ปุ่น คนเดียวก็ไปมาแล้ว..
ก่อนอื่นแจ้งข่าวที่ได้ทราบมาเร็วๆนี้ก่อนว่า Wakkanai เป็นหนึ่งในเป้าหมายของ JR Hokkaido ที่อาจจะโดนยุบการให้บริการ เว้นแต่จะเจรจากับทางท้องถิ่นในเรื่องการแบกรับค่าใช้จ่ายกันได้ เนื่องจากเป็นเมืองที่คนอยู่กันเบาบางมาก อีกทั้งไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวจะไปถึง ดังนั้น หากมีการยุบเส้นทางขึ้นมาจริงๆ คงต้องทำใจว่าอาจจะไปได้ลำบากขึ้น จากที่ลำบากอยู่แล้ว5555 เพราะ Pass จะก็ไม่ครอบคลุมอีกต่อไป
อนึ่ง อย่างที่หลายคนทราบว่า ยิ่งห่างจากเมืองท่องเที่ยวมากเท่าไร ภาษาอังกฤษจะหายไปมากเท่านั้น ใช้ได้กับที่นี่เช่นกัน หากเดินออกจากสถานีเมื่อไร ป้ายภาษาอังกฤษแทบจะอันตธานหายไป ตัวผมเอง N3 พอจะถูไถเอาตัวรอดไปได้ แต่คิดว่าใครที่ไม่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นเลย อาจจะพบกับความลำบากอยู่บ้างเหมือนกัน และขอออกตัวว่าผมไม่เฉียดใกล้กับนิยามคำว่าสายหรูเลยสักนิด ทั้งทริปนี้ 10 วันตั้งแต่ออกจนกลับไทยหมดไปไม่ถึง 35000 บาท อิ่มทุกมื้อแต่จะฝากท้องไว้กับคอมบินีเป็นหลัก เข้าร้านอาหารเป็นบางมื้อ อาจจะไม่มีรูปของกินให้ดูนะครับ แต่ตอนท้ายว่าจะสรุปค่าใช้จ่ายสำหรับเมืองนี้ให้นะครับ
Wakkanai (稚内) เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดในประเทศญี่ปุ่น และเป็นเมืองท่าที่ถูกขนาบทะเลญี่ปุ่นและทะเลโอคอทสก์ ถูกเรียกว่าเมืองสายลม เพราะลมพัดแรงมากแทบทั้งปี (อันนี้ผมเองก็ประสบมาเหมือนกัน) เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของการประมงและการจับสัตว์ทะเลมากมาย โดยเฉพาะปู หอยเชลล์ และพระเอกอย่างหอยเม่น
เริ่มต้นกันที่ ผมเดินทางมาถึงสถานี JR Wakkanai ในเวลาหกโมงเย็นกว่าๆ ที่นี่เป็นสถานีปลายทางของสาย Soya Line อยู่แล้ว นั่งกันแบบหลับแล้วหลับอีก พอมาถึงก็แทบไม่เหลือผู้โดยสารเลย เรียกได้ว่าทั้งขบวนมีอยู่ 4-5 คน มีแต่คุณป้ากับวัยรุ่นที่ดูแล้วน่าจะกลับจากการออกไปซื้อของในตัวเมืองใหญ่ บรรยากาศตอนทุ่มนึงครับ สาบานได้ว่านี่คือใจกลางของเมืองเลย โล่งมากแบบว่าเดินไปโรงแรมนี่ไม่ได้กลัวจงกลัวโจรเลย กลัวผีมากกว่า ช็อคกว่านั้นระหว่างทาง เจอจิ้งจอกตัวเป็นๆด้วยครับ คงอาจมาหาของกินหลังพระอาทิตย์ตกไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดุนะครับ ดูกลัวคนซะด้วยซ้ำ เมืองอื่นเห็นเค้าชอบพูดกันว่าห้าโมงเย็นก็ไม่มีคนแล้ว ประทานโทษนะครับ ที่นี่ไม่มีคนทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น
นี่คือสวนสาธารณะกลางเล็กๆของเมืองนี้ ใกล้กับบริเวณที่เจอจิ้งจอก หิมะท่วมสูงมากเพราะจะถูกโกยเพื่อกรุยทางอยู่ตลอด ทำให้ต้องปิดห้ามเข้าในช่วงฤดูหนาว ผมเดินขนาบข้างนี่เรียกได้ว่ามิดหัวพอดีเลยครับ สูงขนาดไหนลองกะจากต้นไม้รอบๆก็ได้ครับ ป้ายที่เห็นน่าจะสูงสักสองเมตร อยากโดดลงไปเหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาแบบที่เคยเห็นคนอื่นเค้าทำกันบ้าง แต่คงลุกกลับขึ้นมาไม่ได้แน่นอน555
สำหรับที่พัก แน่นอนว่าคนอย่างผมเลือกที่ที่ถูกที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งปกติก็คือ Hostel แต่แต่แต่.. เมืองนี้เป็นเมืองแรกที่เคยไปที่ไม่มี Hostel ครับ ที่จริงแม้แต่โรงแรมที่ระยะเดินถึงก็มีอยู่แค่ 3 ที่ครับ และเป็นห้องเดี่ยว Only แต่ข้อดีคือว่าอยู่กระจุกเดียวกันหมดเลยและใกล้กับสถานีมาก ที่ว่ามานี่ก็คือ Dormy Inn Wakkanai / ANA Crowne Plaza Wakkanai / Hyosetsuso ทั้งสามอันได้คะแนนรีวิวดีหมดเลย และรู้สึกอ่านเจอว่าอันแรกจะมีออนเซ็นในโรงแรมกับราเมนฟรีให้กินตอนดึกด้วยมั้งครับถ้าจำไม่ผิด แต่ผมพักที่อันหลังสุด เป็นโรงแรมไซส์เล็กเมื่อเทียบกับอีกสองที่ซึ่งมีห้องแบบฟูกญี่ปุ่น เพราะเบื่อไม่อยากพักห้องแบบตะวันตก ในห้องก็กว้างขวางและสะอาดดีครับ มีอุปกรณ์ครบครัน ตู้เย็น ทีวี ฮีตเตอร์ ฯลฯ ประทับใจที่นี่ครับ
ในตลอดช่วงที่พักสองคืน ได้คุยกับเจ้าของโรงแรม เป็นคุณลุงอายุสักประมาณ 50 กว่า ไปเมืองไทยมาแล้วหลายครั้งมาก แล้วก็อุปการะให้ทุนการศึกษาเด็กยากจนไปหลายคนแล้ว แต่กระนั้นก็พูดไทยไม่ได้ (สวัสดีครับ/ขอบคุณครับ ผมไม่นับว่าพูดได้ละกันนะ) ส่วนอังกฤษแม้จะไม่ถึงกับปร๋อ แต่ก็พูดคล่องเมื่อเทียบกับมาตรฐานคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ตอนเช็คเอาท์ลุงขอถ่ายรูปกับฟร้อนท์โรงแรม บอกว่านานๆทีจะมีแขกต่างชาติมาคุยด้วย มีมาเมื่อไรแกจะขอเอารูปกับประวัติความเป็นมาไปเล่าลงเพจโรงแรมทุกราย แต่เนื่องด้วยเป็นภาษาญี่ปุ่นค่อนข้างยาวซึ่งบางประโยคผมก็แปลไม่ออก อยากให้ผู้เชี่ยวชาญแปลให้ฟังเหมือนกัน แต่รู้สึกเขินเลยขอไม่แคปมาลงพันทิปดีกว่า555
คุยไปคุยมาผมบอกว่าอยากหาวิวถ่ายรูปสวยๆ แกก็ได้ทีอวดเลยเอาโปสการ์ดที่แกถ่ายเองมาแจกให้ 3 ใบ ตอนหลังแวะมาคุยอีก ทีนี้แกควักถุงมือ Booking.com มาแจกเลยครับ อันนี้ดูดีมากครับ สวมแล้วทัชสมาร์ทโฟนได้ แถมอุ่นกว่าที่ขายในเซเว่น 1000 เยนอีก แอบคิดว่าทำไมของแจกดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอยู่นานกว่านี้คงจะได้ของใหญ่5555 สงสัยถูกใจเจอนักท่องเที่ยวพูดญี่ปุ่นได้(บ้าง) ปกติเวลาเดินทางไปเที่ยวตปท. ผมจะพกของที่ระลึกเล็กๆจากเมืองไทยไปด้วย เอาไว้แจกเผื่อเวลาเจอใครช่วยเหลืออะไรหรือใครมาชวนคุยแนะนำอะไร คราวนี้เป็นแม็กเน็ตรูปช้างจากจตุจักรซึ่งอันที่จริงเหลือจากทริปที่แล้ว555 ยาดมซึ่งตอนนี้ดังที่ญี่ปุ่น อาจจะเป็นเพราะมีรายการญี่ปุ่นเคยเอาไปออกละมั้ง (อันนี้ปรากฏว่าลุงก็มีอยู่แล้ว ใช้อยู่ประจำ พร้อมกับหยิบออกมาโชว์) แล้วก็ขนมอีกนิดหน่อย วันเช็คเอ้าท์ผมก็เลยแจกคืนไปหลายอันเลย