ตามภาพ ตามฝัน ไปปีนัง (ตอน 11)


ตอน 11

           การจองที่พักในช่วงเวลากระชั้นชิดก่อนการเดินทางเพียงหนึ่งสัปดาห์ เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะโรงแรมส่วนใหญ่จะถูกจองเต็มจนหมด โดยเฉพาะโรงแรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ส่วนโรงแรมที่เหลือก็จะเป็นโรงแรมที่มีราคาแพงบ้าง ห้องพักที่เหลือมีขนาดใหญ่จนเกินความจำเป็นบ้าง ทำให้คืนนี้ผมต้องกลับไปพักโรงแรมเดิมที่พักในคืนแรก เนื่องจากไม่สามารถจองที่พักที่อื่นได้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า
ความน่ากลัวกำลังรออยู่!
 
           สำหรับคืนนี้ผมไม่ได้พักห้องเดิม แต่เป็นห้องพักถัดไปสองห้อง บรรยากาศทุกอย่างเป็นปกติ เรื่องชายแก่ที่มาหยอกล้อเมื่อหลายวันก่อน แทบจะลืมเลือนไปแล้ว และในช่วงค่ำก็เหมือนปกติทุกวัน ผมจะนั่งโหลดภาพถ่ายลงในคอมพิวเตอร์ และวางแผนการเดินทางสำหรับวันถัดไป กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็ราวตีสอง และระหว่างที่กำลังจะเตรียมตัวนอน ก็ได้ยินเสียงสายฝนเริ่มตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ขนาดอยู่ภายในห้องยังได้ยินอย่างชัดเจน ผมเริ่มมีความกังวลบ้างเล็กน้อย ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วฝนยังไม่หยุดตกแล้วละก็ โปรแกรมที่วางเอาไว้จะต้องล่มอย่างแน่นอน ตอนนี้คงได้แต่ภาวนาให้ฝนหยุดตกโดยเร็ว
          แล้วก็ได้เวลานอนเสียที ผมล้มตัวลงนอน เมื่อหัวถึงหมอนก็หลับสนิททันที แล้วเวลาก็ผ่านไป จะนานแค่ไหน ไม่อาจรู้ได้
          ผมรู้สึกอึดอัดกับบางอย่าง หายใจแทบไม่ออก ความอึดอัดที่เกิดขึ้น เหมือนกับมีบางอย่างกำลังทับร่างผมอยู่ จนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ ผมค่อยๆ ลืมตา และภาพที่เห็นก็ทำให้ตกใจแทบสิ้นสติ
หญิงสาวกำลังนอนทับร่างของผมอยู่!
 
          ผมตื่นแล้ว ไม่ได้ฝันไป มองเห็นร่างของหญิงสาวที่กำลังนอนทับอยู่บนตัวได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ผมอยู่ในท่านอนหงาย โดยมีหญิงสาวนอนคว่ำหน้าอยู่บนตัว ใบหน้าของเธอแนบชิดที่แก้มของผม จนรู้สึกได้ถึงรอยยุบที่บริเวณแก้ม จากน้ำหนักที่กดทับ ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ 
ภาพที่เห็นชัดเจน ผมไม่ได้ฝันไปแน่นอน!
          ผมยังอยู่ในสภาวะตื่นตกใจ ใจสั่นระทึกด้วยความกลัว ในสภาพร่างกายที่ไม่สามารถขยับตัวได้ หญิงสาวค่อยๆ ยื่นมือออกมาอย่างช้าๆ แล้ววางบนหน้าอกของผม จากนั้นก็เริ่มกดลงไปตรงบริเวณหัวใจ เมื่อเธอใช้แรงกดกล้ามเนื้อที่หน้าอกยุบลง เป็นจังหวะเดียวกับการหายใจ ทำให้การหายใจของผมเริ่มรู้สึกติดขัดบ้างแล้ว หายใจไม่ทั่วปอด และเริ่มหายใจไม่ออกในที่สุด การกระทำนั้นเหมือนกับว่ามือของเธอกดเข้ามาภายในร่างกายของผม บีบกดมาที่หัวใจ
          เธอยังคงใช้มือกดลงเป็นจังหวะอย่างช้าๆ แล้วก็ผ่อนแรงไปตามจังหวะลมหายใจ สลับไปมา การบีบกดไปที่หัวใจทำให้เข้าใจทันทีว่า หญิงสาวคนนี้พยายามที่จะเข้ามาอยู่ในตัวผม 
          ต้องเป็นอาการของคนที่กำลังจะถูกผีสิงแน่!
          
          ทุกอย่างมีตัวตนชัดเจน ไม่ได้เป็นเงาดำ ใบหน้าของหญิงสาวที่แนบชิด ทำให้มองไม่เห็นว่า หน้าตาของเธอเป็นอย่างไร แต่รู้สึกได้ว่าเป็นหญิงสาวที่อายุไม่มาก เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ว่าจะพยายามต่อสู้ดิ้นรนขยับร่างกายอย่างไรก็ไม่เป็นผล ผมไม่สามารถขยับได้แม้เพียงปลายนิ้ว
จนในที่สุด! หลังจากที่ใช้ความพยายามอยู่นาน เรี่ยวแรงเริ่มอ่อนล้า กับลมหายใจที่เริ่มแผ่วเบาลงทุกที ผมก็ใช้พละกำลังเฮือกสุดท้ายดิ้นรนจนสามารถขยับตัว และหลุดพ้นจากสภาวะนั้นออกมาได้ รอดพ้นจากการถูกผีสิง ภาพหญิงสาวหายวับไปทันที 
เมื่อขยับตัวได้แล้ว ผมรีบลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็เดินขึ้นเปิดไฟทันที ผมรู้สึกกลัวมาก ขนลุกซู่ ตั้งแต่แขนไปยันหัว รู้สึกเลยว่าการกลัวจนขนหัวลุกเป็นอย่างไร กลัวที่สุดในชีวิต เมื่อมองนาฬิกาแล้วก็ต้องตกใจซ้ำอีก เพราะเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงแค่ห้านาทีนับตั้งแต่เริ่มนอน เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนแรกไม่มีผิด ในขณะที่ฝนตกกระหน่ำหนักกว่าเดิมเสียอีก ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ สร้างบรรยากาศชวนให้หนาวสั่น ขนหัวลุกมากขึ้นไปอีก 
          ผมกลัวมาก! 
          ทำได้เพียงนั่งพิงหัวเตียง ห่มผ้าด้วยอาการหนาวสั่นไปทั้งตัว ขนหัวลุกซู่อยู่อย่างนั้น และรับรู้ได้อยู่ตลอดเวลาว่า หญิงสาวยังคงวนเวียนอยู่รอบตัว ไม่ยอมไปไหน
 
          แล้วเสียงจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมผงะสะดุ้งสุดตัว เป็นเสียงเตือนว่ามีข้อความไลน์เข้ามา เพื่อนของผมคนเดิมที่เคยเตือนเรื่องการพักโรงแรมเก่า ส่งข้อความมาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีมั้ย 
‘ในช่วงเวลาตี 2 นี่นะ ไลน์มาถามว่าสบายดีมั้ย’ ผมนึกในใจ ปกติเพื่อนผมคนนี้ไม่เคยส่งข้อความมาเวลานี้ เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ผมขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนนี้ทันที
 
          เพื่อนผมคนนี้เป็นคนที่มีสัมผัสพิเศษบางอย่าง มีประสาทสามารถรับรู้เรื่องราวเร้นลับได้ดีกว่าคนอื่น พูดง่ายๆ ว่ามองเห็นวิญญาณเป็นเรื่องปกติ และเคยพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แล้วครั้งนี้ก็เช่นกัน 
 
          ผมโดนเข้าแล้ว! ถูกผีหลอก! หนักมากด้วย! ทำไงดี แล้วก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างละเอียด
          “หญิงสาวยังไม่ไปไหน ยังอยู่ในห้องนั่นแหล่ะ” เพื่อนกล่าวเตือน
          ใช่แล้ว ความรู้สึกของผมตรงกับการรับรู้ของเพื่อน หญิงสาวที่น่ากลัวไม่ยอมไปไหนจริงๆ ยังคงวนเวียนอยู่รอบตัว เห็นเป็นเงาดำแว๊บไปซ้ายทีขวาที แว๊บไปแว๊บมา อยู่ตลอด ยังรอเล่นงานผมอยู่ หากผมหลับตานอนเมื่อไหร่ เธอคงกระโดดเข้าขย่ำในทันที และจะหนักกว่าเดิมด้วย แล้วคราวนี้ก็คงไม่โชคดีเหมือนก่อนหน้านี้แน่ ผมเชื่ออย่างนั้น
          เพื่อนได้ส่งบทสวดมนต์มาให้ แล้วแนะนำว่าให้รีบสวดมนต์เสีย หลังจากสวดมนต์เสร็จ ให้นั่งสมาธิด้วย ผมตอบกลับไปทันทีว่า ทำไม่สามารถทำได้ การนั่งสวดมนต์โดยการหันหน้าเข้าหัวเตียง ในขณะที่เงาดำเคลื่อนที่อยู่ด้านหลัง เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพียงแค่หันหลัง เงาดำของหญิงสาวก็จะกระโดดเข้าใส่แล้ว และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหลับตานั่งสมาธิ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าหญิงสาวจะทำอะไรกับผมบ้าง
          แล้วที่สำคัญตอนนี้ผมรับรู้ได้ว่า ไม่ได้มีเพียงแค่หญิงสาวเพียง “ตน” เดียวที่อยู่รอบตัว มีหลายตนเพิ่มขึ้นมาจากไหนไม่รู้ เต็มไปหมด เหมือนมีพลังงานบางอย่างอยู่รอบตัว ผมมั่นใจ เพราะเงาที่แว๊บไปแว๊บมามีเยอะมาก ผมเพียงแค่คิดอยู่ในใจ ในขณะที่เพื่อนกล่าวเตือนว่า 
“ในห้องไม่ได้มีแค่ตนเดียวนะ!” เป็นคำพูดที่ตรงอย่างที่ใจผมคิดเอาไว้เลย 
ผมคุยกับเพื่อนอยู่พักใหญ่จากนั้นก็วางสายไป ที่เหลือคงเป็นการเอาตัวรอดเพียงลำพังของผมแล้ว
 
          ฝนตกกระหน่ำหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมนั่งพิงหัวเตียงด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้านอนหลับ ไม่กล้าสวดมนต์ นั่งนิ่งขนลุกซู่แทบจะไม่ขยับเคลื่อนตัวไปไหน สองตามองส่ายสลับไปรอบๆ จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนตีสี่ ผมจึงเปิดโทรศัพท์ที่เพื่อนส่งข้อความมาให้ จากนั้นก็เริ่มต้นสวดมนต์ในบทที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ใช้เวลาไม่นานก็สวดมนต์เสร็จ แต่การนั่งสมาธินี่สิ ยังไงก็ทำไม่ได้ หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าสถานการณ์โดยรอบเริ่มดีขึ้น สิ่งที่น่ากลัวเริ่มผ่อนคลายลง บัดนี้เงาดำทั้งหมดไม่มีอีกแล้ว เหมือนกับว่าทั้งหมดได้ออกไปอยู่ภายนอกห้องพัก เพราะได้ยินเหมือนเสียงคนเดินวนไปเวียนมาอยู่ตรงบริเวณหน้าห้องตลอดเวลา สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถเข้ามาภายในได้ พร้อมกับเสียงบิดลูกบิดประตูไปมาเป็นพักๆ กับแว่วเสียงคล้ายกับกระพรวนที่ดังเป็นระยะ โดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร
          สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเหมือนกับว่าบทสวดมนต์ทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องออกไปอยู่ข้างนอก ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ความหวาดกลัวก็ยังไม่จางหาย ขณะที่เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าค่ำคืนนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด 
และแล้ว! อยู่ๆ ทุกอย่างก็สงบจบลงแบบทันทีทันใด ความหวาดกลัวจางหายไปจนหมดสิ้น ไม่มีสิ่งใดอยู่ด้านนอกอีกแล้ว ฝนก็เริ่มหยุดลง และเมื่อหยิบนาฬิกาข้อมือที่โต๊ะข้างเตียงขึ้นมาดูเป็นเวลาตีห้าพอดิบพอดี! ไม่เกินแม้เพียงนาที
          ผมไม่กลัวอะไรอีกต่อไป เพียงแค่อ่อนเพลียเต็มทีกับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดทั้งคืน จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนหลับได้อย่างอุ่นใจ 
          ไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ แต่ที่แน่ใจที่สุด ก็คงจะเป็นเพราะโรงแรมเก่าแก่นี่แหล่ะ เป็นสาเหตุของเรื่องราวน่ากลัวทั้งหมด 
          สยองสุดขีด หวีดสุดขั้ว ชัดเจนที่สุด ... ครั้งหนึ่งในชีวิต
 
          เรื่องราวความน่ากลัวของปีนัง และเพื่อนของผมยังไม่จบเพียงเท่านี้

by กบในกะลาแก้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่