...............ป่ากลับมาเงียบกริบอย่างที่มันควรจะเป็น ภายหลังจากทหารฝ่ายศัตรูคนสุดท้ายวิ่งลับหายไปจากสายตาของพวกผู้กองหาญศึก จ่าแจ๋ว หมู่แม็ก อาสาทหารพรานทองปาต่างหมอบนิ่งกับพื้นดินหลังต้นตะเคียนใหญ่ ส่งเสียงกระซิบกระซาบกันถึงการถอนตัวอย่างกะทันหันของฝ่ายศัตรู หมู่แม็กยันตัวขึ้นยืนด้วยสีหน้ากระหยิ่มดึงกิ่งไม้ใบไม้ที่พรางไว้กับตัวออก ในแววตามีรอยหยันทหารรับจ้างพวกนั้นที่วิ่งหนีไปแทบไม่เป็นขบวน ราวกลับถูกไล่ต้อนเสียเอง
“พวกหมาป่า มันหลงกลผมแล้ว”
“หมู่แม็ก นายทำอะไรเหรอที่ว่าพวกมันถึงได้หลงกล ล่าถอยไปเอง” ผู้กองถามขึ้นดวงตายังจดจ้อง ไม่แน่ใจว่าพวกศัตรูจะมีแผนการลวงอันใดเอาไว้
“ผมดักคลื่นความถี่สื่อสารของพวกมัน แล้วใช้เครื่องแปลงเสียงของหัวหน้าพวกมันสั่งการให้ถอย ตอนนี้ผมยังส่งคลื่นรบกวนสัญญาณวิทยุสื่อสารทุกย่านความถี่ของหน่วยหมาป่า ทำให้ติดต่อกันไม่ได้ กว่าจะรู้ว่าหลงกลพวกเราก็หนีไปไกลแล้ว”
“มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นมั้ง” จ่าแจ๋วจอมขมังเวทย์ขาดขึ้นทันควัน ในมือยังถือลูกปะคำหลับตาเพ่งกระแสจิตไปยังทุกสรรพสิ่งรอบตัวในป่าใหญ่ ที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่เสียงของจิ้งหรีดให้ได้ยิน มีเพียงเสียงพูดจาโต้ตอบของพวกตนเท่านั้น มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในป่า จนทำให้พวกศัตรูล่าถอยไปเอง
“แล้วกันสิจ่า! พวกหมาป่ามันหลงกลผมต่างหาก”
“พวกมันจะต้องได้กลิ่นไม่ดีบางอย่าง เลยถอยไปเองมากกว่า แต่เราไม่รู้มันคืออะไร” ผู้กองหาญศึกรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างตามที่จ่าแจ๋วว่า เส้นขนบนแขนลุกชัน เหมือนกำลังมีมหันตภัยใกล้จะมาถึง แม้แต่อาสาทหารพรานทองปา ที่ชำนาญกับป่ามาไม่น้อยเช่นกันยังรู้สึกได้แทบไม่กล้าแยกเดี่ยวออกไป “ในสนามรบ ทหารมีสิทธิ์แย้งคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้ ในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น หากเวลานี้เป็นผมเป็นฝ่ายล่า และฝ่ายถูกล่ากำลังจนมุมใกล้จะเพลี่ยงพล้ำ ไม่มีทางที่ผมจะถอยแน่ พวกหมาป่าหนีเตลิดไปเองเช่นนี้ มันต้องมีเหตุผลอื่นอีกแน่ เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง”
“ผู้กอง ผมว่าเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ ก่อนที่มันจะเปลี่ยนใจย้อนกลับมา” จ้าแจ๋วพูด
“เรารีบวิ่งไป ปรึกษากันไปเถอะคราวนี้ผมจะไปตามลำธาร หนีมาทางป่ารกไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะหนีจมูกหมาไม่พ้นแน่” เสียงขรึมของผู้กอง หันหลังได้ก้นสาวเท้านำไปทันที หมู่แม็กเร่งตามมาเคียงไหล่แล้วยื่นบางสิ่งให้ดู จนผู้กองเลิกคิ้วมองดูด้วยความแปลกใจ
“นี่คือสเปรย์ที่ผมคิดค้นขึ้น เอาไว้ด้านจมูกของสุนัขครับ อณูของน้ำยาชนิดนี้เล็กมาก มันจะทำให้จมูกของสุนัขระคายเคือง แล้วเกิดการจาม ประสาทการดมกลิ่นของมันจะผิดเพี้ยนใช้การไม่ได้ไปพักใหญ่ เหมือนกับคนที่เป็นไข้หวัด ผมเคยทดลองตอนอยู่โรงเรียนนายสิบแล้ว กองสุนัขทหาร พวกนั้นวุ่นวายกันใหญ่เลยนึกว่าหมาติดหวัด”
ตีนกาของจ่าแจ๋วกระตุก อารมณ์ฉุนมันขึ้น รู้ตัวแล้วไอ้ตัวแสบที่แกล้งให้สุนัขทหารทั้งกรมเป็นหวัดที่เป็นข่าว เลยโดดถีบจากด้านหลังเข้าบ้านเอวลูกน้องจนถลาไปด้านหน้าเกือบล้ม
“จ่ามาถีบผมทำไม!”
“หมั่นไส้โว้ย”
“จ่าป่าเถื่อนที่สุด คงอิจฉาผลงานผมละซี่”
“พอๆ ที อย่าทะเลาะกัน เรายังไม่พ้นเขตอันตราย” ผู้กองรู้สึกอิดหนาระอายใจต่อลูกน้องทั้งสอง คนหนึ่งถือวิทยาศาสตร์ เป็นคนสมัยใหม่ ไม่เชื่อสิ่งลึกลับ อีกคนนับถือศาสตร์ลึกลับมนต์ดำ พอมาทำงานด้วยกัน เหมือนขมิ้นกับปูน ยังดีทั้งสองมีศักยภาพเอามาใช้ได้ถูกเวลา
ในป่าตะเคียนที่พวกเขาวิ่งออกมา ทั้งสี่คนหันไปมองพร้อมกัน เสียงไม้ใหญ่ล้มดังตึง และยังมาอีกต่อเนื่องราวกับมีพายุใหญ่เข้า ทุกคนต่างรู้สึกแผ่นดินที่ยืนอยู่ลั่นคึก แต่ป่าตรงนั้นทึบมากและมืดด้วยจนยากจะเห็นอะไรได้ ทันใดนั้นก็เหมือนมีงูเลื้อยขึ้นมาชูเเม่เบี้ย เพียงเเต่สัดส่วนของมันใหญ่เกินงูธรรมดา ดวงตาเรียวสีอำพันคู่นั้น ผู้กองหาญศึกได้ยินว่าพวกที่ไปเที่ยวถ้ำเมื่อคืนถูกงูยักษ์จู่โจมจนเกิดการพลัดหลงกันขึ้น ตงจะเป็นตัวนี้เเน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะตัวใหญ่โตกว่าที่คิดไว้เสียอีก
“ผู้กอง! งูตัวนี้หรือเปล่า ที่พวกเราเจอในถ้ำ”
“อยากรู้ก็เข้าไปดูใกล้สิวะไอ้เเม็ก ที่เเน่ๆ พวกหมาป่ามันเห็นงูตัวนี้ถึงได้เผ่นไปก่อน นี่หละคำตอบชัดมั้ย”
“ขอผมถ่ายเก็บภาพไว้หน่อย บางทีงูตัวนี้มันอาจเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก”
“ผีเจ้าป่าเจ้าเขาจะลงโทษอยู่เเล้วไอ้เเม็ก”
ผู้กองหาญศึกกัดฟันเร่งฝีเท้าสุดชีวิต งูยักษ์กำลังเลื้อยมาทางนี้เเล้ว หมู่เเม็กหันไปมองจนเกือบสะดุดก้อนหินล้ม ต้นยางนาสูงใหญ่งูยักษ์ชูคอเเผ่เเม่เบี้ยสูงเกือบปลายยอดไม้ ส่วนหัวหันไปรอบทิศ ปลายลิ้นแสกแลบออกมาสัมผัสอากาศมองหาเป้าหมาย แสงพระอาทิตย์ที่ยังหลงเหลืออยู่สะท้อนกับเกล็ดเป็นเงาเเวววาว เส้นเลือดฝอยสีแดงเข้ม
อีกฟากมีเพียงภูเขากั้น หมอกฤษณ์ได้หยุดพูดคุยทางวิทยุสื่อสารอยู่ที่ริมลำธาร คนปลายสายคืออภิรักษ์ได้เตือนไม่ให้เดินทางขึ้นไปยังทิศเหนือ ซึ่งจะมีชุมชนของชาวม้งก๊กของขุนเลา ขณะนี้กำลังมีการสู้รบกับทหารฝ่ายรัฐบาล พวกทหารฝ่ายรัฐบาลออกมาลาดตระเวน เพื่อจัดการกับกองกำลังของขุนเลาที่แตกพ่ายออกมา ให้ระวังจะโดนลูกหลง
“ดีแล้วครับ หลบบนภูเขาก่อน ไว้พรุ่งนี้คอยกลุ่มของคุณสัณฑ์มารับ”
“แล้วคุณหนูละครับ จะอยู่ยังไง” น้ำเสียงของคนปลายสายแสดงความเป็นห่วง
ดวงใจในไพรเถื่อน ตอน คีรีวัลย์ผู้เร่าร้อน
“พวกหมาป่า มันหลงกลผมแล้ว”
“หมู่แม็ก นายทำอะไรเหรอที่ว่าพวกมันถึงได้หลงกล ล่าถอยไปเอง” ผู้กองถามขึ้นดวงตายังจดจ้อง ไม่แน่ใจว่าพวกศัตรูจะมีแผนการลวงอันใดเอาไว้
“ผมดักคลื่นความถี่สื่อสารของพวกมัน แล้วใช้เครื่องแปลงเสียงของหัวหน้าพวกมันสั่งการให้ถอย ตอนนี้ผมยังส่งคลื่นรบกวนสัญญาณวิทยุสื่อสารทุกย่านความถี่ของหน่วยหมาป่า ทำให้ติดต่อกันไม่ได้ กว่าจะรู้ว่าหลงกลพวกเราก็หนีไปไกลแล้ว”
“มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นมั้ง” จ่าแจ๋วจอมขมังเวทย์ขาดขึ้นทันควัน ในมือยังถือลูกปะคำหลับตาเพ่งกระแสจิตไปยังทุกสรรพสิ่งรอบตัวในป่าใหญ่ ที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่เสียงของจิ้งหรีดให้ได้ยิน มีเพียงเสียงพูดจาโต้ตอบของพวกตนเท่านั้น มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในป่า จนทำให้พวกศัตรูล่าถอยไปเอง
“แล้วกันสิจ่า! พวกหมาป่ามันหลงกลผมต่างหาก”
“พวกมันจะต้องได้กลิ่นไม่ดีบางอย่าง เลยถอยไปเองมากกว่า แต่เราไม่รู้มันคืออะไร” ผู้กองหาญศึกรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างตามที่จ่าแจ๋วว่า เส้นขนบนแขนลุกชัน เหมือนกำลังมีมหันตภัยใกล้จะมาถึง แม้แต่อาสาทหารพรานทองปา ที่ชำนาญกับป่ามาไม่น้อยเช่นกันยังรู้สึกได้แทบไม่กล้าแยกเดี่ยวออกไป “ในสนามรบ ทหารมีสิทธิ์แย้งคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้ ในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น หากเวลานี้เป็นผมเป็นฝ่ายล่า และฝ่ายถูกล่ากำลังจนมุมใกล้จะเพลี่ยงพล้ำ ไม่มีทางที่ผมจะถอยแน่ พวกหมาป่าหนีเตลิดไปเองเช่นนี้ มันต้องมีเหตุผลอื่นอีกแน่ เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง”
“ผู้กอง ผมว่าเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ ก่อนที่มันจะเปลี่ยนใจย้อนกลับมา” จ้าแจ๋วพูด
“เรารีบวิ่งไป ปรึกษากันไปเถอะคราวนี้ผมจะไปตามลำธาร หนีมาทางป่ารกไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะหนีจมูกหมาไม่พ้นแน่” เสียงขรึมของผู้กอง หันหลังได้ก้นสาวเท้านำไปทันที หมู่แม็กเร่งตามมาเคียงไหล่แล้วยื่นบางสิ่งให้ดู จนผู้กองเลิกคิ้วมองดูด้วยความแปลกใจ
“นี่คือสเปรย์ที่ผมคิดค้นขึ้น เอาไว้ด้านจมูกของสุนัขครับ อณูของน้ำยาชนิดนี้เล็กมาก มันจะทำให้จมูกของสุนัขระคายเคือง แล้วเกิดการจาม ประสาทการดมกลิ่นของมันจะผิดเพี้ยนใช้การไม่ได้ไปพักใหญ่ เหมือนกับคนที่เป็นไข้หวัด ผมเคยทดลองตอนอยู่โรงเรียนนายสิบแล้ว กองสุนัขทหาร พวกนั้นวุ่นวายกันใหญ่เลยนึกว่าหมาติดหวัด”
ตีนกาของจ่าแจ๋วกระตุก อารมณ์ฉุนมันขึ้น รู้ตัวแล้วไอ้ตัวแสบที่แกล้งให้สุนัขทหารทั้งกรมเป็นหวัดที่เป็นข่าว เลยโดดถีบจากด้านหลังเข้าบ้านเอวลูกน้องจนถลาไปด้านหน้าเกือบล้ม
“จ่ามาถีบผมทำไม!”
“หมั่นไส้โว้ย”
“จ่าป่าเถื่อนที่สุด คงอิจฉาผลงานผมละซี่”
“พอๆ ที อย่าทะเลาะกัน เรายังไม่พ้นเขตอันตราย” ผู้กองรู้สึกอิดหนาระอายใจต่อลูกน้องทั้งสอง คนหนึ่งถือวิทยาศาสตร์ เป็นคนสมัยใหม่ ไม่เชื่อสิ่งลึกลับ อีกคนนับถือศาสตร์ลึกลับมนต์ดำ พอมาทำงานด้วยกัน เหมือนขมิ้นกับปูน ยังดีทั้งสองมีศักยภาพเอามาใช้ได้ถูกเวลา
ในป่าตะเคียนที่พวกเขาวิ่งออกมา ทั้งสี่คนหันไปมองพร้อมกัน เสียงไม้ใหญ่ล้มดังตึง และยังมาอีกต่อเนื่องราวกับมีพายุใหญ่เข้า ทุกคนต่างรู้สึกแผ่นดินที่ยืนอยู่ลั่นคึก แต่ป่าตรงนั้นทึบมากและมืดด้วยจนยากจะเห็นอะไรได้ ทันใดนั้นก็เหมือนมีงูเลื้อยขึ้นมาชูเเม่เบี้ย เพียงเเต่สัดส่วนของมันใหญ่เกินงูธรรมดา ดวงตาเรียวสีอำพันคู่นั้น ผู้กองหาญศึกได้ยินว่าพวกที่ไปเที่ยวถ้ำเมื่อคืนถูกงูยักษ์จู่โจมจนเกิดการพลัดหลงกันขึ้น ตงจะเป็นตัวนี้เเน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะตัวใหญ่โตกว่าที่คิดไว้เสียอีก
“ผู้กอง! งูตัวนี้หรือเปล่า ที่พวกเราเจอในถ้ำ”
“อยากรู้ก็เข้าไปดูใกล้สิวะไอ้เเม็ก ที่เเน่ๆ พวกหมาป่ามันเห็นงูตัวนี้ถึงได้เผ่นไปก่อน นี่หละคำตอบชัดมั้ย”
“ขอผมถ่ายเก็บภาพไว้หน่อย บางทีงูตัวนี้มันอาจเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก”
“ผีเจ้าป่าเจ้าเขาจะลงโทษอยู่เเล้วไอ้เเม็ก”
ผู้กองหาญศึกกัดฟันเร่งฝีเท้าสุดชีวิต งูยักษ์กำลังเลื้อยมาทางนี้เเล้ว หมู่เเม็กหันไปมองจนเกือบสะดุดก้อนหินล้ม ต้นยางนาสูงใหญ่งูยักษ์ชูคอเเผ่เเม่เบี้ยสูงเกือบปลายยอดไม้ ส่วนหัวหันไปรอบทิศ ปลายลิ้นแสกแลบออกมาสัมผัสอากาศมองหาเป้าหมาย แสงพระอาทิตย์ที่ยังหลงเหลืออยู่สะท้อนกับเกล็ดเป็นเงาเเวววาว เส้นเลือดฝอยสีแดงเข้ม
อีกฟากมีเพียงภูเขากั้น หมอกฤษณ์ได้หยุดพูดคุยทางวิทยุสื่อสารอยู่ที่ริมลำธาร คนปลายสายคืออภิรักษ์ได้เตือนไม่ให้เดินทางขึ้นไปยังทิศเหนือ ซึ่งจะมีชุมชนของชาวม้งก๊กของขุนเลา ขณะนี้กำลังมีการสู้รบกับทหารฝ่ายรัฐบาล พวกทหารฝ่ายรัฐบาลออกมาลาดตระเวน เพื่อจัดการกับกองกำลังของขุนเลาที่แตกพ่ายออกมา ให้ระวังจะโดนลูกหลง
“ดีแล้วครับ หลบบนภูเขาก่อน ไว้พรุ่งนี้คอยกลุ่มของคุณสัณฑ์มารับ”
“แล้วคุณหนูละครับ จะอยู่ยังไง” น้ำเสียงของคนปลายสายแสดงความเป็นห่วง