เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสี่สิบปีก่อน เป็นเรื่องราวของครูธง เป็นนามสมมุติ ที่พึ่งบรรจุเข้ารับราชการในโรงเรียนชนบทห่างไกลแห่งหนึ่ง
ที่ว่าห่างไกลนั้น ระยะทางจากตัวจังหวัดประมาณสี่สิบกิโลเมตร ความรู้สึกว่าไกลเพราะถนนหนทางในยุคนั้นยังเป็นลูกรัง
ในหน้าฝนเป็นแอ่งเป็นทะเลโคลน ในหน้าเเล้งมีฝุ่นเเดง รถยนต์แล่นผ่านมาทีฝุ่นตลบฟุ้ง
ชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังใช้เกวียนเป็นพาหนะเอาไว้บรรทุกพืชผลทางการเกษตร
มีเเต่คนอาชีพรับราชการ เช่น ครู ที่มีเงินเดือนเเพง พอจะซื้อหารถจักรยานยนต์ กับเจ็กลานรับซื้อข้าวเปลือกที่มีรถกระบะไว้ใช้งาน
เวลานั้นพื้นที่อำเภอที่ติดชายแดนประเทศลาว ได้เเก่อำเภอปง อำเภอเชียงคำ ยังมีข่าวผู้ก่อการคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการ
ส่วนอำเภอที่ผมอยู่ในนั้นเขตอำเภอจุนจะเงียบสงบ
วันดีคืนดีจะมีเฮลิปคอปเตอร์เบล212 ฮิวอี้ ลำใหญ่ทะมึนบินลงมาเหนือหลังคาของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ยังมุงด้วยหญ้า
ลมแรงพัดเอาหลังคาแทบปลิวเกือบหายไปทั้งหลัง นักบินต้องบังคับเครื่องบินสูงขึ้นไป แล้วโปรยกระดาษลงมา ลงทุ่งนาก็เยอะ
พวกเด็กเลี้ยงควายกลางทุ่งนาพากันเฮวิ่งไปรุมเก็บกัน ส่วนใหญ่เด็กอ่านไม่ค่อยออกเพราะเรียนเเค่ ป.2- ป.3 ก็หยุดเรียนมาช่วยทางบ้านทำงาน
งานหลักๆ ของเด็กวัยนี้คือเลี้ยงควาย ที่บ้านๆ หนึ่งยิ่งมีที่นามากจะเลี้ยงควายเอาไว้ใช้ไถนาหลายตัว
วันนั้นครูธงขับจักรยานยนต์มาจากตัวจังหวัด มาถึงที่หมายในช่วงบ่ายภายหลังฝนตกจึงทุลักทุเลมาก รถละเลงโคลนมาทั้งคัน
โดยปกติทางโรงเรียนจะมีบ้านพักครูไว้ให้ อีกนัยหนึ่งให้ครูหนุ่มๆ อยู่ดูแลทรัพย์สินของทางโรงเรียนด้วย
ส่วนครูใหญ่อำนวยกับครูอาวุโสที่มาอยู่ก่อนหน้านานเเล้ว อยู่กันเป็นคู่ผัวเมียจะหาเช่าบ้านอยู่
ส่วนนักการภารโรงชื่อลุงจวน แกเป็นคนท้องถิ่นนี้ เลิกงานก็กลับไปนอนบ้านกับเมียแต่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก
ไม่เกินสองทุ่มจะเที่ยวขี่จักรยานมาฉายไฟดูความเรียบร้อยในโรงเรียน
เสียงที่บังโซ่ที่น็อตหลวม เวลารถกระเเทกทีจะได้ยินเสียงดัง เเต๊ง! แต๊ง! ดังมาเเต่ไกลโดยเฉพาะเวลาค่ำคืน
บ้านพักครูสร้างจากไม้ทั้งหลัง ใต้ถุนสูง มีสองห้องนอน ไม่ได้ทาสีอะไรจึงดูหม่นๆ แต่สภาพมั่นคงเเข็งแรงดี
บันไดบ้านจะสูงชันพอสมควรเมื่อเทียบกับบ้านทั่วไป อยู่เยื้องจากอาคารเรียนรวม ปลูกสร้างจากไม้ชั้นเดียว
ด้านหน้ามีต้นกระถินเทพาหลายต้น ออกทรงพุ่มบดบังตัวบ้านกับหน้าต่างยิ่งทำให้เวลากลางคืน บ้านหลังนี้จึงดูวังเวง
ทันทีที่ก้าวขาขึ้นบันได รู้สึกขนแขนตั้งชัน หางตามันตวัดไปเห็นเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ ครูธงหันขวับไม่เห็นมีใคร ปกติไม่กลัวผีหรอก
แต่ไม่ใช่ประเภทลบหลู่ หาเรื่องใส่ตัว โรงเรียนตอนกลางวัน มีครูมีนักเรียนเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ผิดกับตอนหัวค่ำมันดูร้างมาก
หลังจากครูธงขนย้ายสัมภาระขึ้นมาบ้านพัก สิ่งแรกที่เห็นคือภาพถ่ายบนผนัง เห็นป้ายชื่อครูทศ
ครูธงทำจมูกเสียงดังฟุตฟิตได้กลิ่นอับๆ คล้ายควันธูปแต่ไม่ได้คิดอะไร บนพื้นมีตะกร้าใส่ผ้าที่ยังไม่ได้ซัก
น่าจะเป็นของครูที่อาศัยในห้องนี้ แม้ตามมุมห้องจะมีใยเเมงมุมกับฝุ่นผงอยู่บ้าง ไม่ได้ร้างคนอยู่อย่างที่เข้าใจ
ความรู้สึกเย็นยะเยือกจนขนเเขนตั้งชันพอทุเลาลง เมื่อรู้ว่ามีคนอยู่เป็นเพื่อน
พอลงบันไดมามือหนึ่งจับราว อีกมือหนึ่งถือขันสบู่ ครูธงต้องผวามือที่จับราวบันไดมันโยก
เกือบถลำตกลงไป ดีที่ทิ้งน้ำหนักตัวมาที่ก้น นั่งลูกบันไดอย่างใจหายใจคว่ำ
เมื่อกี้ตะปูมันคงถอนเลยยึดราวจับไม่อยู่ ครูแกส่ายหัว บันไดเเบบนี้ถ้าเดินลงมาไม่ระวัง
อาจพลัดตกลงไปได้ สูงชันแบบนี้ดีไม่ดีคอหักตาย
พอดีเจอจักรยานจอดพิงไว้ใต้ถุนยี่ห้อลาเร่ย์จอดแอบๆ ไว้ข้างตู้เก็บของ
ครูธงลองจับบันไดจักรยานหมุนโซ่ดู เผื่อว่าจะใช้ขี่ตรวจภายในโรงเรียน กับออกไปเยี่ยมผู้ปกครองนักเรียน
บังโซ่หลวมเวลาหมุนจะดัง เเต๊ง! แต๊ง! สภาพของมันยังใช้งานได้ มีที่บังโซ่กับลมยางรถที่อ่อน
ถ้ายางไม่รั่วซ่อมเเซมนิดหน่อยก็ใช้งานได้
เวลาโพล้เพล้บรรยากาศในโรงเรียนเงียบเชียบ ภารโรงลุงจวนขี่จักรยาน
ฉายไฟฉายไปมาเห็นแสงไฟฉายวอมเเวมมาแต่ไกล
พอมาถึงบ้านพัก ที่ตะกร้าหน้ารถใส่ปิ่นโตกับข้าวมาฝาก
ครูธงเลยถามไป ถึงได้รู้ว่ามีคนอยู่ก่อนแแล้ว ชื่อครูเมฆ
ตอนนี้ครูไปกู้เบ็ดที่คลองด้านหลังโรงเรียน เมื่อกี้เเกเจออยู่ กับข้าวนี้แกเอามาเผื่อทั้งสองคนเลย
พอพูดถึงครูเมฆก็มาพอดี เดินเป็นเงาตะคุ่มๆ ด้านหลังมีคนหาปลาอีกคน แต่เดินแยกไปอีกทาง
แกสวมแต่ผ้าขาวม้าตัวเดียวเนื้อตัวเปียกโชกเพราะพึ่งขึ้นจากน้ำ ในมือถือเบ็ดปักกับกระชังใส่ปลา
ได้ปลาช่อนตัวใหญ่มาหลายตัว บอกที่ด้านหลังโรงเรียนมีคลอง ปลาชุมมากเลยออกหา
วันนี้ก็ได้มาเยอะ เลยฝากลุงจวนให้เมียแกไปทำกับข้าว
ต่างทักทายกันดี ถึงรู้ครูเมฆมาถึงก่อนหน้าอาทิตย์กว่าเเล้ว เป็นครูที่ย้ายมาจากโรงเรียนอื่นไม่ใช่พึ่งบรรจุเหมือนครูธง
"ไปช่วยกันปักเบ็ดมาหรือครับพี่ ไปสองคนคงได้เยอะ" ครูธงพูดด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม ปราศจากเลศนัย
ครูเมฆอึ้งหันไปมองด้านหลัง ที่เป็นทุ่งนาฟ้าโล่ง ลุงจวนเอามือหนังเกาหัวก็เมื่อตะกี้เเกไปทักกับครูเมฆมา
ไม่เห็นมีใครอยู่ด้วย สองคนอ้ำอึ้งไปชั่วขณะทำเอาอึดอัด ลุงจวนแกยิ้มแหยๆ
"ไม่ต้องกลัวนะครับครู กลางค่ำกลางคืนในโรงเรียน ที่บ้านพักมีครูเมฆนอนเป็นเพื่อน มีอะไรปรึกษากันได้"
ลุงจวนพูดปนขำ เห็นเหงือกคล้ำ ที่คอห้อยพระนับสิบองค์
"ผมต้องกลัวอะไรหรือครับลุง" ครูธงถามด้วยสีหน้าสงสัย
"เอาเป็นว่าไม่เกินสองทุ่ม ถ้าไม่ติดธุระ ผมจะเเวะมาดู มาเป็นเพื่อนคุยละกัน"
ลุงจวนแกรีบเข็นรถจักรยานแบบผู้ชาย ขึ้นควบได้ก็รีบปั่นออกไปทันที
ภายหลังอาบน้ำเสร็จ สองคนมาทานอาหารร่วมกัน บนม้าหินอ่อนใต้ถุนเรือน จุดตะเกียงน้ำมันก๊าด
แม้ลมตอนนี้จะเเรงจะแรงแต่ไม่ดับง่ายๆ ท้องฟ้ามีเค้าเมฆฝนมาอีกเเล้ว กับข้าวเป็นผัดกะเพรา โป๊ะไข่ดาว
ครูธงลองตักมาเคี้ยวคำแรกดังกรุบๆ รสชาติเเปลก ไม่หมูไม่ไก่ ไม่คุ้นลิ้นเลย
"เป็นไงผัดกะเพราหนูนา ฝีมือเมียลุงจวน อร่อยไหม" ครูเมฆพูดปนขำ ขณะข้าวเต็มปาก ดูเป็นคนง่ายๆ น่าจะเข้ากับลุงจวนได้ดี
ทำเอาครูธงสะอึกต้องรีบหยิบน้ำจากขันมาดื่มแก้สีหน้า ยอมรับกินหนูนาครั้งเเรก ไม่อยากคายให้เสียเชิง ในเมื่อมาอยู่ชนบทต้องกินง่ายอยู่ง่าย
พึ่งสังเกตครูเมฆผิวคล้ำแบบลูกชาวนา ผิดกับคนในรูปถ่ายข้างบน ต้องไม่ใช่คนคนเดียวกันเเน่
พอเอ่ยปากถามภาพถ่ายข้างบนเป็นใคร
ครูเมฆสะอึกข้าวบ้าง ท่าทีหนักใจ แล้วเอ่ยปากลอยๆ ตนเองไม่กลัวเรื่องผีสาง
อยู่มาเป็นอาทิตย์แล้ว ไม่เห็นมีอะไรออกมา
ครูธงชักสีหน้าไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ๆ กลางค่ำกลางคืนครูเมฆถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
"ครูธงไม่รู้เรื่องครูทศจริงๆ เหรอ"
"เรื่องอะไรหรือพี่"
"อืม... ไม่รู้ก็ดีแล้ว"
คืนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนรุ่งเช้า ครูใหญ่แนะนำคุณครูคนใหม่หน้าเเถวก่อนเคารพธงชาติ
ครูเมฆสอนวิชาคณิตศาสตร์ แต่ก็คุมชั่วโมงงานประดิษฐ์ด้วย เมื่อวันก่อนสอนเด็กทำเบ็ดปัก
ส่วนครูธงสอนวิชาศิลปะ เป็นคนเก่งวาดเขียนระบายสี ร้องเพลง เล่นดนตรีก็เก่ง เป็นคนอัธยาศัยดี
เพียงไม่นานก็เป็นที่รักของเพื่อนครูด้วยกัน บางวิชาที่ครูเมฆไม่ว่าง ครูธงจะสอนเเทน
เป็นเรื่องยากที่เด็กนักเรียนจะตั้งใจกับการท่องสูตรคูณ ครูธงเลยหาไม้ไผ่มาเหลาคล้ายไม้ตะเกียบมาให้เด็กนับเลข
พอท้ายชั่วโมงจะเปลี่ยนมาเล่านิทานบ้าง เล่าเรื่องบ้างให้นักเรียนรู้สึกสนุกในการเรียน
เวลาหลังเลิกเรียนครูเมฆ จะชอบออกหาปลาเช่นเคย แม้มีเงินเเต่ไม่ค่อยมีอะไรให้ซื้อ
ของกินต้องช่วยเหลือตัวเอง ที่ด้านหลังโรงเรียนเป็นคลอง อีกฝั่งคือทุ่งนาเขียวขจี
สมัยนั้นไม่ได้ใช้สารเคมีทำนา น้ำจึงใสสะอาดมาก ปลาจึงชุกชุม เรียกว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าวกันเลยทีเดียว
บ้านพักครูหลังนั้น... สองตอนจบครับ
ที่ว่าห่างไกลนั้น ระยะทางจากตัวจังหวัดประมาณสี่สิบกิโลเมตร ความรู้สึกว่าไกลเพราะถนนหนทางในยุคนั้นยังเป็นลูกรัง
ในหน้าฝนเป็นแอ่งเป็นทะเลโคลน ในหน้าเเล้งมีฝุ่นเเดง รถยนต์แล่นผ่านมาทีฝุ่นตลบฟุ้ง
ชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังใช้เกวียนเป็นพาหนะเอาไว้บรรทุกพืชผลทางการเกษตร
มีเเต่คนอาชีพรับราชการ เช่น ครู ที่มีเงินเดือนเเพง พอจะซื้อหารถจักรยานยนต์ กับเจ็กลานรับซื้อข้าวเปลือกที่มีรถกระบะไว้ใช้งาน
เวลานั้นพื้นที่อำเภอที่ติดชายแดนประเทศลาว ได้เเก่อำเภอปง อำเภอเชียงคำ ยังมีข่าวผู้ก่อการคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการ
ส่วนอำเภอที่ผมอยู่ในนั้นเขตอำเภอจุนจะเงียบสงบ
วันดีคืนดีจะมีเฮลิปคอปเตอร์เบล212 ฮิวอี้ ลำใหญ่ทะมึนบินลงมาเหนือหลังคาของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ยังมุงด้วยหญ้า
ลมแรงพัดเอาหลังคาแทบปลิวเกือบหายไปทั้งหลัง นักบินต้องบังคับเครื่องบินสูงขึ้นไป แล้วโปรยกระดาษลงมา ลงทุ่งนาก็เยอะ
พวกเด็กเลี้ยงควายกลางทุ่งนาพากันเฮวิ่งไปรุมเก็บกัน ส่วนใหญ่เด็กอ่านไม่ค่อยออกเพราะเรียนเเค่ ป.2- ป.3 ก็หยุดเรียนมาช่วยทางบ้านทำงาน
งานหลักๆ ของเด็กวัยนี้คือเลี้ยงควาย ที่บ้านๆ หนึ่งยิ่งมีที่นามากจะเลี้ยงควายเอาไว้ใช้ไถนาหลายตัว
วันนั้นครูธงขับจักรยานยนต์มาจากตัวจังหวัด มาถึงที่หมายในช่วงบ่ายภายหลังฝนตกจึงทุลักทุเลมาก รถละเลงโคลนมาทั้งคัน
โดยปกติทางโรงเรียนจะมีบ้านพักครูไว้ให้ อีกนัยหนึ่งให้ครูหนุ่มๆ อยู่ดูแลทรัพย์สินของทางโรงเรียนด้วย
ส่วนครูใหญ่อำนวยกับครูอาวุโสที่มาอยู่ก่อนหน้านานเเล้ว อยู่กันเป็นคู่ผัวเมียจะหาเช่าบ้านอยู่
ส่วนนักการภารโรงชื่อลุงจวน แกเป็นคนท้องถิ่นนี้ เลิกงานก็กลับไปนอนบ้านกับเมียแต่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก
ไม่เกินสองทุ่มจะเที่ยวขี่จักรยานมาฉายไฟดูความเรียบร้อยในโรงเรียน
เสียงที่บังโซ่ที่น็อตหลวม เวลารถกระเเทกทีจะได้ยินเสียงดัง เเต๊ง! แต๊ง! ดังมาเเต่ไกลโดยเฉพาะเวลาค่ำคืน
บ้านพักครูสร้างจากไม้ทั้งหลัง ใต้ถุนสูง มีสองห้องนอน ไม่ได้ทาสีอะไรจึงดูหม่นๆ แต่สภาพมั่นคงเเข็งแรงดี
บันไดบ้านจะสูงชันพอสมควรเมื่อเทียบกับบ้านทั่วไป อยู่เยื้องจากอาคารเรียนรวม ปลูกสร้างจากไม้ชั้นเดียว
ด้านหน้ามีต้นกระถินเทพาหลายต้น ออกทรงพุ่มบดบังตัวบ้านกับหน้าต่างยิ่งทำให้เวลากลางคืน บ้านหลังนี้จึงดูวังเวง
ทันทีที่ก้าวขาขึ้นบันได รู้สึกขนแขนตั้งชัน หางตามันตวัดไปเห็นเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ ครูธงหันขวับไม่เห็นมีใคร ปกติไม่กลัวผีหรอก
แต่ไม่ใช่ประเภทลบหลู่ หาเรื่องใส่ตัว โรงเรียนตอนกลางวัน มีครูมีนักเรียนเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ผิดกับตอนหัวค่ำมันดูร้างมาก
หลังจากครูธงขนย้ายสัมภาระขึ้นมาบ้านพัก สิ่งแรกที่เห็นคือภาพถ่ายบนผนัง เห็นป้ายชื่อครูทศ
ครูธงทำจมูกเสียงดังฟุตฟิตได้กลิ่นอับๆ คล้ายควันธูปแต่ไม่ได้คิดอะไร บนพื้นมีตะกร้าใส่ผ้าที่ยังไม่ได้ซัก
น่าจะเป็นของครูที่อาศัยในห้องนี้ แม้ตามมุมห้องจะมีใยเเมงมุมกับฝุ่นผงอยู่บ้าง ไม่ได้ร้างคนอยู่อย่างที่เข้าใจ
ความรู้สึกเย็นยะเยือกจนขนเเขนตั้งชันพอทุเลาลง เมื่อรู้ว่ามีคนอยู่เป็นเพื่อน
พอลงบันไดมามือหนึ่งจับราว อีกมือหนึ่งถือขันสบู่ ครูธงต้องผวามือที่จับราวบันไดมันโยก
เกือบถลำตกลงไป ดีที่ทิ้งน้ำหนักตัวมาที่ก้น นั่งลูกบันไดอย่างใจหายใจคว่ำ
เมื่อกี้ตะปูมันคงถอนเลยยึดราวจับไม่อยู่ ครูแกส่ายหัว บันไดเเบบนี้ถ้าเดินลงมาไม่ระวัง
อาจพลัดตกลงไปได้ สูงชันแบบนี้ดีไม่ดีคอหักตาย
พอดีเจอจักรยานจอดพิงไว้ใต้ถุนยี่ห้อลาเร่ย์จอดแอบๆ ไว้ข้างตู้เก็บของ
ครูธงลองจับบันไดจักรยานหมุนโซ่ดู เผื่อว่าจะใช้ขี่ตรวจภายในโรงเรียน กับออกไปเยี่ยมผู้ปกครองนักเรียน
บังโซ่หลวมเวลาหมุนจะดัง เเต๊ง! แต๊ง! สภาพของมันยังใช้งานได้ มีที่บังโซ่กับลมยางรถที่อ่อน
ถ้ายางไม่รั่วซ่อมเเซมนิดหน่อยก็ใช้งานได้
เวลาโพล้เพล้บรรยากาศในโรงเรียนเงียบเชียบ ภารโรงลุงจวนขี่จักรยาน
ฉายไฟฉายไปมาเห็นแสงไฟฉายวอมเเวมมาแต่ไกล
พอมาถึงบ้านพัก ที่ตะกร้าหน้ารถใส่ปิ่นโตกับข้าวมาฝาก
ครูธงเลยถามไป ถึงได้รู้ว่ามีคนอยู่ก่อนแแล้ว ชื่อครูเมฆ
ตอนนี้ครูไปกู้เบ็ดที่คลองด้านหลังโรงเรียน เมื่อกี้เเกเจออยู่ กับข้าวนี้แกเอามาเผื่อทั้งสองคนเลย
พอพูดถึงครูเมฆก็มาพอดี เดินเป็นเงาตะคุ่มๆ ด้านหลังมีคนหาปลาอีกคน แต่เดินแยกไปอีกทาง
แกสวมแต่ผ้าขาวม้าตัวเดียวเนื้อตัวเปียกโชกเพราะพึ่งขึ้นจากน้ำ ในมือถือเบ็ดปักกับกระชังใส่ปลา
ได้ปลาช่อนตัวใหญ่มาหลายตัว บอกที่ด้านหลังโรงเรียนมีคลอง ปลาชุมมากเลยออกหา
วันนี้ก็ได้มาเยอะ เลยฝากลุงจวนให้เมียแกไปทำกับข้าว
ต่างทักทายกันดี ถึงรู้ครูเมฆมาถึงก่อนหน้าอาทิตย์กว่าเเล้ว เป็นครูที่ย้ายมาจากโรงเรียนอื่นไม่ใช่พึ่งบรรจุเหมือนครูธง
"ไปช่วยกันปักเบ็ดมาหรือครับพี่ ไปสองคนคงได้เยอะ" ครูธงพูดด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม ปราศจากเลศนัย
ครูเมฆอึ้งหันไปมองด้านหลัง ที่เป็นทุ่งนาฟ้าโล่ง ลุงจวนเอามือหนังเกาหัวก็เมื่อตะกี้เเกไปทักกับครูเมฆมา
ไม่เห็นมีใครอยู่ด้วย สองคนอ้ำอึ้งไปชั่วขณะทำเอาอึดอัด ลุงจวนแกยิ้มแหยๆ
"ไม่ต้องกลัวนะครับครู กลางค่ำกลางคืนในโรงเรียน ที่บ้านพักมีครูเมฆนอนเป็นเพื่อน มีอะไรปรึกษากันได้"
ลุงจวนพูดปนขำ เห็นเหงือกคล้ำ ที่คอห้อยพระนับสิบองค์
"ผมต้องกลัวอะไรหรือครับลุง" ครูธงถามด้วยสีหน้าสงสัย
"เอาเป็นว่าไม่เกินสองทุ่ม ถ้าไม่ติดธุระ ผมจะเเวะมาดู มาเป็นเพื่อนคุยละกัน"
ลุงจวนแกรีบเข็นรถจักรยานแบบผู้ชาย ขึ้นควบได้ก็รีบปั่นออกไปทันที
ภายหลังอาบน้ำเสร็จ สองคนมาทานอาหารร่วมกัน บนม้าหินอ่อนใต้ถุนเรือน จุดตะเกียงน้ำมันก๊าด
แม้ลมตอนนี้จะเเรงจะแรงแต่ไม่ดับง่ายๆ ท้องฟ้ามีเค้าเมฆฝนมาอีกเเล้ว กับข้าวเป็นผัดกะเพรา โป๊ะไข่ดาว
ครูธงลองตักมาเคี้ยวคำแรกดังกรุบๆ รสชาติเเปลก ไม่หมูไม่ไก่ ไม่คุ้นลิ้นเลย
"เป็นไงผัดกะเพราหนูนา ฝีมือเมียลุงจวน อร่อยไหม" ครูเมฆพูดปนขำ ขณะข้าวเต็มปาก ดูเป็นคนง่ายๆ น่าจะเข้ากับลุงจวนได้ดี
ทำเอาครูธงสะอึกต้องรีบหยิบน้ำจากขันมาดื่มแก้สีหน้า ยอมรับกินหนูนาครั้งเเรก ไม่อยากคายให้เสียเชิง ในเมื่อมาอยู่ชนบทต้องกินง่ายอยู่ง่าย
พึ่งสังเกตครูเมฆผิวคล้ำแบบลูกชาวนา ผิดกับคนในรูปถ่ายข้างบน ต้องไม่ใช่คนคนเดียวกันเเน่
พอเอ่ยปากถามภาพถ่ายข้างบนเป็นใคร
ครูเมฆสะอึกข้าวบ้าง ท่าทีหนักใจ แล้วเอ่ยปากลอยๆ ตนเองไม่กลัวเรื่องผีสาง
อยู่มาเป็นอาทิตย์แล้ว ไม่เห็นมีอะไรออกมา
ครูธงชักสีหน้าไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ๆ กลางค่ำกลางคืนครูเมฆถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
"ครูธงไม่รู้เรื่องครูทศจริงๆ เหรอ"
"เรื่องอะไรหรือพี่"
"อืม... ไม่รู้ก็ดีแล้ว"
คืนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนรุ่งเช้า ครูใหญ่แนะนำคุณครูคนใหม่หน้าเเถวก่อนเคารพธงชาติ
ครูเมฆสอนวิชาคณิตศาสตร์ แต่ก็คุมชั่วโมงงานประดิษฐ์ด้วย เมื่อวันก่อนสอนเด็กทำเบ็ดปัก
ส่วนครูธงสอนวิชาศิลปะ เป็นคนเก่งวาดเขียนระบายสี ร้องเพลง เล่นดนตรีก็เก่ง เป็นคนอัธยาศัยดี
เพียงไม่นานก็เป็นที่รักของเพื่อนครูด้วยกัน บางวิชาที่ครูเมฆไม่ว่าง ครูธงจะสอนเเทน
เป็นเรื่องยากที่เด็กนักเรียนจะตั้งใจกับการท่องสูตรคูณ ครูธงเลยหาไม้ไผ่มาเหลาคล้ายไม้ตะเกียบมาให้เด็กนับเลข
พอท้ายชั่วโมงจะเปลี่ยนมาเล่านิทานบ้าง เล่าเรื่องบ้างให้นักเรียนรู้สึกสนุกในการเรียน
เวลาหลังเลิกเรียนครูเมฆ จะชอบออกหาปลาเช่นเคย แม้มีเงินเเต่ไม่ค่อยมีอะไรให้ซื้อ
ของกินต้องช่วยเหลือตัวเอง ที่ด้านหลังโรงเรียนเป็นคลอง อีกฝั่งคือทุ่งนาเขียวขจี
สมัยนั้นไม่ได้ใช้สารเคมีทำนา น้ำจึงใสสะอาดมาก ปลาจึงชุกชุม เรียกว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าวกันเลยทีเดียว