ข่าวเก่าทันหุ้น ตั้งแต่ 10 มีนาคม 2020
วิเคราะห์ได้ดีสอดรับกับปัจจุบันมาก
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลงหนัก หลังจากการประชุมกลุ่มโอเปกและพันธมิตร ไม่สามารถตกลงกันได้ โดยกลุ่มโอเปก ได้เสนอให้ลดปริมาณการผลิตลงอีก 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่รัสเซียปฏิเสธ ทำให้ซาอุดิอาระเบีย ประกาศเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตคาดว่าแตะ 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับราว 9.7 ล้านบาร์เรล และประกาศลดค่าพรีเมียมน้ำมันตลาดเอเซีย-สหรัฐและยุโรปลง ส่งผลในกลุ่มปตท.วานนี้(9 มี.ค.) ปรับตัวลงแรง โดย PTT ปิดที่ 28 บาทต่อหุ้น ลบ 25.33%, หุ้น PTTEP ปิดที่ 74.75 บาท ลบ 29.81% , หุ้น PTTGC ปิดที่ 31 บาท ลบ 26.63%, หุ้น TOP ปิดที่ 32.75 บาท ลบ 21.56% และหุ้น IRPC ปิดที่ 2.00 บาท ลบ 13.04%
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. พร้อมรองรับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงแรง โดยส่วนหนึ่งจะลดสต็อกน้ำมันในธุรกิจโรงกลั่น เพื่อลดผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมัน ที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/2563 แต่ กลุ่มปตท. ยังเดินหน้าลงทุนตามแผนที่วางไว้ และมองโอกาสการลงทุนมากขึ้นจากตลาดแรงงานที่มีอยู่ และค่าเงินบาทที่ยังอยู่ในโทนแข็งค่า
นายชาญศิลป์ กล่าวอีกว่า ราคาน้ำมันที่ร่วงลงแรงคาดว่าจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ไม่เกินไตรมาส 2/2563 ราคาน้ำมันก็น่าจะฟื้นตัวขึ้น ซึ่งมองราคาน้ำมันดิบที่เหมาะสมปีนี้จะอยู่ที่ราว 50-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนผลการดำเนินงานของ PTT ในปีนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ แต่มั่นใจว่าจะมีกำไรสูงกว่าปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิราว 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีนี้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงจาก 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ต่ำกว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ปี 2558ราคาน้ำมันดิบร่วงจากกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่กว่า 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และปีนี้ค่าการกลั่นและมาร์จิ้นปิโตรเคมีก็ดีขึ้นกว่าปี 2562รวมทั้งธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีไม่มีการปิดซ่อมบำรุงในปีนี้ด้วย
PTT ไม่มีแผนที่จะเข้าไปพยุงราคาหรือซื้อหุ้นคืน เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าผลประกอบการดี ผู้ถือหุ้น PTT ก็จะกลับเข้ามาลงทุนเอง และที่ผ่านมาก็มีการจ่ายปันผลในอัตรา 40-50% ของกำไรสุทธิมาตลอดเกือบ 20 ปี
@เลวร้ายน้ำมันเหลือ 20 ดอลล์
ด้านนายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวผ่าน รายการทันหุ้น ทันเกมว่า มีแนวโน้มที่ราคาน้ำมันจะลดต่ำลงไปเหลือ 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หาก ซาอุดิอาระเบีย และ รัสเซีย ยังคงปล่อยให้มีการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน และเชื่อว่าจะส่งผลกระทบไปยังบริษัทน้ำมันของสหรัฐด้วย เนื่องจากการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานของสหรัฐมีต้นทุนอยู่ราว 30 เหรียญปลายๆ ที่จะได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดีมองว่า ขณะนี้ก็ยังมีความพยายามที่จะเจรจาเพิ่มหาทางออกกันอยู่
ด้านนายบุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาดว่าทิศทางราคาน้ำมันดิบในปีนี้จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนบวกลบ ถึจะมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวได้ ปัจจัยส่วนหนึ่งเชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่น่าจะดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3/2563 จะเป็นปัจจัยสนับสนุน แม้ราคาหุ้นกลุ่มปตท.จะปรับตัวลงมามาก แต่ยังไม่ควรรีบเข้าลงทุน แต่ควรรอติดตามท่าทีของรัสเซียว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ประเมินราคาน้ำมันดิบปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 40-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
**ผลกระทบ PTTEP
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี(ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ราคาน้ำมันอาจจะมี downside ต่ำสุดที่ประมาณ 20-25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ด้วยต้นทุนของรัสเซียอยู่ที่ราว 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนต้นทุนซาอุฯ อยู่ที่เพียง 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และเมื่อเทียบกับช่วงเกิดสงครามราคาในปี 2557 ราคาน้ำมันลดลงประมาณ 70% จาก 112 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ดังนั้นหากใช้ตัวเลขการลดลงประมาณ 70% จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่ 25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่ง PTTEP ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยประเมินทุกๆ 1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ที่ปรับลง จะกระทบต่อกำไรของ PTTEP ประมาณ 900 ล้านบาท และถ้าน้ำมันต่ำกว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อาจจะเริ่มเห็นการขาดทุนของ PTTEP เพราะต้นทุนของ PTTEP อยู่ที่ราว 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินว่าหากราคาน้ำมันดิบลดลงต่ำกว่าสมมติฐานทุกๆ 5 เหรียญจะกระทบต่อราคาพื้นฐานของ PTTEP ปรับตัวลดลงราว 10-14 บาทต่อหุ้น ขณะที่หุ้น PTT กระทบราว 2-3 บาทต่อหุ้น ดังนั้นในระยะสั้นแนะนำชะลอการลงทุน
โบรกเกอร์หลายแห่งได้ปรับลดคำแนะนำ รวมถึงประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายของ PTTEP ลง โดยบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด ปรับลดคำแนะนำลงเป็นขาย พร้อมกับลดราคาเหมาะสมลงมาอยู่ที่ 91 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่ 142 บาทต่อหุ้น เนื่องจากราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับฐานแรงหลังผลประชุมโอเปกที่น่าผิดหวัง และความเสี่ยงการเกิดสงครามราคาหลัง
ร้ายสุดน้ำมัน20ดอลล์ ส่องมูลค่าPTT-PTTEP
วิเคราะห์ได้ดีสอดรับกับปัจจุบันมาก
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลงหนัก หลังจากการประชุมกลุ่มโอเปกและพันธมิตร ไม่สามารถตกลงกันได้ โดยกลุ่มโอเปก ได้เสนอให้ลดปริมาณการผลิตลงอีก 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่รัสเซียปฏิเสธ ทำให้ซาอุดิอาระเบีย ประกาศเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตคาดว่าแตะ 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับราว 9.7 ล้านบาร์เรล และประกาศลดค่าพรีเมียมน้ำมันตลาดเอเซีย-สหรัฐและยุโรปลง ส่งผลในกลุ่มปตท.วานนี้(9 มี.ค.) ปรับตัวลงแรง โดย PTT ปิดที่ 28 บาทต่อหุ้น ลบ 25.33%, หุ้น PTTEP ปิดที่ 74.75 บาท ลบ 29.81% , หุ้น PTTGC ปิดที่ 31 บาท ลบ 26.63%, หุ้น TOP ปิดที่ 32.75 บาท ลบ 21.56% และหุ้น IRPC ปิดที่ 2.00 บาท ลบ 13.04%
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. พร้อมรองรับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงแรง โดยส่วนหนึ่งจะลดสต็อกน้ำมันในธุรกิจโรงกลั่น เพื่อลดผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมัน ที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/2563 แต่ กลุ่มปตท. ยังเดินหน้าลงทุนตามแผนที่วางไว้ และมองโอกาสการลงทุนมากขึ้นจากตลาดแรงงานที่มีอยู่ และค่าเงินบาทที่ยังอยู่ในโทนแข็งค่า
นายชาญศิลป์ กล่าวอีกว่า ราคาน้ำมันที่ร่วงลงแรงคาดว่าจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ไม่เกินไตรมาส 2/2563 ราคาน้ำมันก็น่าจะฟื้นตัวขึ้น ซึ่งมองราคาน้ำมันดิบที่เหมาะสมปีนี้จะอยู่ที่ราว 50-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนผลการดำเนินงานของ PTT ในปีนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ แต่มั่นใจว่าจะมีกำไรสูงกว่าปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิราว 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีนี้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงจาก 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ต่ำกว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ปี 2558ราคาน้ำมันดิบร่วงจากกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่กว่า 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และปีนี้ค่าการกลั่นและมาร์จิ้นปิโตรเคมีก็ดีขึ้นกว่าปี 2562รวมทั้งธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีไม่มีการปิดซ่อมบำรุงในปีนี้ด้วย
PTT ไม่มีแผนที่จะเข้าไปพยุงราคาหรือซื้อหุ้นคืน เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าผลประกอบการดี ผู้ถือหุ้น PTT ก็จะกลับเข้ามาลงทุนเอง และที่ผ่านมาก็มีการจ่ายปันผลในอัตรา 40-50% ของกำไรสุทธิมาตลอดเกือบ 20 ปี
@เลวร้ายน้ำมันเหลือ 20 ดอลล์
ด้านนายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวผ่าน รายการทันหุ้น ทันเกมว่า มีแนวโน้มที่ราคาน้ำมันจะลดต่ำลงไปเหลือ 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หาก ซาอุดิอาระเบีย และ รัสเซีย ยังคงปล่อยให้มีการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน และเชื่อว่าจะส่งผลกระทบไปยังบริษัทน้ำมันของสหรัฐด้วย เนื่องจากการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานของสหรัฐมีต้นทุนอยู่ราว 30 เหรียญปลายๆ ที่จะได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดีมองว่า ขณะนี้ก็ยังมีความพยายามที่จะเจรจาเพิ่มหาทางออกกันอยู่
ด้านนายบุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาดว่าทิศทางราคาน้ำมันดิบในปีนี้จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนบวกลบ ถึจะมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวได้ ปัจจัยส่วนหนึ่งเชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่น่าจะดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3/2563 จะเป็นปัจจัยสนับสนุน แม้ราคาหุ้นกลุ่มปตท.จะปรับตัวลงมามาก แต่ยังไม่ควรรีบเข้าลงทุน แต่ควรรอติดตามท่าทีของรัสเซียว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ประเมินราคาน้ำมันดิบปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 40-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
**ผลกระทบ PTTEP
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี(ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ราคาน้ำมันอาจจะมี downside ต่ำสุดที่ประมาณ 20-25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ด้วยต้นทุนของรัสเซียอยู่ที่ราว 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนต้นทุนซาอุฯ อยู่ที่เพียง 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และเมื่อเทียบกับช่วงเกิดสงครามราคาในปี 2557 ราคาน้ำมันลดลงประมาณ 70% จาก 112 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ดังนั้นหากใช้ตัวเลขการลดลงประมาณ 70% จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่ 25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่ง PTTEP ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยประเมินทุกๆ 1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ที่ปรับลง จะกระทบต่อกำไรของ PTTEP ประมาณ 900 ล้านบาท และถ้าน้ำมันต่ำกว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อาจจะเริ่มเห็นการขาดทุนของ PTTEP เพราะต้นทุนของ PTTEP อยู่ที่ราว 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินว่าหากราคาน้ำมันดิบลดลงต่ำกว่าสมมติฐานทุกๆ 5 เหรียญจะกระทบต่อราคาพื้นฐานของ PTTEP ปรับตัวลดลงราว 10-14 บาทต่อหุ้น ขณะที่หุ้น PTT กระทบราว 2-3 บาทต่อหุ้น ดังนั้นในระยะสั้นแนะนำชะลอการลงทุน
โบรกเกอร์หลายแห่งได้ปรับลดคำแนะนำ รวมถึงประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายของ PTTEP ลง โดยบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด ปรับลดคำแนะนำลงเป็นขาย พร้อมกับลดราคาเหมาะสมลงมาอยู่ที่ 91 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่ 142 บาทต่อหุ้น เนื่องจากราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับฐานแรงหลังผลประชุมโอเปกที่น่าผิดหวัง และความเสี่ยงการเกิดสงครามราคาหลัง