จากความเดิม
https://ppantip.com/topic/39672269
การเดินทางสู่ดานังเราใช้บริการรถรับส่งของ Klook รถมารับตรงเวลาคนขับเป็นน้องนักศึกษา รถใหม่สะอาด พาเราเยี่ยมชมชายหาดหมีเคผ่านโรงแรมห้าดาว ก่อนเลี้ยวไปส่งเราที่โรงแรม Avora Hotel Danang เรามาถึงโรงแรมเวลาประมาณ 11.30 น. ทางโรงแรมอนุญาตให้เช็คอินก่อนเวลา เราได้ห้องพักชั้น 6 โดยจองเป็นห้องดีลักซ์ จะเป็นห้องด้านหลัง มองไปเป็นโรงแรมต่างๆ หากใครชอบวิวสวยต้องจองเป็นห้องสวีท ราคาประมาณ 1200 บาท จะได้วิวเป็นแม่น้ำหานและสะพานมังกร เราเน้นประหยัดจึงใช้การเดินขึ้นไปบนระเบียงดาดฟ้าชั้น 10 ซึ่งสามารถชมวิวได้เช่นเดียวกัน
เที่ยงแล้วท้องพร้อมจะรับอะไรใหม่ๆ เดินลัดเลาะออกไปซอยหลังโรงแรม ผ่านโบสถ์สีชมพู สวยมากแต่เสียดายประตูปิด จึงได้แต่มองตาปริบๆ เดินต่อไปจนถึงสี่แยก จากนั้นเลี้ยวขวา เจอกับร้านก๋วยเตี๋ยวริมถนน มีหลากหลายเมนูให้เลือกในราคา 25,000 ดอง สั่งก๋วยเตี๋ยวไป 2 อย่าง อันแรกเป็นเส้นคล้ายก๋วยจั๊บญวน ราดด้วยน้ำกลิ่นคล้ายปลาร้า (ในเมนูเขียนว่า fish sauce) อีกชามเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำใส ไม่มีเส้นแต่เป็นเม็ดกลมใสคล้ายไข่มุก รสชาติเหมือนวุ้นเส้นละลายในปาก แปลกดีมากและอร่อย ปิดท้ายด้วยน้ำชามะลิแก้วละ 5,000 ดอง เป็นมื้อที่อิ่มแบบประหยัด จากนั้นเดินย้อนกลับมาเพื่อซื้อของฝากที่ตลาดฮาน (Han market) ระหว่างทางเดินไปตลาดมีร้านขายดอกไม้สดหลายร้าน มีช็อปขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาถูกกว่าที่ไทย น้องที่ร้านทักทายบอกว่ากำลังเรียนภาษาไทยเบื้องต้นด้วย ประมาณ 100 เมตรก็ถึงตลาดฮาน เหมือนตลาดค้าส่งทั่วไป มีผลไม้อบแห้ง ช็อกโกแลต กาแฟขี้ชะมด มีให้เลือกซื้อเลือกชิมมากมาย ที่สำคัญคงไม่พ้นการต่อรองราคา สนุกสนานกันมาก แม่ค้าส่วนใหญ่พูดไทยได้ ยอมใจกับร้านคุณป้าที่กอดเราไว้แน่นไม่ยอมให้ไปง่ายๆ จนเรายอมซื้อก็ได้ในเมื่อคุณป้าเองก็ยอมลดราคาให้เรา
กลับมานอนพักเอาแรง เย็นนี้เราจะเดินข้ามสะพานมังกรเพื่อไปยังตลาดนัดตอนเย็นกัน อากาศตอนเย็นที่นี่กำลังสบาย ฝั่งตรงข้ามโรงแรมนั้นเป็นพื้นที่สาธารณะให้คนมาวิ่งออกกำลังกาย มีตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญราคาเริ่มต้น 5,000 ดอง บนสะพานมีนักท่องเที่ยวเดินข้ามไปมา เมื่อข้ามไปถึงจะเป็นจุดชมวิวที่รู้จักกันดีคือ Love Lock Bridge เป็นสะพานที่มีรูปปั้นสิงโตพ่นน้ำ (วันที่ไปดันไม่พ่น) และนักท่องเที่ยวนิยมมาคล้องกุญแจรัก มีรถเข็นขายอาหารเช่น โรตี ปลาหมึกย่าง (ตัวใหญ่มาก) พิซซ่าเวียดนาม ร้านขายแม่กุญแจและพวงกุญแจที่ระลึก ห่างกันไม่ไกลเป็นตลาดนัดกลางคืนชื่อว่า Son Tra Night Market แบ่งเป็น 2 โซนคือโซนช้อปปิ้งทั่วไป ขายพวกกระเป๋า โคมไฟ เคสโทรศัพท์ มีปาโป่งและขายเบอร์หนูวิ่งเข้าช่องด้วย อีกโซนนั้นขายอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเฝอ เกาเหลา อาหารเวียดนามแบบต่างๆ และที่สำคัญคือ อาหารทะเลสดๆ สดมากกก แบบว่าดิ้นดุ๊กดิ๊กโชว์เราเลย และราคาก็เป็นมิตรภาพมากๆ อิ่มพุงกางกระเป๋าสตางค์ยังไม่แฟ้บ เราเดินเลือกจนไปหยุดที่ร้านหนึ่ง คนขายพูดไทยได้ หอยนางรมสดแกะเปลือกมันตรงนั้นเลย ขายชุดละ 80,000 ดอง มี 7 ตัว หอยมีหลากหลายชนิดมาก ทั้งหอยคราง หอยนางรม หอยลาย หอยบิด หรือจะอีกหลากหลายหอยที่เราไม่รู้จัก ลองสั่งมาทานดูก็แปลกดี ที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของคนรักกุ้ง เพราะมีทั้งกุ้งมังกรและล็อบสเตอร์ราคาถูก ว่าด้วยเรื่องกุ้งมังกรที่วางขายอย่างละลานตานั้นมี 3 เกรด เกรดต่ำสุดคือ กุ้งรัดหัว จะถูกรัดด้วยหนังยางที่หัว เพราะไม่งั้นหัวมันจะหลุด คนขายบอกว่ามันตายมา 7 วันแล้ว เกรดดีขึ้นมาหน่อยคือ กุ้งตายปกติ อันนี้ตายมา 2 วัน สุดท้ายเกรดพรีเมี่ยมคือ กุ้งว่ายน้ำ สดๆเป็นๆ เราเลือกเกรดนี้มา 1 ตัว ราคาตัวละ 400,000 ดอง ว่าถูกแล้วยังอุตส่าห์ต่อเหลือ 380,000 ดอง นึ่งเสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้ม น้ำจิ้มที่นี่มี 3 แบบ แบบแรกซีฟู้ดเขียวเหมือนที่ไทย แบบที่สองซีฟู้ดเขียวเหมือนกัน แต่เค็มมาก หรือจะเป็นแบบเกลือพริกไทยดำเพียวๆ บีบมะนาวใส่เอาเอง แบบที่สามเป็นซอสแม็กกี้มีพริกสด1เม็ด ใส่มาเป็นเม็ดไม่ได้หั่นเลย อาหารนึ่งของที่เวียดนามมักจะนึ่งพร้อมตะไคร้ซอย โหระพา ขนาดปูนึ่งยังมี นอกจากของทะเลก็ยังมีเนื้อไก่ ซี่โครงหมู นกกระทา ให้เราเลือกสั่งทำบาร์บีคิว หรือจะเป็นกบทอดกระเทียม กั้งทอดกระเทียม ฯลฯ กับแกล้มพร้อมแล้ว เบียร์เวียดนามก็มี 2 ยี่ห้อด้วยกันคือ Tiger และ Larue ราคา 30,000 กับ 25,000 ดอง ขึ้นอยู่กับสถานที่ขายด้วยนะ สำหรับคุณผู้หญิง น้ำผลไม้ปั่นก็เป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว ผลไม้สดๆปั่นอย่างน้อยหน่าปั่น (หน้าตาเหมือนน้อยโหน่งแต่ลูกใหญ่กว่ามาก) เพิ่มความสดชื่นหวานละมุน แถมยังได้เรียนภาษาเวียดนามวันละคำ และสอนน้องเวียดนามพูดสวัสดี สนุกได้อีก ขากลับเดินชมสะพานมังกรเปลี่ยนสี ทำได้สวยมาก สะพานข้ามแม่น้ำหานก็เล่นสีเหมือนกัน อิ่มท้องอิ่มตาอิ่มใจก่อนเข้าโรงแรมยังไม่วาย แวะมินิมาร์ท ซื้อมาม่าเวียดนาม น้ำดื่มหน้าตาเหมือนน้ำทิพย์ เจอของจากไทยมากมาย เช่น บีทาเก้น จะบอกว่าชาเขียวชานมที่เวียดนามอร่อย มีความเป็นชามากกว่าที่ไทยเยอะ
วันที่สาม ตื่นเช้าทานอาหารของทางโรงแรมเป็นบุฟเฟต์ มีทั้งข้าวต้ม ข้าวสวย ข้าวผัด ทานกับผัดเนื้อ ผัดผัก สลับสับเปลี่ยนกันไป ข้าวที่นี่ไม่แข็ง มีไข่แบบต่างๆสั่งเชฟได้เลย อาหารเวียดนามก็มีปอเปี๊ยะ แป้งเวียดนามสีขาว เนยนมขนมปัง วันนี้เรายังคงใช้บริการรถรับส่งดานัง-บานาฮิลล์จาก Klook ในราคาไปกลับ 865 บาท เรียกว่าราคากลางๆ นัดไว้เก้าโมงเช้า เมื่อถึงเวลาคุณลุงเดินเข้ามา ไม่พูดทักทาย แต่โหงวเฮ้งบ่งบอกว่าใช่ ก็ใช่จริงๆ มารู้ตอนหลังว่าลุงแกพูดอังกฤษไม่ได้ ไม่ได้เลย ไม่สนใจด้วย ขับรถฟังเพลงเวียดนามสบายใจจริง การขับรถของลุงนั้นไม่ธรรมดา เรียกว่าห้ามลอกเลียนแบบ ปาดซ้ายหลบขวา เฉียวเฉียดเล่นเอาใจหาย เป็นการเดินทางที่ตื่นเต้นเร้าใจตลอดเวลา สังเกตปั๊มน้ำมันเวียดนามเหมือนตามหนังฝรั่ง มีไว้เติมน้ำมันอย่างเดียว ไม่ได้มีร้านขายของอลังการเหมือนเมืองไทย ถนนที่เวียดนามก็สะอาด เกาะกลางถนนมีการวางระบบท่อน้ำสำหรับรดน้ำต้นไม้ ไม่ต้องใช้รถบรรทุกน้ำคันใหญ่มาฉีดให้เกะกะ ที่นี่รถไม่ติดเพราะคนใช้มอเตอร์ไซค์เยอะ ขับมาพอเริ่มเข้าเขตภูเขาจากอากาศร้อนเริ่มหนาวเปลี่ยนไปถนัดตา แดดไม่มีหมอกเริ่มมา เสื้อกันหนาวก็ทิ้งไว้ห้องเสียแล้ว นัดกับลุงให้มารับขากลับเสร็จก็เดินหน้าเข้าสวนสนุก Sun World Bana Hills เราแนะนำให้ซื้อตั๋วจาก Traveloka เพราะนอกจากจะมีส่วนลดแล้ว ราคายังถูกกว่าเจ้าอื่น ซื้อเสร็จจะปริ๊นท์หรือสแกน QR code จากมือถือเพื่อผ่านประตูก็ได้ กระเช้าที่นี่กว้างนั่งเต็มได้ 6-8 คน แต่จะนั่ง 2 คนก็ไม่มีใครว่า ในกระเช้าติดแอร์ มีเพลงให้ฟัง นั่งกระเช้าใช้เวลา 20 นาที ในความรู้สึกคือนานเหมือนกัน เพราะวันที่ไปนั้นอยู่ท่ามกลางหมอก มองเห็นเพียงกระเช้าอีกทางหนึ่งแล่นสวนมา เมื่อขึ้นไปถึงสะพานมือนั้นขาวโพลน ลมพัดแรง เหมือนอยู่ภูทับเบิกในคืนที่ฝนตกแล้วหมอกฟุ้ง วันหนาวๆแบบนี้การใช้เวลาอยู่ในสวนสนุก fantasy park เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เล่นเกมตู้ เกมเต้น VR ยิงปืน เล่นรถบั๊ม ชมเต้นรำ ปีนผา แต่ไอ้เครื่องเล่นที่เป็น landmark อันนั้นน่ะดันปิดปรับปรุง พอเที่ยงเราเผชิญความหนาวไปหาอาหาร ห้องอาหารมีหลายแห่ง ที่ดูเข้าท่าน่าจะเป็น Brasserie พิซซ่าดูดี ราคาเพียง 250,000 ดอง ชีสยืดๆอิ่มอร่อยพอดี 2 คน ช็อกโกแลตร้อนกับพานาคอตต้านุ่มลิ้น อร่อยกว่าเคบับด้านหน้าที่ให้มาแต่กะหล่ำปลีซอย ช่วงบ่ายฝ่าลมหนาวตระเวนถ่ายรูป บอกเลยว่าได้ทุกมุม ดอกไม้เปลี่ยนใหม่ตลอด รอจนเย็นสะพานมือก็ยังหมอก มีช่วงโชคดีแค่เสี้ยวนาทีเดียวที่ลมพัดไป นอกนั้นขาวโพลนตลอดเวลา แต่ก็ได้อารมณ์หนาวสะใจดี สรุปวันนี้อยู่สวนสนุกตั้งแต่เช้าจดเย็นจนลุงมารับ แถมลุงยังเปลี่ยนรถขับอีก ไม่เข้าใจว่าให้ถ่ายป้ายทะเบียนรถไปทำไมตอนเช้า คืนนี้เรามีนัดกันที่ตลาดเดิม
วันสุดท้ายจำต้องอำลาทริปต่างประเทศครั้งแรก คราวนี้เรียกแท็กซี่เขียวหน้าโรงแรม (ราคาใน Klook แอบแรงไปหน่อย) คิดราคาตามมิเตอร์หมดไป 100,000 ดอง ลองกดแกรบดู 67,000 ดอง ถือว่ารับได้ รีบมาสนามบินตั้งแต่สิบโมง นึกว่าจะต้องใช้เวลานาน ปรากฏว่าคนโล่งเชียว สิบนาทีก็เข้ามารอได้แล้ว ตม.ขาออกต้องถอดรองเท้าด้วย ขนาดใส่แตะคีบยังไม่เว้น แถมเช็คอินออนไลน์มานั่งเนียนๆจนเขาเรียกชื่อไปตรวจ บอกว่าไม่ได้ You ต้องไปเช็คอินเคาน์เตอร์นะ อยากจะบอกว่า ขออภัยมือใหม่กลับไทยดีกว่า
********************************
ขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาแวะเวียน
ถ้าเก็บตังเที่ยวได้อีกเมื่อไหร่ จะมาแบ่งปันกันใหม่นะครับ
[CR] "วันทอง" ***ดานัง สตรีทฟู้ด อาหารทะเลสดๆเป็นๆ
การเดินทางสู่ดานังเราใช้บริการรถรับส่งของ Klook รถมารับตรงเวลาคนขับเป็นน้องนักศึกษา รถใหม่สะอาด พาเราเยี่ยมชมชายหาดหมีเคผ่านโรงแรมห้าดาว ก่อนเลี้ยวไปส่งเราที่โรงแรม Avora Hotel Danang เรามาถึงโรงแรมเวลาประมาณ 11.30 น. ทางโรงแรมอนุญาตให้เช็คอินก่อนเวลา เราได้ห้องพักชั้น 6 โดยจองเป็นห้องดีลักซ์ จะเป็นห้องด้านหลัง มองไปเป็นโรงแรมต่างๆ หากใครชอบวิวสวยต้องจองเป็นห้องสวีท ราคาประมาณ 1200 บาท จะได้วิวเป็นแม่น้ำหานและสะพานมังกร เราเน้นประหยัดจึงใช้การเดินขึ้นไปบนระเบียงดาดฟ้าชั้น 10 ซึ่งสามารถชมวิวได้เช่นเดียวกัน
เที่ยงแล้วท้องพร้อมจะรับอะไรใหม่ๆ เดินลัดเลาะออกไปซอยหลังโรงแรม ผ่านโบสถ์สีชมพู สวยมากแต่เสียดายประตูปิด จึงได้แต่มองตาปริบๆ เดินต่อไปจนถึงสี่แยก จากนั้นเลี้ยวขวา เจอกับร้านก๋วยเตี๋ยวริมถนน มีหลากหลายเมนูให้เลือกในราคา 25,000 ดอง สั่งก๋วยเตี๋ยวไป 2 อย่าง อันแรกเป็นเส้นคล้ายก๋วยจั๊บญวน ราดด้วยน้ำกลิ่นคล้ายปลาร้า (ในเมนูเขียนว่า fish sauce) อีกชามเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำใส ไม่มีเส้นแต่เป็นเม็ดกลมใสคล้ายไข่มุก รสชาติเหมือนวุ้นเส้นละลายในปาก แปลกดีมากและอร่อย ปิดท้ายด้วยน้ำชามะลิแก้วละ 5,000 ดอง เป็นมื้อที่อิ่มแบบประหยัด จากนั้นเดินย้อนกลับมาเพื่อซื้อของฝากที่ตลาดฮาน (Han market) ระหว่างทางเดินไปตลาดมีร้านขายดอกไม้สดหลายร้าน มีช็อปขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาถูกกว่าที่ไทย น้องที่ร้านทักทายบอกว่ากำลังเรียนภาษาไทยเบื้องต้นด้วย ประมาณ 100 เมตรก็ถึงตลาดฮาน เหมือนตลาดค้าส่งทั่วไป มีผลไม้อบแห้ง ช็อกโกแลต กาแฟขี้ชะมด มีให้เลือกซื้อเลือกชิมมากมาย ที่สำคัญคงไม่พ้นการต่อรองราคา สนุกสนานกันมาก แม่ค้าส่วนใหญ่พูดไทยได้ ยอมใจกับร้านคุณป้าที่กอดเราไว้แน่นไม่ยอมให้ไปง่ายๆ จนเรายอมซื้อก็ได้ในเมื่อคุณป้าเองก็ยอมลดราคาให้เรา
กลับมานอนพักเอาแรง เย็นนี้เราจะเดินข้ามสะพานมังกรเพื่อไปยังตลาดนัดตอนเย็นกัน อากาศตอนเย็นที่นี่กำลังสบาย ฝั่งตรงข้ามโรงแรมนั้นเป็นพื้นที่สาธารณะให้คนมาวิ่งออกกำลังกาย มีตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญราคาเริ่มต้น 5,000 ดอง บนสะพานมีนักท่องเที่ยวเดินข้ามไปมา เมื่อข้ามไปถึงจะเป็นจุดชมวิวที่รู้จักกันดีคือ Love Lock Bridge เป็นสะพานที่มีรูปปั้นสิงโตพ่นน้ำ (วันที่ไปดันไม่พ่น) และนักท่องเที่ยวนิยมมาคล้องกุญแจรัก มีรถเข็นขายอาหารเช่น โรตี ปลาหมึกย่าง (ตัวใหญ่มาก) พิซซ่าเวียดนาม ร้านขายแม่กุญแจและพวงกุญแจที่ระลึก ห่างกันไม่ไกลเป็นตลาดนัดกลางคืนชื่อว่า Son Tra Night Market แบ่งเป็น 2 โซนคือโซนช้อปปิ้งทั่วไป ขายพวกกระเป๋า โคมไฟ เคสโทรศัพท์ มีปาโป่งและขายเบอร์หนูวิ่งเข้าช่องด้วย อีกโซนนั้นขายอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเฝอ เกาเหลา อาหารเวียดนามแบบต่างๆ และที่สำคัญคือ อาหารทะเลสดๆ สดมากกก แบบว่าดิ้นดุ๊กดิ๊กโชว์เราเลย และราคาก็เป็นมิตรภาพมากๆ อิ่มพุงกางกระเป๋าสตางค์ยังไม่แฟ้บ เราเดินเลือกจนไปหยุดที่ร้านหนึ่ง คนขายพูดไทยได้ หอยนางรมสดแกะเปลือกมันตรงนั้นเลย ขายชุดละ 80,000 ดอง มี 7 ตัว หอยมีหลากหลายชนิดมาก ทั้งหอยคราง หอยนางรม หอยลาย หอยบิด หรือจะอีกหลากหลายหอยที่เราไม่รู้จัก ลองสั่งมาทานดูก็แปลกดี ที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของคนรักกุ้ง เพราะมีทั้งกุ้งมังกรและล็อบสเตอร์ราคาถูก ว่าด้วยเรื่องกุ้งมังกรที่วางขายอย่างละลานตานั้นมี 3 เกรด เกรดต่ำสุดคือ กุ้งรัดหัว จะถูกรัดด้วยหนังยางที่หัว เพราะไม่งั้นหัวมันจะหลุด คนขายบอกว่ามันตายมา 7 วันแล้ว เกรดดีขึ้นมาหน่อยคือ กุ้งตายปกติ อันนี้ตายมา 2 วัน สุดท้ายเกรดพรีเมี่ยมคือ กุ้งว่ายน้ำ สดๆเป็นๆ เราเลือกเกรดนี้มา 1 ตัว ราคาตัวละ 400,000 ดอง ว่าถูกแล้วยังอุตส่าห์ต่อเหลือ 380,000 ดอง นึ่งเสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้ม น้ำจิ้มที่นี่มี 3 แบบ แบบแรกซีฟู้ดเขียวเหมือนที่ไทย แบบที่สองซีฟู้ดเขียวเหมือนกัน แต่เค็มมาก หรือจะเป็นแบบเกลือพริกไทยดำเพียวๆ บีบมะนาวใส่เอาเอง แบบที่สามเป็นซอสแม็กกี้มีพริกสด1เม็ด ใส่มาเป็นเม็ดไม่ได้หั่นเลย อาหารนึ่งของที่เวียดนามมักจะนึ่งพร้อมตะไคร้ซอย โหระพา ขนาดปูนึ่งยังมี นอกจากของทะเลก็ยังมีเนื้อไก่ ซี่โครงหมู นกกระทา ให้เราเลือกสั่งทำบาร์บีคิว หรือจะเป็นกบทอดกระเทียม กั้งทอดกระเทียม ฯลฯ กับแกล้มพร้อมแล้ว เบียร์เวียดนามก็มี 2 ยี่ห้อด้วยกันคือ Tiger และ Larue ราคา 30,000 กับ 25,000 ดอง ขึ้นอยู่กับสถานที่ขายด้วยนะ สำหรับคุณผู้หญิง น้ำผลไม้ปั่นก็เป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว ผลไม้สดๆปั่นอย่างน้อยหน่าปั่น (หน้าตาเหมือนน้อยโหน่งแต่ลูกใหญ่กว่ามาก) เพิ่มความสดชื่นหวานละมุน แถมยังได้เรียนภาษาเวียดนามวันละคำ และสอนน้องเวียดนามพูดสวัสดี สนุกได้อีก ขากลับเดินชมสะพานมังกรเปลี่ยนสี ทำได้สวยมาก สะพานข้ามแม่น้ำหานก็เล่นสีเหมือนกัน อิ่มท้องอิ่มตาอิ่มใจก่อนเข้าโรงแรมยังไม่วาย แวะมินิมาร์ท ซื้อมาม่าเวียดนาม น้ำดื่มหน้าตาเหมือนน้ำทิพย์ เจอของจากไทยมากมาย เช่น บีทาเก้น จะบอกว่าชาเขียวชานมที่เวียดนามอร่อย มีความเป็นชามากกว่าที่ไทยเยอะ
วันที่สาม ตื่นเช้าทานอาหารของทางโรงแรมเป็นบุฟเฟต์ มีทั้งข้าวต้ม ข้าวสวย ข้าวผัด ทานกับผัดเนื้อ ผัดผัก สลับสับเปลี่ยนกันไป ข้าวที่นี่ไม่แข็ง มีไข่แบบต่างๆสั่งเชฟได้เลย อาหารเวียดนามก็มีปอเปี๊ยะ แป้งเวียดนามสีขาว เนยนมขนมปัง วันนี้เรายังคงใช้บริการรถรับส่งดานัง-บานาฮิลล์จาก Klook ในราคาไปกลับ 865 บาท เรียกว่าราคากลางๆ นัดไว้เก้าโมงเช้า เมื่อถึงเวลาคุณลุงเดินเข้ามา ไม่พูดทักทาย แต่โหงวเฮ้งบ่งบอกว่าใช่ ก็ใช่จริงๆ มารู้ตอนหลังว่าลุงแกพูดอังกฤษไม่ได้ ไม่ได้เลย ไม่สนใจด้วย ขับรถฟังเพลงเวียดนามสบายใจจริง การขับรถของลุงนั้นไม่ธรรมดา เรียกว่าห้ามลอกเลียนแบบ ปาดซ้ายหลบขวา เฉียวเฉียดเล่นเอาใจหาย เป็นการเดินทางที่ตื่นเต้นเร้าใจตลอดเวลา สังเกตปั๊มน้ำมันเวียดนามเหมือนตามหนังฝรั่ง มีไว้เติมน้ำมันอย่างเดียว ไม่ได้มีร้านขายของอลังการเหมือนเมืองไทย ถนนที่เวียดนามก็สะอาด เกาะกลางถนนมีการวางระบบท่อน้ำสำหรับรดน้ำต้นไม้ ไม่ต้องใช้รถบรรทุกน้ำคันใหญ่มาฉีดให้เกะกะ ที่นี่รถไม่ติดเพราะคนใช้มอเตอร์ไซค์เยอะ ขับมาพอเริ่มเข้าเขตภูเขาจากอากาศร้อนเริ่มหนาวเปลี่ยนไปถนัดตา แดดไม่มีหมอกเริ่มมา เสื้อกันหนาวก็ทิ้งไว้ห้องเสียแล้ว นัดกับลุงให้มารับขากลับเสร็จก็เดินหน้าเข้าสวนสนุก Sun World Bana Hills เราแนะนำให้ซื้อตั๋วจาก Traveloka เพราะนอกจากจะมีส่วนลดแล้ว ราคายังถูกกว่าเจ้าอื่น ซื้อเสร็จจะปริ๊นท์หรือสแกน QR code จากมือถือเพื่อผ่านประตูก็ได้ กระเช้าที่นี่กว้างนั่งเต็มได้ 6-8 คน แต่จะนั่ง 2 คนก็ไม่มีใครว่า ในกระเช้าติดแอร์ มีเพลงให้ฟัง นั่งกระเช้าใช้เวลา 20 นาที ในความรู้สึกคือนานเหมือนกัน เพราะวันที่ไปนั้นอยู่ท่ามกลางหมอก มองเห็นเพียงกระเช้าอีกทางหนึ่งแล่นสวนมา เมื่อขึ้นไปถึงสะพานมือนั้นขาวโพลน ลมพัดแรง เหมือนอยู่ภูทับเบิกในคืนที่ฝนตกแล้วหมอกฟุ้ง วันหนาวๆแบบนี้การใช้เวลาอยู่ในสวนสนุก fantasy park เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เล่นเกมตู้ เกมเต้น VR ยิงปืน เล่นรถบั๊ม ชมเต้นรำ ปีนผา แต่ไอ้เครื่องเล่นที่เป็น landmark อันนั้นน่ะดันปิดปรับปรุง พอเที่ยงเราเผชิญความหนาวไปหาอาหาร ห้องอาหารมีหลายแห่ง ที่ดูเข้าท่าน่าจะเป็น Brasserie พิซซ่าดูดี ราคาเพียง 250,000 ดอง ชีสยืดๆอิ่มอร่อยพอดี 2 คน ช็อกโกแลตร้อนกับพานาคอตต้านุ่มลิ้น อร่อยกว่าเคบับด้านหน้าที่ให้มาแต่กะหล่ำปลีซอย ช่วงบ่ายฝ่าลมหนาวตระเวนถ่ายรูป บอกเลยว่าได้ทุกมุม ดอกไม้เปลี่ยนใหม่ตลอด รอจนเย็นสะพานมือก็ยังหมอก มีช่วงโชคดีแค่เสี้ยวนาทีเดียวที่ลมพัดไป นอกนั้นขาวโพลนตลอดเวลา แต่ก็ได้อารมณ์หนาวสะใจดี สรุปวันนี้อยู่สวนสนุกตั้งแต่เช้าจดเย็นจนลุงมารับ แถมลุงยังเปลี่ยนรถขับอีก ไม่เข้าใจว่าให้ถ่ายป้ายทะเบียนรถไปทำไมตอนเช้า คืนนี้เรามีนัดกันที่ตลาดเดิม
วันสุดท้ายจำต้องอำลาทริปต่างประเทศครั้งแรก คราวนี้เรียกแท็กซี่เขียวหน้าโรงแรม (ราคาใน Klook แอบแรงไปหน่อย) คิดราคาตามมิเตอร์หมดไป 100,000 ดอง ลองกดแกรบดู 67,000 ดอง ถือว่ารับได้ รีบมาสนามบินตั้งแต่สิบโมง นึกว่าจะต้องใช้เวลานาน ปรากฏว่าคนโล่งเชียว สิบนาทีก็เข้ามารอได้แล้ว ตม.ขาออกต้องถอดรองเท้าด้วย ขนาดใส่แตะคีบยังไม่เว้น แถมเช็คอินออนไลน์มานั่งเนียนๆจนเขาเรียกชื่อไปตรวจ บอกว่าไม่ได้ You ต้องไปเช็คอินเคาน์เตอร์นะ อยากจะบอกว่า ขออภัยมือใหม่กลับไทยดีกว่า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้