สวัสดีค่ะ ดิฉันจะมาเล่าประสบการณ์การป่วยของแฟน จากโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แฟนของดิฉันทำงานขับรถสิบล้อมานานกว่า 8 - 9 ปี อาการแรกคือ เริ่ม ปวดหลัง
เราก็ไปหาหมอคลินิกเอามายากินก็หาย พอสักระยะก็เริ่มปวดขึ้นมาอีก ก็ไปหาหมอคลินิกเหมือนเดิม ฉีดยา ได้ยามากิน ก็กินๆหายๆ แบบนี้เป็นปี เพราะเราคิดว่าคงปวดหลังแบบทั่วไปหรือทำงานหนักเกินไป แต่พอมาช่วงระยะหลังๆนี้ แฟนเริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ปวดหลังลงสะโพกร้าวลงขา แต่เราก็ยังไปหาหมอคลินิกเหมือนเดิมค่ะ แต่กินยาแล้วก็ไม่ค่อยหายปวดเท่าไร พอยาหมดก็ไปคลินิกเดิม บอกกับคุณหมอว่ากินยาเข้าไปแล้วก็ยังไม่หายปวด คุณหมอที่คลินิกเลยแนะนำกับเราและแฟนว่าให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล แฟนได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลในจังหวัด คุณหมอก็สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คุณหมอเลยให้แฟนไปตรวจแบบ MRI เพราะว่า X-rays แบบธรรมดาทั่วไปมองไม่เห็นค่ะ พอผล MRI ออกมาชัดเลยค่ะ แฟนเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทก้อนใหญ่มาก แฟนเราก็นอนโรงพยาบาลทำกายภาพบำบัด2สัปดาห์
ก็ไม่หายปวด ตอนนี้แฟนเริ่มเดินไม่สะดวกแล้วค่ะเพราะปวดมาก เดินได้แค่ 4 - 5 ก้าว ก็ต้องนั่งพัก ( จากความรู้สึกที่สัมผัสได้จากแฟน ดูเหมือนแฟนจะเจ็บปวดและทรมานมากๆเลยค่ะ รู้สึกสงสารแฟนมากๆเลยค่ะ โรคนี้ใครที่เคยเป็นและเป็นอยู่น่าจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดและทรมานได้ดีค่ะ ) คุณหมอเลยบอกกับแฟนว่าไม่งั้นก็ต้องผ่าครับ พอพูดถึงการผ่าตัดเราและแฟนก็เริ่มกลัวและกังวลมากค่ะ แฟนเลยบอกกับคุณหมอไปว่าขอกลับบ้านไปปรึกษากับครอบครัวก่อนครับ ตอนนี้แฟนเราหยุดทำงานไปแล้วค่ะ เพราะเดินไม่ได้ มีคนแนะนำให้ผมไปฝังเข็มนะค่ะ แฟนก็ไป แต่ไปได้แค่ 3 ครั้ง เพราะแฟนบอกกับเราว่ารู้สึกว่ามันปวดมาก เราจึงหยุดการไปฝังเข็มค่ะ ( แต่ดิฉันไม่ได้ว่าการฝั่งเข็มไม่ดีนะค่ะ มันขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคลอีกทีค่ะ ) แฟนเราต้องนอนอยู่บ้านเฉยๆ ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะมันปวดมากจริงๆ ค่ะ เดินก็ไม่ได้ต้องนั่งรถเข็น คนในครอบครัวและดิฉันจึงลองค้นหาวิธีการรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นในอินเตอร์ดู มันมีหลายอย่างมากเลยค่ะ แต่มีเว็บไซต์หนึ่งที่สะดุดตาและน่าสนใจว่ามีโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและระบบประสาท ดิฉันก็เลยลองเข้าไปอ่านดูค่ะ แล้วน่าสนใจค่ะ อีกวันหนึ่งดิฉันกับแฟนจึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลนี้ เข้าพบคุณหมอลองปรึกษากับคุณหมอ วันนั้นดิฉันกับแฟนได้เข้าตรวจกับคุณหมอ นพ.ศรัณย์ จินดาหรา คุณหมอก็แนะนำให้แฟนผ่าค่ะ คุณหมอบอกว่าถ้าไม่ผ่าแล้วปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจจะทำให้ขาไม่มีแรง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะมันใหญ่มากและกดทับเส้นประสาทอยู่ ใจก็กลัวนะค่ะ ทั้งการผ่า ทั้งกลัวแฟนจะเดินไม่ได้ คุณหมอเลยบอกกับเราว่า การผ่าตัดของเราเป็นแบบเลเซอร์ครับ ไม่ได้ผ่าแบบเปิดหลังเหมือนสมัยก่อน แผลเล็กนิดเดียว ความเสี่ยงน้อย แฟนของดิฉันจึงตัดสินใจผ่าตัด พอถึงวันที่จะต้องผ่า ใจเราก็แอบกลัวนิดๆเหมือนกันค่ะ พยาบาลบอกกับแฟนเราว่า ทำใจให้สบายนะค่ะ ไม่ต้องกลัว แล้วแฟนดิฉันก็เข้าห้องผ่าตัด เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ออกจากห้องผ่าตัดมาห้องพักฟื้น
ดิฉันจึงถามแฟนว่าเป็นยังไงบ้าง แฟนบอกว่าอาการปวดขาของเขามันหายเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ มีแต่อาการปวดแผลผ่าตัดนิดหน่อยค่ะ นิดจริงๆ นะค่ะแฟนบอกเหมือนมดกัดค่ะ อีก 1 ชั่วโมง พยาบาลก็เอาข้าวต้ม มาให้แฟนทาน แฟนก็นั่งทานได้เลยค่ะ
อาการปวดมันหายจริงๆค่ะ ตื่นเช้ามาแฟนก็เดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนได้สบายเลยค่ะ ตอนบ่ายคุณหมอขึ้นมาตรวจดูอาการดูแผล แฟนก็สามารถกลับบ้านได้เลยค่ะ พักฟื้นแค่ 1 คืน
ดิฉันกับแฟนดีใจมากๆเลยค่ะ การรักษาครั้งนี้มันคุ้มมากๆค่ะ กับการจ่ายเงิน ทำให้แฟนกับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิมทุกอย่าง กลับมาทำงานเป็นหัวหน้าครอบครัวได้เหมือนเดิม ต้องขอบคุณ คุณหมอ นพ. ศรัณย์ จินดาหรา และโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ มากๆค่ะ เหมือนทำให้แฟนได้เกิดใหม่อีกครั้งค่ะ ( แฟนบอก )
ต้องบอกอีกอย่างนะค่ะว่า คุณหมอใจดีมากและพยาบาลทุกคนบริการดีมากค่ะ
[CR] ผ่าตัดหมอนเรองกระดูกครั้งแรกในชีวิต ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลยค่ะ
เราก็ไปหาหมอคลินิกเอามายากินก็หาย พอสักระยะก็เริ่มปวดขึ้นมาอีก ก็ไปหาหมอคลินิกเหมือนเดิม ฉีดยา ได้ยามากิน ก็กินๆหายๆ แบบนี้เป็นปี เพราะเราคิดว่าคงปวดหลังแบบทั่วไปหรือทำงานหนักเกินไป แต่พอมาช่วงระยะหลังๆนี้ แฟนเริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ปวดหลังลงสะโพกร้าวลงขา แต่เราก็ยังไปหาหมอคลินิกเหมือนเดิมค่ะ แต่กินยาแล้วก็ไม่ค่อยหายปวดเท่าไร พอยาหมดก็ไปคลินิกเดิม บอกกับคุณหมอว่ากินยาเข้าไปแล้วก็ยังไม่หายปวด คุณหมอที่คลินิกเลยแนะนำกับเราและแฟนว่าให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล แฟนได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลในจังหวัด คุณหมอก็สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คุณหมอเลยให้แฟนไปตรวจแบบ MRI เพราะว่า X-rays แบบธรรมดาทั่วไปมองไม่เห็นค่ะ พอผล MRI ออกมาชัดเลยค่ะ แฟนเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทก้อนใหญ่มาก แฟนเราก็นอนโรงพยาบาลทำกายภาพบำบัด2สัปดาห์
ก็ไม่หายปวด ตอนนี้แฟนเริ่มเดินไม่สะดวกแล้วค่ะเพราะปวดมาก เดินได้แค่ 4 - 5 ก้าว ก็ต้องนั่งพัก ( จากความรู้สึกที่สัมผัสได้จากแฟน ดูเหมือนแฟนจะเจ็บปวดและทรมานมากๆเลยค่ะ รู้สึกสงสารแฟนมากๆเลยค่ะ โรคนี้ใครที่เคยเป็นและเป็นอยู่น่าจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดและทรมานได้ดีค่ะ ) คุณหมอเลยบอกกับแฟนว่าไม่งั้นก็ต้องผ่าครับ พอพูดถึงการผ่าตัดเราและแฟนก็เริ่มกลัวและกังวลมากค่ะ แฟนเลยบอกกับคุณหมอไปว่าขอกลับบ้านไปปรึกษากับครอบครัวก่อนครับ ตอนนี้แฟนเราหยุดทำงานไปแล้วค่ะ เพราะเดินไม่ได้ มีคนแนะนำให้ผมไปฝังเข็มนะค่ะ แฟนก็ไป แต่ไปได้แค่ 3 ครั้ง เพราะแฟนบอกกับเราว่ารู้สึกว่ามันปวดมาก เราจึงหยุดการไปฝังเข็มค่ะ ( แต่ดิฉันไม่ได้ว่าการฝั่งเข็มไม่ดีนะค่ะ มันขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคลอีกทีค่ะ ) แฟนเราต้องนอนอยู่บ้านเฉยๆ ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะมันปวดมากจริงๆ ค่ะ เดินก็ไม่ได้ต้องนั่งรถเข็น คนในครอบครัวและดิฉันจึงลองค้นหาวิธีการรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นในอินเตอร์ดู มันมีหลายอย่างมากเลยค่ะ แต่มีเว็บไซต์หนึ่งที่สะดุดตาและน่าสนใจว่ามีโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและระบบประสาท ดิฉันก็เลยลองเข้าไปอ่านดูค่ะ แล้วน่าสนใจค่ะ อีกวันหนึ่งดิฉันกับแฟนจึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลนี้ เข้าพบคุณหมอลองปรึกษากับคุณหมอ วันนั้นดิฉันกับแฟนได้เข้าตรวจกับคุณหมอ นพ.ศรัณย์ จินดาหรา คุณหมอก็แนะนำให้แฟนผ่าค่ะ คุณหมอบอกว่าถ้าไม่ผ่าแล้วปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจจะทำให้ขาไม่มีแรง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะมันใหญ่มากและกดทับเส้นประสาทอยู่ ใจก็กลัวนะค่ะ ทั้งการผ่า ทั้งกลัวแฟนจะเดินไม่ได้ คุณหมอเลยบอกกับเราว่า การผ่าตัดของเราเป็นแบบเลเซอร์ครับ ไม่ได้ผ่าแบบเปิดหลังเหมือนสมัยก่อน แผลเล็กนิดเดียว ความเสี่ยงน้อย แฟนของดิฉันจึงตัดสินใจผ่าตัด พอถึงวันที่จะต้องผ่า ใจเราก็แอบกลัวนิดๆเหมือนกันค่ะ พยาบาลบอกกับแฟนเราว่า ทำใจให้สบายนะค่ะ ไม่ต้องกลัว แล้วแฟนดิฉันก็เข้าห้องผ่าตัด เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ออกจากห้องผ่าตัดมาห้องพักฟื้น
ดิฉันจึงถามแฟนว่าเป็นยังไงบ้าง แฟนบอกว่าอาการปวดขาของเขามันหายเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ มีแต่อาการปวดแผลผ่าตัดนิดหน่อยค่ะ นิดจริงๆ นะค่ะแฟนบอกเหมือนมดกัดค่ะ อีก 1 ชั่วโมง พยาบาลก็เอาข้าวต้ม มาให้แฟนทาน แฟนก็นั่งทานได้เลยค่ะ
อาการปวดมันหายจริงๆค่ะ ตื่นเช้ามาแฟนก็เดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนได้สบายเลยค่ะ ตอนบ่ายคุณหมอขึ้นมาตรวจดูอาการดูแผล แฟนก็สามารถกลับบ้านได้เลยค่ะ พักฟื้นแค่ 1 คืน
ดิฉันกับแฟนดีใจมากๆเลยค่ะ การรักษาครั้งนี้มันคุ้มมากๆค่ะ กับการจ่ายเงิน ทำให้แฟนกับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิมทุกอย่าง กลับมาทำงานเป็นหัวหน้าครอบครัวได้เหมือนเดิม ต้องขอบคุณ คุณหมอ นพ. ศรัณย์ จินดาหรา และโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ มากๆค่ะ เหมือนทำให้แฟนได้เกิดใหม่อีกครั้งค่ะ ( แฟนบอก )
ต้องบอกอีกอย่างนะค่ะว่า คุณหมอใจดีมากและพยาบาลทุกคนบริการดีมากค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น