บทความตามใจฉัน “Sony PlayStation-Dragon Awaken” Part 1
เนื้อหาในบทความนี้จะต่อเนื่องจากบทความ “Nintendo, Sony and CD”
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้อ่านบทความดังกล่าวสามารถอ่านได้ใน Link ข้างล่าง
https://www.facebook.com/pg/uptomejournal/photos/?tab=album&album_id=580980989148909
โดยหลังจากเหตุการณ์ใน Consumer Electronics Show 1991 ทาง Sony ได้มีการจัดประชุมเพื่อพูดคุยว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป โดยแยกเป็นประเด็นหลัก ๆ ได้ 2 หัวข้อดังนี้
หัวข้อแรก จะมีการตอบโต้การฉีกสัญญาของ Nintendo หรือไม่
เสียงนั้นแตกออกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายที่ไม่พอใจในการกระทำของ Nintendo ก็ต้องการที่จะให้ Sony ฟ้อง Nintendo ที่ผิดสัญญาไปให้ Philips ทำโครงการ SNES-CD แทน บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่านี่มีเรื่องของศักดิ์ศรีบริษัทเข้ามาเกี่ยวด้วย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในงานนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
ส่วนอีกฝ่ายก็คัดค้านการฟ้องโดยให้เหตุผลว่า Nintendo เป็นบริษัทใหญ่ ในอนาคตบางที Sony ก็อาจจะร่วมทำธุรกิจกับ Nintendo อีกครั้งก็เป็นได้ ถ้าฟ้องไปอาจจะทำให้ทั้งสองบริษัทกินแหนงแคลงใจกันจนทำให้พลาดโอกาศทางธุรกิจไป
ผลจากการประชุมคือ Sony ตัดสินใจไม่ฟ้อง Nintendo
โดยเหตุผลที่มีน้ำหนักมากที่สุดมาจากฝั่งคัดค้านการฟ้องคือ แม้ Sony กับ Philips จะเป็นคู่แข่งแต่ก็เป็นพาร์เนอร์ในการพัฒนาเทคโนโลยีสื่อบรรจุข้อมูลชนิด Optical disk ด้วยเช่นกัน โดยในช่วงเวลาที่เกิดเรื่องนั้นโครงการวิจัย Optical disk ความจุสูงชื่อ Multimedia Compact Disc (MMCD) ที่เป็นโครงการร่วมระหว่าง 2 บริษัทก็กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี ถ้ามีการฟ้อง Nintendo ละก็ Philips จะกลายเป็นจำเลยร่วมไปด้วยและอาจจะกระทบต่อโครงการวิจัยในที่สุด ที่ประชุมจึงตัดสินใจไม่ฟ้อง
หัวข้อที่สอง จะทำอย่างไรกับโครงการ Play Station
เสียงนั้นแตกออกเป็น 2 ฝ่ายเช่นเคย
ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนให้ดำเนินโครงการต่อซึ่งส่วนใหญ่ก็คือฝ่ายที่ต้องการให้ฟ้อง Nintendo นั้นเอง โดยมีจุดประสงค์ต้องการใช้โครงการนี้เพื่อเอาคืน Nintendo บางคนก็สนับสนุนเนื่องจากเห็นโอกาสทางธุรกิจจากเครื่องเกมคอนโซลจริง ๆ แน่นอนว่า เคน คุตารากิ สนับสนุนฝ่ายนี้ บางแหล่งข้อมูลเล่าว่า เคน คุตารากิ เป็นแกนนำของฝ่ายนี้เลยด้วยซ้ำ
ส่วนฝ่ายที่คัดค้านก็ต้องการให้ยกเลิกโครงการเพราะเกรงว่าอาจจะไปกระทบต่อ Nintendo แล้วพลอยทำให้ Philips เกิดผิดใจกับ Sony อีกทั้งธุรกิจเครื่องเกมคอนโซลนั้นนอกจากจะไม่ใช่ธุรกิจหลักแล้ว Sony ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในธุรกิจนี้ประเภทนี้เลย หากดำเนินการต่อย่อมต้องประสบกับความยากลำบากมากมายอีกทั้งมีโอกาสที่ธุรกิจจะล้มเหลวสูงซึ่งจะทำให้สูญเงินลงทุนจำนวนมากไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย
ผลจากการประชุมคือ Sony จะดำเนินโครงการ Play Station ต่อไป
ตรงนี้นั้นถ้าเราถอยออกมามองภาพกว้างจะเห็นหลักการบริหารความคัดแย้งที่น่าสนใจยิ่ง
จากหนังสือ Advanced Introduction to Entrepreneurship (ขอขอบคุณ คุณ Furious+Rivery ที่ส่งข้อมูลมาให้) ได้มีการยกกรณีตัวอย่างของ โนริโอะ โอกะ CEO ของ Sony ในขณะนั้นขึ้นมาว่าเป็นผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับพนักงานที่มีใจรักและมุ่งมั่นในการสร้างผลงานที่ตนเองเชื่อมั่นมาก เพราะลูกน้องจะตั้งใจทำมากกว่างานปกติที่บริษัทมอบหมาย งานที่ได้จะออกมาดี จึงเข้าแทรกแซงไม่ให้ เคน คุตารากิ ถูกไล่ออกและยอมให้เค้าดำเนินโครงการ Sound Chip ที่สร้างให้กับ Nintendo ต่อไปเพื่อเก็บพนักงานคนนี้ไว้กับบริษัท
ถ้ามองในมุมแคบลงมาจะเห็นได้ว่า โนริโอะ โอกะ เป็นหัวหน้าที่ ถ้าลูกน้องตั้งใจจะทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ ก็จะสนับสนุนเต็มที่
ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ ลูกน้องมีใจที่จะสร้างเครื่องเกมคอนโซล(ไม่ว่าจะเพื่อล้างแค้นหรือผลกำไรหรืออะไรก็ตาม) ก็ควรที่จะสนับสนุน
อีกมุมคือเพื่อไกล่เกลี่ยความคุกรุ่นภายในใจของพนักงาน ทั้งฝ่ายที่ต้องการเอาเรื่อง Nintendo กับไม่อยากไปยุ่งกับ Nintendo
จากผลการประชุม เราจะเห็นว่าฝ่ายที่ไม่อยากสร้างศัตรูกับ Nintendo นั้นชนะไปแล้วครั้งหนึ่ง
ถ้า Sony ตัดสินใจไม่ดำเนินโครงการ Play Station ต่อ นั้นย่อมก่อให้เกิดความคลางแครงใจและการเก็บกดในหมู่พนักงานที่โกรธและต้องการเอาคืน Nintendo ซึ่งปล่อยไว้จะไม่เกิดผลดีองค์กรอีกทั้งยังอาจจะพลาดโอกาสทางธุรกิจในเครื่องเกมคอนโซลที่แม้แต่ตัว โอกะ เองก็เริ่มเห็นโอกาสแล้วเช่นกัน
และแม้พนักงานของ Sony เห็นต่างจนแตกเป็นสองฝ่ายแต่โดยร่วมรวมแล้วพนักงานของ Sony แทบทุกคนรู้สึกไปในทางเดียวกันคือไม่พอใจกับสิ่งที่ Nintendo ทำอย่างมาก บางแหล่งข้อมูลบอกว่าโอกะเองก็เช่นกัน
ดังนั้นการให้ดำเนินโครงการต่อจึงมีจุดประสงค์แฝงอยู่ด้วยก็คือเพื่อลดแรงกดดันจากความไม่พอใจใน Nintendo ของพนักงานร่วมถึงการเบนเป้าความสนใจเอาคืน Nintendo แบบตรง ๆ ให้ไปมุ่งกับโครงการเครื่องเกมคอนโซลที่ถูกสร้างเพื่อเอาคืน Nintendo ทางอ้อมแทน
ถ้าโครงการสำเร็จก็เป็นการเปิดสายธุรกิจใหม่ดีต่อองค์กร ถึงไม่สำเร็จก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ส่วนเทคโนโลยีที่สร้างมาก็นำไปประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของบริษัทได้ ร่วมถึงลดความไม่พอใจของพนักงานอีกด้วย
โดยการดำเนินโครงการนี้ต่อมีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียว นั้นคือ
ต้องไม่ทำให้ Sony บริษัทแม่เกิดการกระทบกระทั้งกับ Nintendo เพื่อไม่ให้กระทบกับ Philips
จะเห็นว่า Sony ให้ความสำคัญกับโครงการ Multimedia Compact Disc (MMCD) มากดุจไข่ในหิน
ด้วยการตัดสินใจและเงื่อนไขดังกล่าว ทำให้ต่อมาเมื่อ Nintendo เชิญ Sony และ Philips ไปพูดคุยปรับความเข้าใจและหาข้อตกลงร่วมในโครงการ SNES-CD ทาง Sony จึงยังมีไมตรีพอที่จะส่งคนไปร่วมพูดคุยด้วยขณะที่ในเวลาเดียวกันหลังบ้านก็พัฒนาเครื่องเกมคอนโซลของตนเองเตรียมเอาคืน
ผลการพูดคุยคือ Nintendo จะแบ่งผลประโยชน์กันโดยให้ Sony ผลิต SNES-CD ส่วน Philips ก็ผลิต CD Add-on ของ SNES โดย format ของ CD จะใช้ format ที่เข้ากันได้กับเครื่องอ่านของทั้งสองค่าย ทำให้ CD เกมแผ่นเดียวกันสามารถใช้ได้ทั้งกับ SNES-CD ของ Sony และ CD Add-on ของ Philips
แต่อย่างที่รู้กันคือทั้ง SNES-CD และ CD Add-on ไม่เคยได้ออกสู่ตลาด
โดยเฉพาะ CD Add-on จาก Philips ที่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีเอกสารหลักฐานหรือ Hardware ต้นแบบหลงเหลือหลุดรอดมาสู่สาธารณะเลย ทำให้เชื่อกันกว่าถ้าไม่ใช่เพราะเอกสารและต้นแบบถูกทำลายทั้งหมดก็เพราะโครงการไม่เคยเดินหน้าจนถึงขั้นพัฒนาต้นแบบที่ใช้งานจริงได้สำเร็จ
จากแหล่งข้อมูลที่พอจะมีการพูดถึงประเด็นนี้ ทางโน้นเองก็ไม่มีเอกสารหลักฐานมีแต่ข่าวลือเล่ากันว่าหลักจากตกลงกันแล้ว Nintendo ก็ค่อย ๆ เงียบหายไปเฉย ๆ ไม่พูดคุยเรื่องนี้อีกเลย จึงเป็นไปได้ว่า Nintendo มีการเปลี่ยนนโยบายภายในเรื่องสื่อบรรจุเกม
ส่วนตัวผู้เขียนเองเชื่อว่าจากแผลเก่าตอน NES Disk Drive ที่ใช้สื่อบรรจุเกมราคาถูก,หาได้ง่ายจนเกมถูกละเมิดสิขสิทธิ์อย่างหนักและเป็นช่องให้เกิด “หัวโปร” ในยุค SNES ผนวกกับความสำเร็จของเทคนิค Enhancement chips บนตลับเกม ของ SNES ทำให้ Nintendo เลือกที่จะใช้สื่อแบบตลับต่อไป
หรือไม่งั้นก็คือในเวลานั้น Nintendo เลือกที่จะมองหาเทคโนโลยีสื่อบรรจุข้อมูลที่จุข้อมูลได้มากกว่าตลับ, อ่านข้อมูลได้เร็วใกล้เคียงตลับแต่ค่าการผลิตถูกกว่าตลับและก๊อปปี้ได้ยากกว่า CD มาใช้แทน CD
หรือไม่ก็ Nintendo ในตอนนั้นพบเทคโนโลยีดังกล่าวแล้ว เลยไม่สนใจ CD อีกต่อไป
กลับมาที่ฝั่ง Sony
ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว ทีมงานของโครงการ Play Station จึงต้องปรับแผนใหม่เพื่อเลี่ยงไม่ให้บริษัทแม่ไปปะทะกับ Nintendo และหาวิธีกลบจุดอ่อนเรื่องการไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจเครื่องเกมคอนโซล
แผนใหม่ก็คือการนำเสนอโครงการ Play station กับบริษัทผู้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลอื่นเพื่อร่วมกันเป็นพาร์เนอร์ทางธุรกิจหรือร่วมกันพัฒนาเครื่องเกมคอนโซลแล้วแบ่งผลประโยชน์กัน ซึ่งบริษัทที่ต้องการจะต้องเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเครื่องเกมคอนโซลอยู่แล้วและมีศักยภาพในระดับเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับ Nintendo
และบริษัทนั้นก็คือ SEGA
to be continued in "Too Hungry Too Much Too Rush" Part1
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/
บทความตามใจฉัน “Sony PlayStation-Dragon Awaken” Part 1
เนื้อหาในบทความนี้จะต่อเนื่องจากบทความ “Nintendo, Sony and CD”
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้อ่านบทความดังกล่าวสามารถอ่านได้ใน Link ข้างล่าง
https://www.facebook.com/pg/uptomejournal/photos/?tab=album&album_id=580980989148909
โดยหลังจากเหตุการณ์ใน Consumer Electronics Show 1991 ทาง Sony ได้มีการจัดประชุมเพื่อพูดคุยว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป โดยแยกเป็นประเด็นหลัก ๆ ได้ 2 หัวข้อดังนี้
หัวข้อแรก จะมีการตอบโต้การฉีกสัญญาของ Nintendo หรือไม่
เสียงนั้นแตกออกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายที่ไม่พอใจในการกระทำของ Nintendo ก็ต้องการที่จะให้ Sony ฟ้อง Nintendo ที่ผิดสัญญาไปให้ Philips ทำโครงการ SNES-CD แทน บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่านี่มีเรื่องของศักดิ์ศรีบริษัทเข้ามาเกี่ยวด้วย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในงานนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
ส่วนอีกฝ่ายก็คัดค้านการฟ้องโดยให้เหตุผลว่า Nintendo เป็นบริษัทใหญ่ ในอนาคตบางที Sony ก็อาจจะร่วมทำธุรกิจกับ Nintendo อีกครั้งก็เป็นได้ ถ้าฟ้องไปอาจจะทำให้ทั้งสองบริษัทกินแหนงแคลงใจกันจนทำให้พลาดโอกาศทางธุรกิจไป
ผลจากการประชุมคือ Sony ตัดสินใจไม่ฟ้อง Nintendo
โดยเหตุผลที่มีน้ำหนักมากที่สุดมาจากฝั่งคัดค้านการฟ้องคือ แม้ Sony กับ Philips จะเป็นคู่แข่งแต่ก็เป็นพาร์เนอร์ในการพัฒนาเทคโนโลยีสื่อบรรจุข้อมูลชนิด Optical disk ด้วยเช่นกัน โดยในช่วงเวลาที่เกิดเรื่องนั้นโครงการวิจัย Optical disk ความจุสูงชื่อ Multimedia Compact Disc (MMCD) ที่เป็นโครงการร่วมระหว่าง 2 บริษัทก็กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี ถ้ามีการฟ้อง Nintendo ละก็ Philips จะกลายเป็นจำเลยร่วมไปด้วยและอาจจะกระทบต่อโครงการวิจัยในที่สุด ที่ประชุมจึงตัดสินใจไม่ฟ้อง
หัวข้อที่สอง จะทำอย่างไรกับโครงการ Play Station
เสียงนั้นแตกออกเป็น 2 ฝ่ายเช่นเคย
ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนให้ดำเนินโครงการต่อซึ่งส่วนใหญ่ก็คือฝ่ายที่ต้องการให้ฟ้อง Nintendo นั้นเอง โดยมีจุดประสงค์ต้องการใช้โครงการนี้เพื่อเอาคืน Nintendo บางคนก็สนับสนุนเนื่องจากเห็นโอกาสทางธุรกิจจากเครื่องเกมคอนโซลจริง ๆ แน่นอนว่า เคน คุตารากิ สนับสนุนฝ่ายนี้ บางแหล่งข้อมูลเล่าว่า เคน คุตารากิ เป็นแกนนำของฝ่ายนี้เลยด้วยซ้ำ
ส่วนฝ่ายที่คัดค้านก็ต้องการให้ยกเลิกโครงการเพราะเกรงว่าอาจจะไปกระทบต่อ Nintendo แล้วพลอยทำให้ Philips เกิดผิดใจกับ Sony อีกทั้งธุรกิจเครื่องเกมคอนโซลนั้นนอกจากจะไม่ใช่ธุรกิจหลักแล้ว Sony ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในธุรกิจนี้ประเภทนี้เลย หากดำเนินการต่อย่อมต้องประสบกับความยากลำบากมากมายอีกทั้งมีโอกาสที่ธุรกิจจะล้มเหลวสูงซึ่งจะทำให้สูญเงินลงทุนจำนวนมากไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย
ผลจากการประชุมคือ Sony จะดำเนินโครงการ Play Station ต่อไป
ตรงนี้นั้นถ้าเราถอยออกมามองภาพกว้างจะเห็นหลักการบริหารความคัดแย้งที่น่าสนใจยิ่ง
จากหนังสือ Advanced Introduction to Entrepreneurship (ขอขอบคุณ คุณ Furious+Rivery ที่ส่งข้อมูลมาให้) ได้มีการยกกรณีตัวอย่างของ โนริโอะ โอกะ CEO ของ Sony ในขณะนั้นขึ้นมาว่าเป็นผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับพนักงานที่มีใจรักและมุ่งมั่นในการสร้างผลงานที่ตนเองเชื่อมั่นมาก เพราะลูกน้องจะตั้งใจทำมากกว่างานปกติที่บริษัทมอบหมาย งานที่ได้จะออกมาดี จึงเข้าแทรกแซงไม่ให้ เคน คุตารากิ ถูกไล่ออกและยอมให้เค้าดำเนินโครงการ Sound Chip ที่สร้างให้กับ Nintendo ต่อไปเพื่อเก็บพนักงานคนนี้ไว้กับบริษัท
ถ้ามองในมุมแคบลงมาจะเห็นได้ว่า โนริโอะ โอกะ เป็นหัวหน้าที่ ถ้าลูกน้องตั้งใจจะทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ ก็จะสนับสนุนเต็มที่
ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ ลูกน้องมีใจที่จะสร้างเครื่องเกมคอนโซล(ไม่ว่าจะเพื่อล้างแค้นหรือผลกำไรหรืออะไรก็ตาม) ก็ควรที่จะสนับสนุน
อีกมุมคือเพื่อไกล่เกลี่ยความคุกรุ่นภายในใจของพนักงาน ทั้งฝ่ายที่ต้องการเอาเรื่อง Nintendo กับไม่อยากไปยุ่งกับ Nintendo
จากผลการประชุม เราจะเห็นว่าฝ่ายที่ไม่อยากสร้างศัตรูกับ Nintendo นั้นชนะไปแล้วครั้งหนึ่ง
ถ้า Sony ตัดสินใจไม่ดำเนินโครงการ Play Station ต่อ นั้นย่อมก่อให้เกิดความคลางแครงใจและการเก็บกดในหมู่พนักงานที่โกรธและต้องการเอาคืน Nintendo ซึ่งปล่อยไว้จะไม่เกิดผลดีองค์กรอีกทั้งยังอาจจะพลาดโอกาสทางธุรกิจในเครื่องเกมคอนโซลที่แม้แต่ตัว โอกะ เองก็เริ่มเห็นโอกาสแล้วเช่นกัน
และแม้พนักงานของ Sony เห็นต่างจนแตกเป็นสองฝ่ายแต่โดยร่วมรวมแล้วพนักงานของ Sony แทบทุกคนรู้สึกไปในทางเดียวกันคือไม่พอใจกับสิ่งที่ Nintendo ทำอย่างมาก บางแหล่งข้อมูลบอกว่าโอกะเองก็เช่นกัน
ดังนั้นการให้ดำเนินโครงการต่อจึงมีจุดประสงค์แฝงอยู่ด้วยก็คือเพื่อลดแรงกดดันจากความไม่พอใจใน Nintendo ของพนักงานร่วมถึงการเบนเป้าความสนใจเอาคืน Nintendo แบบตรง ๆ ให้ไปมุ่งกับโครงการเครื่องเกมคอนโซลที่ถูกสร้างเพื่อเอาคืน Nintendo ทางอ้อมแทน
ถ้าโครงการสำเร็จก็เป็นการเปิดสายธุรกิจใหม่ดีต่อองค์กร ถึงไม่สำเร็จก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ส่วนเทคโนโลยีที่สร้างมาก็นำไปประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของบริษัทได้ ร่วมถึงลดความไม่พอใจของพนักงานอีกด้วย
โดยการดำเนินโครงการนี้ต่อมีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียว นั้นคือ
ต้องไม่ทำให้ Sony บริษัทแม่เกิดการกระทบกระทั้งกับ Nintendo เพื่อไม่ให้กระทบกับ Philips
จะเห็นว่า Sony ให้ความสำคัญกับโครงการ Multimedia Compact Disc (MMCD) มากดุจไข่ในหิน
ด้วยการตัดสินใจและเงื่อนไขดังกล่าว ทำให้ต่อมาเมื่อ Nintendo เชิญ Sony และ Philips ไปพูดคุยปรับความเข้าใจและหาข้อตกลงร่วมในโครงการ SNES-CD ทาง Sony จึงยังมีไมตรีพอที่จะส่งคนไปร่วมพูดคุยด้วยขณะที่ในเวลาเดียวกันหลังบ้านก็พัฒนาเครื่องเกมคอนโซลของตนเองเตรียมเอาคืน
ผลการพูดคุยคือ Nintendo จะแบ่งผลประโยชน์กันโดยให้ Sony ผลิต SNES-CD ส่วน Philips ก็ผลิต CD Add-on ของ SNES โดย format ของ CD จะใช้ format ที่เข้ากันได้กับเครื่องอ่านของทั้งสองค่าย ทำให้ CD เกมแผ่นเดียวกันสามารถใช้ได้ทั้งกับ SNES-CD ของ Sony และ CD Add-on ของ Philips
แต่อย่างที่รู้กันคือทั้ง SNES-CD และ CD Add-on ไม่เคยได้ออกสู่ตลาด
โดยเฉพาะ CD Add-on จาก Philips ที่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีเอกสารหลักฐานหรือ Hardware ต้นแบบหลงเหลือหลุดรอดมาสู่สาธารณะเลย ทำให้เชื่อกันกว่าถ้าไม่ใช่เพราะเอกสารและต้นแบบถูกทำลายทั้งหมดก็เพราะโครงการไม่เคยเดินหน้าจนถึงขั้นพัฒนาต้นแบบที่ใช้งานจริงได้สำเร็จ
จากแหล่งข้อมูลที่พอจะมีการพูดถึงประเด็นนี้ ทางโน้นเองก็ไม่มีเอกสารหลักฐานมีแต่ข่าวลือเล่ากันว่าหลักจากตกลงกันแล้ว Nintendo ก็ค่อย ๆ เงียบหายไปเฉย ๆ ไม่พูดคุยเรื่องนี้อีกเลย จึงเป็นไปได้ว่า Nintendo มีการเปลี่ยนนโยบายภายในเรื่องสื่อบรรจุเกม
ส่วนตัวผู้เขียนเองเชื่อว่าจากแผลเก่าตอน NES Disk Drive ที่ใช้สื่อบรรจุเกมราคาถูก,หาได้ง่ายจนเกมถูกละเมิดสิขสิทธิ์อย่างหนักและเป็นช่องให้เกิด “หัวโปร” ในยุค SNES ผนวกกับความสำเร็จของเทคนิค Enhancement chips บนตลับเกม ของ SNES ทำให้ Nintendo เลือกที่จะใช้สื่อแบบตลับต่อไป
หรือไม่งั้นก็คือในเวลานั้น Nintendo เลือกที่จะมองหาเทคโนโลยีสื่อบรรจุข้อมูลที่จุข้อมูลได้มากกว่าตลับ, อ่านข้อมูลได้เร็วใกล้เคียงตลับแต่ค่าการผลิตถูกกว่าตลับและก๊อปปี้ได้ยากกว่า CD มาใช้แทน CD
หรือไม่ก็ Nintendo ในตอนนั้นพบเทคโนโลยีดังกล่าวแล้ว เลยไม่สนใจ CD อีกต่อไป
กลับมาที่ฝั่ง Sony
ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว ทีมงานของโครงการ Play Station จึงต้องปรับแผนใหม่เพื่อเลี่ยงไม่ให้บริษัทแม่ไปปะทะกับ Nintendo และหาวิธีกลบจุดอ่อนเรื่องการไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจเครื่องเกมคอนโซล
แผนใหม่ก็คือการนำเสนอโครงการ Play station กับบริษัทผู้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลอื่นเพื่อร่วมกันเป็นพาร์เนอร์ทางธุรกิจหรือร่วมกันพัฒนาเครื่องเกมคอนโซลแล้วแบ่งผลประโยชน์กัน ซึ่งบริษัทที่ต้องการจะต้องเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเครื่องเกมคอนโซลอยู่แล้วและมีศักยภาพในระดับเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับ Nintendo
และบริษัทนั้นก็คือ SEGA
to be continued in "Too Hungry Too Much Too Rush" Part1
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/