สวัสดีครับชาวพันทิปทุกท่าน 

วันนี้ผมกลับมาพร้อมกับรีวิวอาหารอีกแล้วครับ แต่ไม่ใช่รีวิวอาหารธรรมดาๆ นะสิ เพราะมันคือ Review ร้านแบบ Omakase ซะด้วย

ร้านวันนี้ที่จะรีวิวคือ "Hachi" Omakase ตั้งอยู่ที่โครงการ Aree Garden ในซอยอารีย์นี่แหละครับ 

** รีวิวทั้งหมด คือความคิดเห็นที่ Based on experience ของผมทั้งหมดครับ 

*** รูปภาพทั้งหมดในนี้ไม่มีการแต่งสีครับ มีแต่การปรับ Exposure

มาดูหน้าร้านกันก่อนแล้วกัน 

ชื่อร้าน Hachi นี่หมายความว่าเลข 8 เต็มๆ เลยครับ ซึ่งทำไมถึงตั้งชื่อว่า Hachi หล่ะ

เชฟก็บอกว่า เพราะร้านของเจ้าของ ร้านก่อนหน้าร้านนี้ มีชื่อว่า shichi (เจ็ด) นั่นเองครับ 

ตอนแรกนึกว่าตั้งตามความเชื่อเรื่องเลขซะอีก เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่าเลข 8 เป็นเลขดีครับ 

อ้าว แล้วทำไมเลข 8 ถึงเป็นเลขดีหล่ะ 

เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ 

เซนเซผมที่เป็นคนญี่ปุ่น เขาเล่าว่า เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่าเลข 8 มันหมายถึงความแข็งแรง ความยิ่งใหญ่ ตระการตาครับ 

เราลองมาดูคันจิ(ตัวอักษรที่ยืม(ขโมย)มาจากจีน)ที่ประเทศญี่ปุ่นใช้สำหรับเรียกเลข 8 กันครับ เหมือนที่แปะอยู่หน้าร้านนั่นแหละ

ทุกคนว่ามันคล้ายกับอะไรครับ ?

ชักจะนอกเรื่องละ กลับเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า เดี๋ยวเราจะไปอย่างเร็วเลยนะครับ

คอร์สโอมากะเสะของร้านจะมีสามราคาครับ ซึ่งวันนี้ผมกินเป็น 999 บาท มี Sushi 7 คำ มากิ ไข่ตุ๋น ไข่หวาน ของหวาน ซึ่งชาร์จ VAT อีก 7% ไม่มี Service Charge กลายเป็น 1068 บาท และบวกกับราคาน้ำอีก ที่ถือว่าฟันค่อนข้างโหดเหมือนกัน

สำหรับท่านที่เพิ่งเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรก หรือไม่เคยรู้จักมาก่อนว่ามันคืออะไร มากาเสะรุ (makaseru) (任せる) เป็น Verb ในภาษาญี่ปุ่น มันคือการที่เราไว้ใจคนคนหนึ่ง ในเรื่องอะไรก็ว่ากันไป หลายๆ คนที่เคยดูอนิเมะ คงจะคุ้นกับคำว่า makasero ! นะครับ นั่นแปลว่า ไว้ใจฉันได้เลย

ทีนี้พอเติม o เข้าไปข้างหน้า มันก็กลายเป็นคำสุภาพ แล้วกลายเป็น term ที่เอาไว้เรียกการทานอาหารญี่ปุ่น ที่ไว้ใจให้เชฟจัดการวัตถุดิบ รวมถึงวิธีการกินใน Budget ของเราได้ตามสะดวกเลย ซึ่งเรามีหน้าที่แค่แจ้งว่าทานอะไรไม่ได้ กับจ่ายตังครับ ที่เหลือ เชฟจะจัดให้หมด ทั้ง Appetizer Main Dishes และของหวาน 

พูดง่ายๆ มันคือ Chef Table แบบญี่ปุ่น ยังไงยังงั้นครับ ซึ่ง Term นี้สามารถเอาไปใช้เรียกกับอาหารญี่ปุ่นทุกประเภทได้เลยนะ ไม่ใช่แค่ซูชิอย่างเดียว เทมปุระ ทงคัตสึ อะไรก็เรียกได้หมดเลย ข้าวหน้าปลาดิบหน้ามหาลัยที่ญี่ปุ่น เวลาผมคิดอะไรไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ผมยังบอกเถ้าแก่ร้านเลยครับว่าทำแบบโอมากาเสะให้หน่อย (ถ้าเขาว่างอะนะ)

มาเริ่มกันเลยครับ (はじめ！)

อาหารเปิดคอร์สคือไข่ตุ๋น ท๊อปด้วยไข่ปลาแซลม่อนครับ รสชาติ Average ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจมาก

พอจบอย่างแรก เขาจะเริ่มเสริฟขิงดองครับ ไว้ทานล้างปาก

คำแรก เสริฟมาเป็น Hirame หรือปลาตาเดียวครับ ปลาที่เอามาทำเอ็นกาวะอร่อยๆ และหากินยากมากๆ นั่นแหละ แต่อันนี้จะเป็นเนื้อของมันครับ

คำนี้จะทานคู่กับเกลือ และเปลือกส้มยูสุ เค็มนำและเปรี้ยวตามเบาๆในคำเดียว 

ตัวปลา ไม่ได้อร่อยที่สุดที่เคยกิน แต่ถือว่าดีใช้ได้ครับ แต่เชฟใส่เกลือเยอะไปนิดนึงนะ 

ข้าวน่าจะใช้น้ำส้มสายชูแดงครับ ข้าวเลยมีสีแดงหน่อยๆ รสชาติโอเคครับ 

 

ต่อมา ตามด้วย Madai ปลากระพงแดงญี่ปุ่น

ทาโชยุมาเลยเรียบร้อย

เชฟเอาหนังออกหมดแล้วครับ 

รสชาติอยู่ในระดับโอเคครับ ไม่ได้ดีเลิศอะไร เป็น Madai ทั่วๆ ไป แต่ดีกว่าร้านซูชิ 140 เยนที่ญี่ปุ่นนะ อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว

Kampachi ปลาญาติราวคราวเดียวกันกับ Hamachi และ Buri แต่ตัวใหญ่กว่า มันน้อยกว่า เนื้อเด้งกว่า กรุบกรอบกว่า

 

เสริฟกับโชยุตัวเดิมของทางร้าน ไม่มีท๊อปปิ้งเพิ่มเติม 

คำนี้ผมให้เกินมาตรฐานที่ผมเคยกินมานิดนึงแล้วกัน สำหรับคัมปาจิ

คำต่อมา ชิมะ อะจิ (Shima aji) 

ใครเคยทาย Aji แบบดองคล้ายๆ ซาบะ หรือแบบไม่ดองที่เสริฟกับขิง นี่จะเป็นปลาอีกแบบนึงเลย ถึงแม้ว่าชื่อจะคล้ายๆ กัน

รสชาติจะคาบเกี่ยวกับระหว่าง aji กับคัมปาจิคำด้านบนครับ ส่วนตัวไม่ค่อยได้ทานบ่อย เพราะที่ญี่ปุ่นเจ้านี่แอบแพง แต่ถือว่าอร่อยเลยครับ คำนี้เกินมาตรฐานที่ผมเคยทานมา

และซูชิปลาเรืองแสงดองเค็ม (Hikarimono) (光り物) คำแรก(และคำเดียว)ก็มาถึงครับ　

เจ้านี่คือ Kohada ดองครับ

ปกติโคฮาดะจะเสริฟเป็นปลาถูกๆ เลย ตามร้านซูชิที่ญี่ปุ่น และรสชาติจะใกล้เคียงกับซาบะมาก บางคนทางแล้วไม่รู้ด้วยซ้ำ 

โคฮาดะจะลีนกว่า มันน้อยกว่าซาบะครับ (ผมชอบซาบะมากกว่า) เพราะฉะนั้นโคฮาดะมันจะไม่เปลี่ยนใจคนไม่ชอบปลาแนวซาบะดองแน่นอน

ผมชอบ Presentation ของคำนี้ ที่ทำออกมาแล้วดูไม่เหมือนโคฮาดะถูกๆ ในร้านซูชิจานหมุนครับ 

ส่วนรสชาติผมว่าดองเค็มไป ซอสหวานที่ทาเสริฟมาแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย 

คำรองสุดท้ายของคอร์ส 999 กับกุ้งหวาน ท๊อปด้วยฟัวกราส์ครับ 

คำนี้ผมเห็นเมนูแล้วค่อนข้างหวังนะว่าจะมีอะไรให้ว้าวบ้างสำหรับวันนี้ เพราะคำที่ผ่านๆ มาธรรมดามาก แค่ถึงมาตรฐาน หรือเลยไปหน่อย

แต่คำนี้ผมค่อนข้างผิดหวังครับ 

ฟัวกราส์ผมไม่รู้ว่า cook ยังไง แต่น่าจะนำไปทอดแบบ deep fry ไม่แน่ใจเหมือนกัน ข้างนอกกรอบมาก Texture ปกติของความเป็นฟัวกราส์หายไปหมดเลย

แถมทับกันไปมากับกุ้งหวานอีกต่างหาก งงดีเหมือนกันครับ 

ผม Prefer ให้เขาย่างเอาแบบ Pan Sear มากกว่านะ หรือถ้าเอาไป Pan Sear นี่ก็น่าจะ Overcook ไปจนไหม้แล้วหล่ะครับ

คำนี้ไม่ผ่านเลย เหมือนสั่งกินในร้านบุฟเฟ่ต์ 799 ที่ผมเพิ่งไปทานมาสองวันที่แล้ว

　

มาถึงคำสุดท้ายแล้วครับ พรอพมาเต็มละ ทองคำเปลว ไข่กุ้งสีดำ (?) หรือคาเวียร์ ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะเชฟไม่ได้บอกครับ

และใช่แล้ว หลายๆ ท่านทายถูกตั้งแต่เห็นภาพที่สอง คำสุดท้ายนี้คือ akami tsuke ท๊อปด้วยทองคำและไข่อะรูมีไร้ครับ

เอาหล่ะ ถ้าคำนี้ไม่อร่อยผมว่าแย่แล้วนะ 

สรุปก็คืออร่อยใช้ได้ครับ ปลาน่าจะเป็น Blue fin Tuna (Honmaguro) Texture มันใช่ มันพอมีอยู่ครับ คำนี้ดูสมราคาคอร์ส 999 ที่สุดในบรรดา Nigiri Sushi

จบแล้ว สำหรับ Nigiri Sushi ครับ

ต่อไปคือ Maki Sushi อย่างที่ผมได้บอกไปตอนต้นกระทู้ ว่ามีมากิซูชิด้วย อันนี้เป็นบาระมากิซูชิครับ (ปลาเนื้อขาวสับกับต้นหอม ปรุงรสด้วยโชยุ)

คำนี้ไม่ต้องพูดเยอะครับ ด้วยธรรมชาติของความเป็นปลาดิบสับปรุงรส มันอูมามิมากๆ อยู่แล้ว ทั้งมันปลา โชยุที่มันคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน มีกลิ่นหอมของต้นหอมอีก คู่นี้รสชาติอร่อยที่สุดในวันนี้ครับ อูมามิที่สุด

และเชฟก็เสริฟโซเมงถ้วยเล็กๆ มาปิดคอร์สของคาวครับ รสชาติ ก็คือโซเม็งอ่ะ

อย่างแรกคือไข่หวานครับ เนื้อสัมผัสเหมือนเค้ก ผสมไข่หวานที่เคยกินตามปกติ แต่เห็นเชฟบอกว่าไม่ใช้แป้งเลยนะ แปลกดีครับ หวานเค็ม เนื้อคล้ายๆ เค้ก ใช้ได้ครับ

และของหวานตบท้าย

พุดดิ้งนมสด ซอสชาเขียวกับทองคำเปลวครับ

รสชาติคือพุดดิ้งนมดีๆ เลย จานนี้ไม่ผิดหวังครับ 

เดี๋ยวอ่านสรุปในคอมเม้นท์แรกนะครับ พิมพ์เกิน 10000 ตัวละ