***เนื้อหาในกระทู้นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้และนำเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เท่านั้น มิได้มีเจตนาชี้นำหรือสร้างความขัดแย้งในสังคมแต่ประการใด***
สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านบทความยาวๆ ก็สามารถไปฟังคลิปกันได้นะครับ
--------------------
การที่ภาพยนตร์ดิสนีย์ฟอร์มยักษ์เรื่อง Mulan ต้องถูกเลื่อนฉายอย่างไม่มีกำหนดจากพิษโควิด-19 คงทำให้แฟนๆ ภาพยนตร์ดิสนีย์หลายคนรู้สึกดราม่าไม่น้อย... และเมื่อพูดถึงเรื่องดราม่าของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ต้องบอกว่ามีอยู่มากมายตั้งแต่เป็นฉบับอนิเมชั่นในปี 1998 โดย การ์ตูนอนิเมชั่นเรื่อง Mulan นี้ได้ถูกคนจีนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการ์ตูนที่มีเนื้อหาบิดเบือนและดูถูกวัฒนธรรมจีนอย่างรุนแรง และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ดีสนีย์ต้องนำข้อผิดพลาดเหล่านั้นมาแก้ไขในฉบับภาพยนตร์จนเนื้อเรื่องเปลี่ยนไปแทบทั้งหมดและทำให้ดูเหมือนเป็นคนละเรื่องกันไปเลย!
และนี่ก็คือเรื่องดราม่าต่างๆ ที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องในฉบับภาพยนตร์คร้าบ
--------------------
เรื่องที่ 1 : บุคลิกนิสัยของมู่หลานในการ์ตูนไม่ตรงตามบุคลิกนิสัยของสตรีชาวจีนในช่วงเวลานั้นเลย!
ชาวจีนได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวละครมู่หลานในฉบับการ์ตูนว่ามีบุคลิกและนิสัยที่ไม่ตรงตามสตรีชาวจีนเลย ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผมเผ้ารกรุงรังเป็นไม้กวาดในตอนออกจากบ้าน หรือการทำตัวกระโดกกระเดกในที่สาธารณะและกับคนที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นดังเช่นในฉากที่มู่หลานไปคัดตัวกับแม่สื่อเพราะสตรีชาวจีนสมัยโบราณนั้นให้ความสำคัญกับความสวยความงามของตนเองก่อนจะออกจากบ้านมากแม้จะเป็นหญิงชาวบ้านทั่วไปก็ต้องหวีผมและแต่งตัวให้ดูดีก่อนทั้งนั้น การที่ผู้หญิงออกจากบ้านในสภาพเนื้อตัวสกปรกมอมแมมและการไม่สำรวมกิริยามารยาทในที่สาธารณะถือเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจในสังคมชาวจีนโบราณ
รวมทั้งการไม่รู้จักหน้าที่ของตนเองที่ต้องออกไปทำกิจวัตรประจำวันตามเวลาเช่นการเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่แล้วก็แก้ปัญหาด้วยวิธีที่ดูตลกๆ อย่างให้สุนัขลากถุงเมล็ดข้าวไป แม้จะเป็นแค่มุกขำขันที่อาจเป็นการแสดงความฉลาดของนางเอกในการ์ตูนแต่สำหรับชาวจีนนี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าตลกเลย เพราะสตรีชาวจีนสมัยโบราณนั้นจริงจังมากต่อการทำหน้าที่ของตน กิจวัตรประจำวันของพวกเธอก็คือตื่นนอนแต่เช้าและทำงานในบ้านให้เรียบร้อยก่อนผู้ใหญ่ในบ้านจะตื่น
และที่เป็นเรื่องดราม่าร้ายแรงที่สุดก็คือฉากที่มู่หลานกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะพร้อมลุกขึ้นต่อว่าผู้เป็นพ่อต่อหน้าผู้ใหญ่ในบ้าน ซึ่งในสังคมชาวจีนนี่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างมาก เพราะแสดงให้เห็นถึงความไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่กตัญญูรู้คุณบิดามารดาและบุพการี ลูกสาวที่ทำตัวปากกล้าขาแข็งเถียงพ่อเถียงแม่จะถูกตราหน้าว่าอกตัญญูไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม
จากเรื่องดราม่าทั้งหลายเหล่านี้ จึงเป็นสาเหตุให้ทางดีสนีย์ตัดสินใจเปลี่ยนบุคลิกและนิสัยของมู่หลานในฉบับภาพยนตร์ให้มีความสงบเสงี่ยมและเคร่งขรึมมากขึ้นเพื่อให้ตรงตามบุคลิกและนิสัยของสตรีชาวจีนในสมัยนั้น ซึ่งหลิวอี้เฟยที่เคยแสดงเป็นเซียวเหล่งนึ่ง นางเอกมาดนิ่งและเย็นชาในมังกรหยกภาค 2 มาแล้วจึงนับเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับบทบาทนี้
--------------------
เรื่องที่ 2 : นายกองหลี่ชางไม่มีทางเป็นแม่ทัพคุมกองทหารได้หากเป็นเรื่องจริง และไม่ควรเป็นคนรักของมู่หลานด้วย!
สาเหตุสำคัญที่ทางดิสนีย์ตัดสินใจตัดบทบาทของนายกองหลี่ชาง พระเอกของเรื่องในฉบับการ์ตูนออกไปจากฉบับภาพยนตร์ เพราะเคยมีดราม่ามาก่อนเรื่องที่นายกองหลี่ชางได้รับการแต่งตั้งจากพ่อที่เป็นแม่ทัพใหญ่ให้คุมกองทหารในยามสงคราม
ทั้งๆ ที่ตัวเขาไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการรบเลย!
ในการ์ตูนให้เหตุผลเพียงว่าเพราะเขาเป็นลูกของแม่ทัพใหญ่และสอบได้ที่หนึ่งในชั้นเรียนทหารเท่านั้น ซึ่งชาวจีนที่ได้ดูฉากนี้ต่างก็ขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะรู้สึกว่ากำลังถูกดูถูกเรื่องการใช้เส้นสายในการทำงาน แม้ชาวจีนจะยอมรับว่ามันมีจริง แต่การที่พ่อจะแต่งตั้งลูกตัวเองให้รับหน้าที่สำคัญในยามสงครามก็ย่อมต้องมั่นใจว่าลูกของตนมีคุณสมบัติพร้อมพอ ซึ่งนายกองหลี่ชางที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลยไม่ว่าจะเป็นการไปรบจริงหรือมีตำแหน่งสำคัญทางทหารมาก่อนแต่จู่ๆ กลับได้รับการแต่งตั้งจากพ่อตัวเองให้คุมทัพในยามสงคราม จึงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
นอกจากนี้ เรื่องความรักระหว่างนายกองหลี่ชางและมู่หลานก็เป็นเรื่องความรักที่ขัดต่อขนบธรรมเนียมจีนอย่างรุนแรง เพราะสังคมชาวจีนนั้นรับไม่ได้ที่อาจารย์จะรักกับลูกศิษย์ หรือเจ้านายรักกับลูกน้อง... นายกองหลี่ชางกับมู่หลานจึงไม่มีทางที่จะรักกันได้ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ
และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้นายกองหลี่ชางถูกตัดบทออกไปในฉบับภาพยนตร์
--------------------
เรื่องที่ 3 : มังกรจีนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ จะเอามาเล่นตลกไม่ได้!
อีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่ถูกตัดออกไปจากฉบับภาพยนตร์ก็คือ มังกรน้อยมูซู ที่ถือเป็นตัวโจ๊กของเรื่อง... นี่นับเป็นหนึ่งในเรื่องดราม่าอีกเรื่องที่ทำให้ชาวจีนไม่ชอบการ์ตูนมู่หลานนัก เพราะมังกรในคติความเชื่อของชาวจีนคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ มีสถานะเทียบเท่ากับเทพ เป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้และเพศชาย ดังนั้นการที่ดีสนีย์นำมังกรมาเล่นเป็นตัวตลกอย่างการให้ไปตีฆ้องเรียกวิญญาณบรรพชน ถูกม้ากระทืบ ทำตัวบ้าๆ บอๆ และเป็นลูกน้องของผู้หญิงสามัญชนอย่างมู่หลาน จึงเป็นเรื่องที่หยาบคายมากในสายตาชาวจีน
ด้วยเหตุนี้ ทางดีสนีย์จึงต้องตัดตัวละครตัวนี้ออกไป และเปลี่ยนมาเป็นนกฟินิกซ์หรือหงส์ไฟในคติความเชื่อของจีนแทน เพราะหงส์คือสัญลักษณ์ของราชินีและเพศหญิง เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะของมู่หลานที่เป็นวีรสตรีของแผ่นดินจีน
--------------------
เรื่องที่ 4 : ฮ่องเต้ไม่มีวันก้มหัวให้ประชาชน!
ฉากที่ฮ่องเต้ก้มหัวทำความเคารพมู่หลานถือเป็นเรื่องดราม่าขั้นสุดในสายตาชาวจีน เพราะแสดงให้เห็นว่าทางดีสนีย์ไม่ได้มีความรู้เรื่องขนบธรรมเนียมและคติความเชื่อของชาวจีนเลย ฮ่องเต้ถือเป็นโอรสสวรรค์ มีสถานะเป็นเหมือนสมมติเทพ ดังนั้นจึงไม่มีทางก้มหัวให้ใครทั้งสิ้นต่อให้คนผู้นั้นจะทำคุณงามความดีให้แผ่นดินมากมายขนาดไหนก็ตาม
กรณีเดียวที่ฮ่องเต้จะยอมก้มหัวให้ผู้อื่นก็คือ
การยอมแพ้และยกบัลลังก์ให้คนๆ นั้น ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์โค่นล้มราชวงศ์ในยุคต่างๆ ของจีนที่ฮ่องเต้จากราชวงศ์เก่าถูกบังคับให้ยกบัลลังก์ให้แก่ฮ่องเต้ราชวงศ์ใหม่
ดังนี้แล้ว เรื่องที่มู่หลานจะเข้าไปกอดฮ่องเต้โดยไม่ได้รับการอนุญาตยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ หากไม่ได้รับอนุญาตยังทำไม่ได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับการถูกเนื้อต้องตัวแบบที่มู่หลานทำ
--------------------
และนี่ก็คือเรื่องดราม่าๆ ทั้งหลายที่ส่งผลให้มู่หลานในฉบับภาพยนตร์ถูกเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องไปเสียจนแตกต่างจากฉบับอนิเมชั่นอย่างแทบจะเป็นคนละเรื่องนั่นเองครับ
สุดท้ายก็ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่มารับชมกันนะครับ

ดราม่าภาพยนตร์ Mulan บิดเบือนวัฒนธรรมจีน... ทำไมต้องเปลี่ยนเนื้อเรื่องให้ไม่เหมือนในการ์ตูน?
สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านบทความยาวๆ ก็สามารถไปฟังคลิปกันได้นะครับ
สาเหตุสำคัญที่ทางดิสนีย์ตัดสินใจตัดบทบาทของนายกองหลี่ชาง พระเอกของเรื่องในฉบับการ์ตูนออกไปจากฉบับภาพยนตร์ เพราะเคยมีดราม่ามาก่อนเรื่องที่นายกองหลี่ชางได้รับการแต่งตั้งจากพ่อที่เป็นแม่ทัพใหญ่ให้คุมกองทหารในยามสงคราม ทั้งๆ ที่ตัวเขาไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการรบเลย!
ในการ์ตูนให้เหตุผลเพียงว่าเพราะเขาเป็นลูกของแม่ทัพใหญ่และสอบได้ที่หนึ่งในชั้นเรียนทหารเท่านั้น ซึ่งชาวจีนที่ได้ดูฉากนี้ต่างก็ขัดใจเป็นอย่างมาก เพราะรู้สึกว่ากำลังถูกดูถูกเรื่องการใช้เส้นสายในการทำงาน แม้ชาวจีนจะยอมรับว่ามันมีจริง แต่การที่พ่อจะแต่งตั้งลูกตัวเองให้รับหน้าที่สำคัญในยามสงครามก็ย่อมต้องมั่นใจว่าลูกของตนมีคุณสมบัติพร้อมพอ ซึ่งนายกองหลี่ชางที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลยไม่ว่าจะเป็นการไปรบจริงหรือมีตำแหน่งสำคัญทางทหารมาก่อนแต่จู่ๆ กลับได้รับการแต่งตั้งจากพ่อตัวเองให้คุมทัพในยามสงคราม จึงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
นอกจากนี้ เรื่องความรักระหว่างนายกองหลี่ชางและมู่หลานก็เป็นเรื่องความรักที่ขัดต่อขนบธรรมเนียมจีนอย่างรุนแรง เพราะสังคมชาวจีนนั้นรับไม่ได้ที่อาจารย์จะรักกับลูกศิษย์ หรือเจ้านายรักกับลูกน้อง... นายกองหลี่ชางกับมู่หลานจึงไม่มีทางที่จะรักกันได้ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ
และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้นายกองหลี่ชางถูกตัดบทออกไปในฉบับภาพยนตร์
อีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่ถูกตัดออกไปจากฉบับภาพยนตร์ก็คือ มังกรน้อยมูซู ที่ถือเป็นตัวโจ๊กของเรื่อง... นี่นับเป็นหนึ่งในเรื่องดราม่าอีกเรื่องที่ทำให้ชาวจีนไม่ชอบการ์ตูนมู่หลานนัก เพราะมังกรในคติความเชื่อของชาวจีนคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ มีสถานะเทียบเท่ากับเทพ เป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้และเพศชาย ดังนั้นการที่ดีสนีย์นำมังกรมาเล่นเป็นตัวตลกอย่างการให้ไปตีฆ้องเรียกวิญญาณบรรพชน ถูกม้ากระทืบ ทำตัวบ้าๆ บอๆ และเป็นลูกน้องของผู้หญิงสามัญชนอย่างมู่หลาน จึงเป็นเรื่องที่หยาบคายมากในสายตาชาวจีน
ด้วยเหตุนี้ ทางดีสนีย์จึงต้องตัดตัวละครตัวนี้ออกไป และเปลี่ยนมาเป็นนกฟินิกซ์หรือหงส์ไฟในคติความเชื่อของจีนแทน เพราะหงส์คือสัญลักษณ์ของราชินีและเพศหญิง เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะของมู่หลานที่เป็นวีรสตรีของแผ่นดินจีน
ฉากที่ฮ่องเต้ก้มหัวทำความเคารพมู่หลานถือเป็นเรื่องดราม่าขั้นสุดในสายตาชาวจีน เพราะแสดงให้เห็นว่าทางดีสนีย์ไม่ได้มีความรู้เรื่องขนบธรรมเนียมและคติความเชื่อของชาวจีนเลย ฮ่องเต้ถือเป็นโอรสสวรรค์ มีสถานะเป็นเหมือนสมมติเทพ ดังนั้นจึงไม่มีทางก้มหัวให้ใครทั้งสิ้นต่อให้คนผู้นั้นจะทำคุณงามความดีให้แผ่นดินมากมายขนาดไหนก็ตาม
กรณีเดียวที่ฮ่องเต้จะยอมก้มหัวให้ผู้อื่นก็คือ การยอมแพ้และยกบัลลังก์ให้คนๆ นั้น ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์โค่นล้มราชวงศ์ในยุคต่างๆ ของจีนที่ฮ่องเต้จากราชวงศ์เก่าถูกบังคับให้ยกบัลลังก์ให้แก่ฮ่องเต้ราชวงศ์ใหม่
ดังนี้แล้ว เรื่องที่มู่หลานจะเข้าไปกอดฮ่องเต้โดยไม่ได้รับการอนุญาตยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ หากไม่ได้รับอนุญาตยังทำไม่ได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับการถูกเนื้อต้องตัวแบบที่มู่หลานทำ