***เนื้อหาในกระทู้นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้และนำเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เท่านั้น มิได้มีเจตนาชี้นำหรือสร้างความขัดแย้งในสังคมแต่ประการใด***
สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านบทความยาวๆ ก็สามารถไปฟังคลิปกันได้นะครับ
--------------------
จากคำแถลงการณ์ของนายกฯ ประเทศเนเธอร์แลนด์ที่กล่าวว่าวิธีหนึ่งที่จะสามารถชะลอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดก็คือ "การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่"
โดยวิธีการนี้ก็คือการปล่อยให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อในระดับหนึ่งนั่นคือประมาณ 50 - 60% ของจำนวนประชากร อันจะนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันตนเองขึ้นในคนกลุ่มนี้ เมื่อคนกลุ่มนี้มีภูมิต้านทานโรคแล้วก็จะทำให้พวกเขาไม่แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นที่ไม่มีภูมิคุ้มกันได้อีก และนั่นก็จะสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคได้
คำถามก็คือทฤษฎีที่ว่ามานี้มันใช้ได้จริงหรือไม่? และเคยมีการใช้จริงมาก่อนไหม?
คำตอบก็คือ...
ใช้ได้จริง และ
เคยมีการใช้วิธีนี้ในการรักษาโรคระบาดจริง แต่มันมีความเสี่ยงสูงมาก และ
ไม่ได้ถูกใช้ในสถานการณ์ปกติ
เหตุการณ์ที่วิธีการนี้ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคระบาดก็คือเหตุการณ์
สงครามประกาศอิสรภาพอเมริกา หรือ
สงครามปฏิวัติอเมริกา ในศตวรรษที่ 18
โดยในเวลานั้น สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษได้ทำการประกาศเอกราชและทำสงครามกับอังกฤษ ในช่วงแรกของการทำสงครามนั้น สหรัฐฯ เป็นฝ่ายเสียเปรียบและพ่ายแพ้เป็นส่วนใหญ่... กองทัพสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายพลจอร์จ วอชิงตัน ถูกกองทัพอังกฤษโจมตีจนต้องถอยร่นขึ้นไปปักหลักอยู่บนเทือกเขา Forge
ซึ่งในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่หิมะตกหนักและลมพัดแรง กองทัพสหรัฐฯ ที่ปักหลักอยู่บนภูเขาจึงต้องประสบกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็น ความหนาวเย็น การขาดแคลนเสบียงอาหารและเครื่องใช้ต่างๆ แต่ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโรคไข้ทรพิษที่ลอยมากับอากาศ ส่งผลให้ทหารในกองทัพล้มป่วยกันเป็นจำนวนมาก
ปัญหานี้ทำให้นายพลจอร์จ วอชิงตัน ต้องถึงกับกุมขมับ เพราะพวกเขาไม่มียาที่จะใช้รักษาโรค ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เหล่าทหารด้วยการ
ปลูกฝีแบบสดๆ!
เขาให้ทหารทุกคนที่มีร่างกายแข็งแรงเฉือนแขนของตัวเองแล้วก็เอาน้ำเลือดน้ำหนองจากคนที่ป่วยมาทาลงไปที่แผล โดยหวังว่าวิธีนี้จะช่วยให้เหล่าทหารของเขาส่วนหนึ่งเกิดภูมิต้านทานโรคไข้ทรพิษที่กำลังแพร่ระบาดนี้ได้ ส่วนใครที่ไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานได้ก็ต้องตายไปเสีย... นับเป็นวิธีการรักษาแบบเฉพาะหน้าซึ่งอาศัยการวัดดวงนั่นเอง
ซึ่งผลที่ออกมาก็นับว่าได้ผล แม้จะมีทหารบางส่วนที่ต้องตายเพราะไม่อาจสร้างภูมิต้านทานโรคได้ แต่ก็มีอีกเป็นจำนวนมากที่สามารถสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้และรอดตายจากไข้ทรพิษ ซึ่งทหารที่มีภูมิต้านทานโรคแล้วเหล่านี้ก็จะไม่เป็นพาหะนำโรคไปติดคนอื่นๆ อีกต่อไปด้วย
การตัดสินใจของนายพลจอร์จ วอชิงตัน ในครั้งนี้จึงนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะมิฉะนั้นกองทัพของเขาก็คงจะต้องตายกันหมดจากไข้ทรพิษ และสหรัฐฯ ก็คงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม และไม่มีประธานาธิบดีคนแรกที่มีชื่อว่า
จอร์จ วอชิงตัน...
จากเหตุการณ์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การต้านโรคระบาดด้วยวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่นั้นสามารถทำได้จริง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเพราะไม่สามารถรับประกันผลใดๆ ได้เลยว่าประชากรที่ติดเชื้อจะสามารถสร้างภูมิต้านทานโรคได้จริงหรือไม่ และในแง่ของมนุษยธรรม วิธีนี้ถือว่าโหดร้ายทารุณ เพราะต้องมีการเสียสละชีวิตของเพื่อนมนุษย์จำนวนหนึ่งซึ่งไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานโรคได้ ดังนั้น วิธีการรักษานี้จึงควรเป็นวิธีการรักษาในสถานการณ์ที่จำเป็นจริงๆ อย่างสถานการณ์ที่ได้ยกมาข้างต้นเท่านั้น
หากยังคงมีทีมแพทย์ที่สามารถดำเนินการศึกษาวิธีการรักษาโรคได้ วิธีนี้ก็ไม่ควรถูกนำมาใช้ไม่ว่ากรณีใด...
เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตของเพื่อนมนุษย์ล้วนแต่มีค่าเท่ากันทั้งสิ้น
[โควิด-19] ปล่อยให้ติดโรคเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ วิธีนี้ใช้ได้จริงหรือ?
สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านบทความยาวๆ ก็สามารถไปฟังคลิปกันได้นะครับ
โดยวิธีการนี้ก็คือการปล่อยให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อในระดับหนึ่งนั่นคือประมาณ 50 - 60% ของจำนวนประชากร อันจะนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันตนเองขึ้นในคนกลุ่มนี้ เมื่อคนกลุ่มนี้มีภูมิต้านทานโรคแล้วก็จะทำให้พวกเขาไม่แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นที่ไม่มีภูมิคุ้มกันได้อีก และนั่นก็จะสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคได้
คำถามก็คือทฤษฎีที่ว่ามานี้มันใช้ได้จริงหรือไม่? และเคยมีการใช้จริงมาก่อนไหม?
คำตอบก็คือ... ใช้ได้จริง และ เคยมีการใช้วิธีนี้ในการรักษาโรคระบาดจริง แต่มันมีความเสี่ยงสูงมาก และ ไม่ได้ถูกใช้ในสถานการณ์ปกติ
เหตุการณ์ที่วิธีการนี้ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคระบาดก็คือเหตุการณ์ สงครามประกาศอิสรภาพอเมริกา หรือ สงครามปฏิวัติอเมริกา ในศตวรรษที่ 18
โดยในเวลานั้น สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษได้ทำการประกาศเอกราชและทำสงครามกับอังกฤษ ในช่วงแรกของการทำสงครามนั้น สหรัฐฯ เป็นฝ่ายเสียเปรียบและพ่ายแพ้เป็นส่วนใหญ่... กองทัพสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายพลจอร์จ วอชิงตัน ถูกกองทัพอังกฤษโจมตีจนต้องถอยร่นขึ้นไปปักหลักอยู่บนเทือกเขา Forge
ซึ่งในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่หิมะตกหนักและลมพัดแรง กองทัพสหรัฐฯ ที่ปักหลักอยู่บนภูเขาจึงต้องประสบกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็น ความหนาวเย็น การขาดแคลนเสบียงอาหารและเครื่องใช้ต่างๆ แต่ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโรคไข้ทรพิษที่ลอยมากับอากาศ ส่งผลให้ทหารในกองทัพล้มป่วยกันเป็นจำนวนมาก
ปัญหานี้ทำให้นายพลจอร์จ วอชิงตัน ต้องถึงกับกุมขมับ เพราะพวกเขาไม่มียาที่จะใช้รักษาโรค ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เหล่าทหารด้วยการ ปลูกฝีแบบสดๆ!
เขาให้ทหารทุกคนที่มีร่างกายแข็งแรงเฉือนแขนของตัวเองแล้วก็เอาน้ำเลือดน้ำหนองจากคนที่ป่วยมาทาลงไปที่แผล โดยหวังว่าวิธีนี้จะช่วยให้เหล่าทหารของเขาส่วนหนึ่งเกิดภูมิต้านทานโรคไข้ทรพิษที่กำลังแพร่ระบาดนี้ได้ ส่วนใครที่ไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานได้ก็ต้องตายไปเสีย... นับเป็นวิธีการรักษาแบบเฉพาะหน้าซึ่งอาศัยการวัดดวงนั่นเอง
ซึ่งผลที่ออกมาก็นับว่าได้ผล แม้จะมีทหารบางส่วนที่ต้องตายเพราะไม่อาจสร้างภูมิต้านทานโรคได้ แต่ก็มีอีกเป็นจำนวนมากที่สามารถสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้และรอดตายจากไข้ทรพิษ ซึ่งทหารที่มีภูมิต้านทานโรคแล้วเหล่านี้ก็จะไม่เป็นพาหะนำโรคไปติดคนอื่นๆ อีกต่อไปด้วย
การตัดสินใจของนายพลจอร์จ วอชิงตัน ในครั้งนี้จึงนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะมิฉะนั้นกองทัพของเขาก็คงจะต้องตายกันหมดจากไข้ทรพิษ และสหรัฐฯ ก็คงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม และไม่มีประธานาธิบดีคนแรกที่มีชื่อว่า จอร์จ วอชิงตัน...
จากเหตุการณ์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การต้านโรคระบาดด้วยวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่นั้นสามารถทำได้จริง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเพราะไม่สามารถรับประกันผลใดๆ ได้เลยว่าประชากรที่ติดเชื้อจะสามารถสร้างภูมิต้านทานโรคได้จริงหรือไม่ และในแง่ของมนุษยธรรม วิธีนี้ถือว่าโหดร้ายทารุณ เพราะต้องมีการเสียสละชีวิตของเพื่อนมนุษย์จำนวนหนึ่งซึ่งไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานโรคได้ ดังนั้น วิธีการรักษานี้จึงควรเป็นวิธีการรักษาในสถานการณ์ที่จำเป็นจริงๆ อย่างสถานการณ์ที่ได้ยกมาข้างต้นเท่านั้น
หากยังคงมีทีมแพทย์ที่สามารถดำเนินการศึกษาวิธีการรักษาโรคได้ วิธีนี้ก็ไม่ควรถูกนำมาใช้ไม่ว่ากรณีใด... เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตของเพื่อนมนุษย์ล้วนแต่มีค่าเท่ากันทั้งสิ้น