[Review] ขอวีซ่าเรียนต่อญี่ปุ่น ฉบับปี 2020

สวัสดีค่ะ ทุกคน
เนื่องจากเราได้รับวีซ่าเรียบร้อยแล้ว วันนี้เลยจะมารีวิวการทำวีซ่าเรียนต่อภาษา ณ ประเทศญี่ปุ่น ไว้เผื่อเป็นแนวทางนะคะ (เพราะตอนเราทำนั้นหาข้อมูลยากเหลือเกิน TT) แถมเจอแต่รีวิวว่าไม่ผ่าน อ่านแล้วใจแป้วเหลือเกิน  เลยจะมีรีวิวในแบบฉบับที่ผ่านแล้วบ้างนะคะ

- แนะนำตัวเองคร่าว ๆ 

เราอายุ 3x ปี เรียนจบป.โทแล้วเลยตั้งใจไปทำตามความฝันตั้งแต่เด็กซะที นั่นคือไปเรียนต่อภาษาญี่ปุ่นด้วยทุนส่วนตัว ณ  ประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ก่อนเรียนป.โทก็เคยทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาษาญี่ปุ่นอยู่ 2 ปี แต่ตอนเรียนป.โทคือไม่เกี่ยวและลืมไปซะเยอะ ระดับภาษาน่าจะเหลือประมาณ N5 ค่อน ๆ ไปทาง N4 

สรุปคือ อายุเยอะแล้ว ใช้ทุนส่วนตัว (คุณพ่อเกษียณแล้วแต่มีหลักทรัพย์และเงินเดือนพอค้ำประกันได้) ภาษาญี่ปุ่นก็คือเหลืออยู่ งู ๆ ปลา ๆ เหตุผลที่ไปเรียนหลัก ๆ ก็คือทำตัวความฝันสมัยเด็กนั่นเอง

คุณสมบัติดูเสี่ยงจะไม่ผ่านเยอะมาก แต่ผ่านนะคะ ใครที่ท้อเพราะคิดว่าตัวเองอายุเยอะแล้ว อย่าเพิ่งท้อค่ะ เรายังมีหวัง เอาล่ะค่ะ เรามาเริ่มกันเลย

กระบวนการทั้งหมดเราจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงนะคะ 
1. สำรวจความพร้อมของตัวเองก่อนยื่นสมัคร 
Checklist สำรวจความพร้อมก่อนสมัครเรียนต่อญี่ปุ่น

1.1 ได้ภาษาญี่ปุ่นหรือไม่
- เพราะส่วนใหญ่โรงเรียนภาษาญี่ปุ่นจะรับนักเรียนที่มีความรู้อยู่บ้างค่ะ ประมาณ N5 หรือเคยเรียนมาแล้วอย่างน้อย 300 ชั่วโมง ถ้ายังไม่มีพื้นฐานเลยและพอมีเวลาก็เรียนก่อนสมัครได้ค่ะ แต่ถ้ารีบก็สมัครไปเรียนไปได้ (แต่เราว่าแบบหลังจะเครียดนิดนึง) ถ้ามีเวลาก็สอบ JLPT ไว้เลยก็ดีค่ะ เหมือนเป็นบัฟให้เราขั้นหนึ่ง แบบว่าอย่างน้อยเราก็ตั้งใจจะไปเรียนนะ

1.2 ทุนทรัพย์พอไหวไหม
- เรายื่นเงินค้ำประกันเป็นสลากต่าง ๆ ของคุณพ่อประมาณ 1 ล้านบาทค่ะ (ไม่ได้ยื่นบัญชีธนาคารเลย) ซึ่งน่าจะเป็นขั้นต่ำของการไปเรียน 1 ปี คุณพ่อเป็นข้าราชการบำนาญได้รับเงินเดือน

1.3 ทำไมถึงอยากไปเรียนต่อ
 - คำถามนี้เจอตั้งแต่สมัครขั้นแรกกับเอเจนซี่ไปจนถึงสอบสัมภาษณ์กับสถานทูตในขั้นสุดท้ายเลย ทุกคนก็มีเหตุผลต่างกันไป แต่ควรเป็นคำตอบจากใจจริง ๆ ไม่โกหกจะดีที่สุดค่ะ 

1.4 มีเมืองในญี่ปุ่นหรือโรงเรียนสอนภาษาที่สนใจแล้วหรือยัง
 - อันนี้พิจารณาจากความชอบของเราค่ะ เราไม่ชอบเมืองที่วุ่นวาย คนเยอะเกินไป ไม่เอาเมืองที่ค่าครองชีพสูงมาก ก็เลยตัดโตเกียวทิ้งเป็นอันดับแรกเลยค่ะ
 - ถ้ายังไม่มีก็ลองคุยกับเอเจนซี่ดูก่อนได้ค่ะ

1.5 เรียนจบมาแล้วจะทำอะไรต่อ
- คำถามนี้ก็เจอตั้งแต่สมัครขั้นแรกจนถึงตอนสัมภาษณ์กับสถานทูตเหมือนกันค่ะ อันนี้แตกต่างกันไปตามแต่ละคนเช่นเคย เอาคำตอบจากใจไว้ก่อนค่ะ จะดัดแปลงให้น่าเชื่อถือ น่าประทับใจอย่างไรก็ให้อยู่บนพื้นฐานความตั้งใจของเราไว้

2. ทำเรื่องยื่นเอกสารสมัครเรียน + ขอวีซ่า
เมื่อสำรวจความพร้อมแล้วคิดว่าเอาล่ะ ไปต่อได้ ก็มาสู่ขั้นตอนการสมัครเรียนและยื่นขอวีซ่ากันเลยค่ะ [ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 6 เดือน]

2.1 การสมัครเรียน + ขอ COE (ใบอนุญาตให้เราอยู่ญี่ปุ่น) :: เป็นขั้นตอนที่ดำเนินการผ่านเอเจนซี่และโรงเรียนฝั่งญี่ปุ่นค่ะ :: [ใช้เวลาประมาณ 5 ใน 6 เดือน]

เนื่องด้วยโรงเรียนภาษาที่เราสนใจเขาให้ติดต่อผ่านเอเจนซี่ในไทย เราก็เลยดำเนินการเรื่องหลักฐานต่าง ๆ ผ่านเอเจนซี่เลยค่ะ (ซึ่งหลักฐานที่ต้องใช้คาดว่ามีอัพเดตอยู่เรื่อย ๆ อันนี้ติดตามสอบถามจากเอเจนซี่ในปีที่เราสมัครจะชัวร์กว่าค่ะ)

แต่เราจะมาบอกเกร็ดเล็กเกร็ตน้อยที่ไม่เจอกับตัวคือไม่รู้เลย นั่นคือ เป็นขั้นตอนที่หากเรายื่นเอกสารหมดแล้วก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรอค่ะ TT  

::: ในใจเกิดคำถามว่า...ทำไมมันนานขนาดนี้ ::: 
เพราะการขอวีซ่านักเรียนนั้นมีขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานเลยค่ะ ซึ่งก็จะประมาณนี้

เริ่มจาก
1.1 ยื่นเอกสารสมัครเรียนให้แก่โรงเรียนที่ญี่ปุ่น (ใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน) 
1.2 เมื่อโรงเรียนรับเราแล้วทางนั้นก็จะยื่นเอกสารให้กับทางตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นเพื่อขอ COE (ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน) 

ในขั้นนี้เรารอได้อย่างเดียวเลยค่ะ ใครจะสวดภาวนา บนบานศาลกล่าว หาที่พึ่งทางใจใด ๆ ก็ลุยเลยค่ะ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทางฝั่งญี่ปุ่น ในกรณีของเราคือจ่ายเงินค่าเทอม+ค่าหอไปก่อนแล้วด้วย T___T ถ้าไม่ได้ก็เสี่ยงเสียเงินฟรีไปครึ่งหนึ่งเลยค่ะ เราก็หาที่พึ่งทางใจกันไป

เพิ่มเติม ใครที่รอผลแบบคนว่างงานอย่างเรา ก็เอาเลยค่ะ เรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเติม (เราเรียนด้วยตนเอง) ดูซีรีส์ เน็ตฟลิกซ์ เล่นเกม ทำสวน ทำขนม ทำฟรีแลนซ์ต่าง ๆ ไปเลย ไม่งั้นสติแตกค่ะ anxiety ขึ้นแล้วขึ้นอีก  เพราะจะมีหลายคนมาถามว่าเมื่อไรผลจะออก ซึ่งเราก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าสู้ค่ะ อดทนแล้วช่วงเวลานี้จะผ่านไป เราดูซีรีส์ญี่ปุ่น เกาหลี จีนหมดไปหลายเรื่องค่ะ เลือกเรื่องที่แบบว่ายาวได้ใจ ฆ่าเวลา 

2.2 ได้รับ COE ตัวจริงจากทางเอเจนซี่ + ขอยื่นวีซ่าในไทย ::: เป็นขั้นตอนที่ต้องดำเนินการด้วยตัวเองในไทย [ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1 เดือนสุดท้าย ใน 6 เดือน]

เย้! ในที่สุด ขั้นตอนที่ยากที่สุดก็ผ่านไปแล้วค่ะ ได้ COE มาก็เหมือนได้เหยียบเท้าเข้าญี่ปุ่นไปหนึ่งข้างแล้วค่ะ เหลือแค่ต้องพาอีกข้างที่ยังอยู่ไทยไปด้วยเท่านั้นเอง ก้าวนี้ไม่ยากมากค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ทำได้แค่รอเฉย ๆ แล้ว เพราะเราจะได้ลงมือทำค่ะ  ของเราเป็นขั้นตอนตามนี้

- รับเอกสาร COE ตัวจริงจากเอเจนซี่ 
ในขั้นนี้เอเจนซี่ของเราเค้าจะมีซ้อมสัมภาษณ์กับสถานทูตญี่ปุ่นในไทยเบื้องต้นให้ด้วยค่ะ เราจะได้รู้จุดอ่อนของตัวเอง ของเราคือโดนเรื่องอ่านวันที่ภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ค่ะ แล้วก็จำชื่อเต็มของโรงเรียนสอนภาษาที่เราจะไปเรียนไม่ได้ เราก็เลยไปท่องพวกนี้ในคืนนั้นเลยค่ะ

- วันต่อมาก็เอาเอกสาร COE จากทางเอเจนซี่แล้ว ไปยื่นขอวีซ่าที่ศูนย์ตรงนานาค่ะ รายละเอียดเอกสารต่าง ๆ ดูได้ที่ลิ้งค์นี้เลย https://jp-vfsglobal-th.com/thai เพราะมีบริการให้ส่งเอกสารผ่านทางไปรษณีย์ได้ด้วยค่ะ เผื่อใครไม่อยากเข้ากรุงเทพ 
v
v
- บ่ายวันนั้น สถานทูตก็โทรมาสอบถามข้อมูลค่ะ (ของเราเค้าจะโทรมาสอบถามข้อมูลเบื้องต้นค่ะ เช่น เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นไหม เคยสอบ JLPT ถ้ามีผล JLPT ก็สแกนส่งเมล์ไปให้ทางนั้นพิจารณาค่ะ สอบถามแค่นี้เลยค่ะ เราไม่มีผล JLPT แต่มีผล J-test เลยส่งไปค่ะ)
v
v
- เอาล่ะ ของเราคงพิจารณาแล้วว่าเรียกไปสัมภาษณ์ดีกว่า ทีนี้ในใจเราก็คิดว่างานเข้าล่ะค่ะ เอาไงดี

เพราะตอนหาข้อมูลเรากลัวขั้นตอนนี้มาก เพราะมีคนมารีวิวว่าไม่ผ่าน อายุเราก็เยอะ เหตุผลที่เราอยากไปคือมันเป็นความฝันวัยเด็กของเรา แต่ละอย่างช่างดูเพ้อฝันเหลือเกิน เราเลยซ้อมเรื่องการทักทาย การแนะนำตัว (เป็นภาษาญี่ปุ่น) ส่วนการตอบคำถามเราซ้อมเป็นภาษาไทยไป (อันนี้ระวังนะคะ ของเราเจอเหตุระทึก)

บอกก่อนเลยว่าเราไม่ได้เตรียมตัวไปเยอะ ห้าเดือนของเราคือดูซีรีส์ ทำขนม ทำสวนปลูกผัก เล่นเกม รับงานฟรีแลนซ์ที่แทบไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเลย สรุปง่าย ๆ ว่าเราฝึกซ้อมก่อนไปสัมภาษณ์คืนเดียวค่ะ ลนมาก แสนท้อแท้ ท้ายสุดเลยเห็นว่าไม่ได้การก็เลยเปลี่ยนความคิดใหม่ โดยเตรียมใจไปว่า อย่ากลัว เรามาแสดงความสามารถ ความตั้งใจให้เขาเห็น ผลเป็นไงไม่รู้ แต่เรามาพยายามเพื่อความฝันของเราค่ะ ไม่ได้คิดจะหนีวีซ่าอยู่แล้ว พอคิดแบบนี้ก็เลยเลิกกลัวค่ะ เป็นไงเป็นกัน! ฮึกเหิมมาก 

เราไปสัมภาษณ๋ที่สถานทูตญี่ปุ่น (MRT ลุมพินี ทางออก 3) ตามเวลาที่นัดหมายค่ะ แต่งตัวสุภาพ ไม่ได้ทางการมาก เราไปก่อนเวลานานมาก แถมเจอช่วงติดเที่ยง ก็เลยได้เดินกลับไปตากแอร์แถว MRT ค่ะ อันนี้ดูเวลาปิดเที่ยงของทางสถานทูตไว้ด้วยนะคะ จะได้ไม่เสียเวลารออย่างเรา

แน่นอน ขึ้นชื่อว่าเราแล้ว พอเข้าไปแล้วเราหลงค่ะ TT ไปนั่งอยู่แถวคนญี่ปุ่นที่มาทำธุระทั้งนั้นเลยมั่นใจว่าหลงแน่นอน ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ว่าต้องไปสัมภาษณ์วีซ่านักเรียนญี่ปุ่นที่ไหน สรุป หลงจริง เลยเดินไปตามทางที่เจ้าหน้าที่บอกเลยค่ะ จะเจอห้องเล็ก ๆ เปิดประตูเข้าไป

::: กระบวนการตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องจะเป็นประมาณนี้ค่ะ :::
1. ถ้าไม่เจอเจ้าหน้าที่ กดกริ่งตรงเคาน์เตอร์แล้วเจ้าหน้าที่จะมาค่ะ จากนั้น เราก็แจ้งชื่อ เวลานัด เค้าก็จะถามว่าเราต้องการล่ามไหม ซึ่งเราบอกไปว่าต้องการ (เพราะมันมีการตอบคำถาม) แต่เค้าก็ถามต่อค่ะว่า เราได้ภาษาญี่ปุ่นไหม อ่านฮิรากานะ คาตากานะ คันจิได้หรือเปล่า เราตอบไปทั้งหมดว่าได้ สอบได้ประมาณ N4 เขาเลยบอกว่างั้นก็ไม่มีปัญหา ซึ่งเราก็เอ๊ะในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรค่ะ

2.  คุยเสร็จเรียบร้อยก็รอคิวค่ะ  ของเรามีคิวก่อนหน้า  3 คนค่ะ ก็รอไปอย่างชิล ๆ ไม่นาน เตรียมใจไว้เต็มที่ว่าชั้นมาพยายามเพื่อความฝันของตัวเอง มาแสดงความสามารถ ประหนึ่งมาออดิชั่น 

3. เมื่อถึงคิวเจ้าหน้าที่ก็จะให้เราไปสัมภาษณ์อีกห้องค่ะ เค้าบอกว่าจะเดินออกไปแล้วจะมีเจ้าหน้าที่รออยู่ แต่เราออกไปแล้วไม่เจอ แต่ก็เดินไปตามทางค่ะ แล้วทีนี้ก็เจอ สรุปว่าห้องสัมภาษณ์คือโถงกว้าง ๆ ที่ต้องเดินออกจากห้องนั่งรอไป และเช่นเคย ด้วยความโก๊ะกังของเรา ก็ไปเปิดประตูผิดค่ะ โชดดีที่เค้าล็อกไว้ เจ้าหน้าที่สัมภาษณ์เลยต้องโผล่หน้าเดินออกมาเปิดประตูที่ถูกต้องให้เรา 

4. ลนไปแล้ว 1 ดอก พอเข้ามานั่งสัมภาษณ์ บนโซฟาที่ดูแสนชิล ก็ได้พบกับความจริงว่า เค้าไม่มีล่ามให้เราค่ะ T____T เอาล่ะ อันนี้ลนดอกใหญ่เลย ได้โซโล่หน้างานด้วยญี่ปุ่นไก่กาแล้ว เราก็ しつれいします ก่อนนั่ง ทักทาย こんにちは เล็กน้อย เพราะเค้าทักมาก่อนค่ะ TTจากนั้นเราได้ยินอะไร なまえๆ ก็เลยแนะนำตัวค่ะ ไม่ได้ はじめまして ใด ๆ ด้วย คือ わたしはxxxです。よろしくお願いします。จบ! จากนั้นเราจำไม่ได้แล้วว่า อ่านก่อนหรือพูดคุยก่อน แต่ประมาณนี้ค่ะ

4.1 เป็นช่วงพูดคุยค่ะ เราได้ยินเค้าถาม นิฮง กักโคว อะไรสักอย่าง ก็เลยตอบชื่อโรงเรียนที่จะไปเรียนต่อไป ตอบชื่อเต็มนะคะ (ซึ่งไม่รู้ว่าเราได้ยินคำถามถูกไหมด้วยหรือเปล่าค่ะ)

4.2 ทำไมอยากไปเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โน่น (เอาล่ะ งานหิน เราซ้อมตอบเป็นภาษาไทยไป) ก็เลยถามเค้ากลับไปว่า taigo de ii desuga เค้าเลยบอกแบบชิลๆว่าให้เราพยายามดูก่อนค่ะ เราก็เลย ได้จ้ะ พยายามก็พยายาม (บอกตัวเองในใจ) ที่ซ้อมเป็นภาษาไทยไว้อย่างสวยงามมากมายเหลือตอบได้แค่ kodomo koro nihon e iku koto ga yume desu แสนจะใสซื่อ แต่โชคดีค่ะ เราจำศัพท์ญี่ปุ่นไปด้วยว่าเราอยากไปเรียนแล้วกลับมาทำงาน xxx เราเลยบอกศัพท์คำนั้นไปซื่อ ๆ เลยค่ะ ไม่มีประโยคด้วย ที่บอกว่าโชคดี เพราะเราท่องไปตอนเช้าวันสัมภาษณ์เลยค่ะ

4.3 พอเค้าเห็นความพยายามอันแสนงุนงงของเราเข้า ก็เลยถามเราเป็นไทยผสมญี่ปุ่นแล้วค่ะว่า ไปแล้วจะกลับมาทำงานที่ไทยหรอ เราก็ตอบเป็นไทยไปค่ะว่า ใช่ 

4.4 จากนั้นก็อ่าน ฮิรางานะ คาตากานะ คันจิ โดยจะสุ่มบอกเลขข้อเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เราอ่าน (ใครไม่ถนัดเลข แนะนำให้ฝึกไว้เยอะๆเลยค่ะ เพราะต้องฟังให้ออกเอง) ตรงคาตากานะ เราเบลอไปค่ะ อ่านผิด แต่จนท.ก็ให้โอกาสเราแก้นะคะ คันจิคำว่าภูเขา เราอ่านผิด จาก ซัน เป็น ยามะ เค้าก็แก้ให้เราด้วยค่ะ แสนเขิน จำได้ว่าผิดไปสองจุด

4.5 สุดท้ายก็บอกว่าให้เราไป pick up พาสปอร์ตตามวันนั้นได้เลย ถือว่าจบสิ้นกระบวนความ 

จากนั้น พาสปอร์ตพร้อมที่อนุมัตวีซ่าเรียบร้อยแล้วก็มาส่งถึงบ้านเรา

หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่อยากไปเรียนต่อภาษาญี่ปุ่นนะคะ ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่