ผมอายุ 26 ปี ลาออกจากงานเมื่อประมาณกลางเดือนตุลาคม 62 ที่บริษัทนึงทําเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารเบเกอรี่ขนาดใหญ่ ผมทํางานอยู่ในตำแหน่งจัดซื้อ+คุณภาพ มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องคุณภาพสินค้าและเรื่องปัญหาข้อร้องเรียนจากแผนกต่าง ๆ ผมทํางานอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างกดดันพอสมควรเนื่องจากเป็นบริษัทใหญ่ อาทิ
- ทํางานวันหยุด (วันอาทิตย์) เนื่องจากเราห่วงว่างานเอกสารเราจะไม่เสร็จ (เนื่องจากวันทํางานก็ยุ่งไปกับปัญหาสินค้าสารพัด) ทําให้เสียวันว่างที่ควรจะได้พักผ่อนไป ซึ่งพอมันบ่อยเข้าเราก็รู้สึกไม่มีเวลาให้กับชีวิต อีกทั้งรุ้สึกว่าเราบริหารเวลาชีวิตไม่เป็น
= ไม่มีเวลาและวันหยุด ทําให้สูญเสียโอกาสต่าง ๆ ในการพัฒนาตัวเเอง และเวลาพักผ่อนหับครอบครัวหรือเพื่อน ๆ
- ในแต่ละเดือนเราต้องมีประชุมอย่างน้อย 2 - 3 วาระ ซึ่งในแต่ละวาระถ้าไม่นำเสนออะไรก็นั่งนิ่งให้แผนกอื่นเขารุมตัวผม (ผมจะเป็นตัวแทนจัดซื้อเพียงคนเดียวในแผนกที่เข้าประชุม) หรือบ่อยครั้งก็จะเรียกซัพพลายเออร์เข้ามาพูดคุยปัญหา ซึ่งจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากแผนกจัดซื้อเท่าไหร่ (นอกจากจะเป็นงานที่เอาหน้าและเรื่องปัญหาไปถึงทางผู้จัดการฝ่าย ถึงจะมีแผนกตัวเองเข้าประชุมด้วย) และบางครั้งโทรนัดแผนกที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมรับฟังกับแผนกคุณภาพก็รับปากแต่พอวันจริงก็ไม่มาตามนัดแถมไม่ส่งตัวแทนมาด้วย ทําให้เราก็เสียหน้าไปพอสมควร
= ไม่ได้รับความร่วมมือจากแผนกที่เกี่ยวข้อง
- ผมรู้สึกว่าเวลาที่ผมสูญเสียไปทั้งวันหยุดที่หยุดก็จริงแต่โทรศัพท์ต้องรับตลอด บางทีรับแล้วก็ต้องทํางาน เช่น โทรเรียกให้ซัพพลายเออร์ประสานกับขนส่งรับของที่มีปัญหากลับ ไม่สามารถขอพื้นที่เพื่อให้ซัพพลายเออร์มารับของกลับในรอบส่งวันอื่น ๆ ได้ .... ในช่วงวันหยุดโดยเฉพาะวันเสาร์ก็ต้องมานั่งหวาดระแวงโทรศัพท์ไม่ก็ Line เด้งขึ้นมา ถ้าไม่อ่านก็โดนฟ้องโดนลงโทษฐานละเลยงานและหน้าที่
= สูญเสียสุขภาพจิตจากการที่วันหยุดต้องมาระแวงเสียงแจ้งเตือนทางโทรศัพท์
- บางวันผมต้องเดินทางไปอีกโรงงานนึงเพื่อไปดูปัญหาอีกที่ (เนื่องจากเราก็ไม่อยากนั่งออฟฟิศเฉย ๆ รับเรื่องมามีแต่รูปแต่ไม่เห็นปัญหา) ก็เดินทางจากพระโขนงไปบางนา กม.23 (โดยที่ไม่สามารถเบิกค่ารถได้) บางวันก็โดนเรียกตัวไปตึกอิตัลไทย (ก็เบิกค่ารถไม่ได้ (ไม่เซ็นเอกสารให้) เนื่องจากต้อง save cost บริษัท) จะซื้อของอะไรจากแคตตาล็อกก็ต้องเป็นของเดิม ๆ ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร และจะซื้อของแต่ละทีต้องเดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น (แผนกอื่น ๆ ได้ตลอด) ซื้ออะไรแล้วต้องตอบผู้จัดการด้วยว่าซื้อไปทำไม...ถ้าไม่ซื้อ เราจะซื้อมาใช้เองแทนได้ไหม (เพื่อประหยัดเงินบริษัท)
= บริษัทและผู้จัดการฝ่ายเห็นผลประโยชน์บริษัทมากกว่าสวัสดิการของลูกน้องที่ควรได้รับ
- ช่วงปี 63 ทีมจัดซื้อคุณภาพด้วยกันได้ลาออกยกทีม เหลือผมคนเดียว (ณ ตอนนั้นทางแผนกก็ไม่อยากจะรับคนเพิ่มแล้วจะย้ายผมไปอยู่ที่ลาดกระบัง แต่มาเปลี่ยนใจทีหลังเพราะฝ่ายนี้ยังคงจำเป็นอยู่ เพียงแต่ต้องเข้ามาคุมให้เข้มขึ้น) ผมอยู่จนทีมใหม่เข้ามา แต่ในช่วงที่อยู่เมื่อทําอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เช่น ลงปฎิทินไปเยี่ยมชมมโรงงานผู้ค้าแต่ลงแค่เฉพาะคนที่ไปด้วยเท่านั้น ไม่ได้ลงถึงผู้จัดการฝ่าย พอผู้จัดการฝ่ายรู้ก็ถึงกับโมโหจนออฟฟิศแตกแล้วเรียกผมให้เขียนใบลาออกแล้วไปอยู่แผนกอื่นซะ (ครั้งที่ 1 ที่โดนบังคับให้ลาออก) /
มีอยู่เคสนึงเป็นปัญหาลุกค้ากินขนมแล้วเจอเศษไม้ชิ้นยาว ผมได้ประสานงานขอเข้าเยี่ยมชมโรงงานผู้ค้าแต่ได้รับการปฎิเสธ พอแจ้งฝ่ายจัดซื้อก็บอกว่าเขาไม่ให้ไปก็ไม่ให้ไป อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทําอะไรให้พวกคุณภาพทํางานไป จนลูกค้าไปฟ้อง สคบ. เรื่องนี้ไปถึงเจ้าของบริษัท เจ้าของบริษัทต้องถือกระเช้าไปขอโทษลูกค้ารายนั้น หลังจบเคสนี้ ผมโดนเรียกประชุมก็โดนท้าให้ไปเขียนใบลาออกหรือย้ายแผนกอีกครั้ง เนื่องจากเรื่องเกิดแล้วไม่ยอมรายงานให้ผู้จัดการฝ่ายรู้ (ทั้งที่ทำงานแต่ละครั้งผมจะพิมเมลประกาศไปทั่ว (ก็โดนเหตุผลอีกว่าไม่โทรมาแจ้งให้อ่านเมลอีก)) (หลังจากปัญหานั้นก็ต้องพิมพ์ไลน์คอยรายงานงานประจำวันให้ผู้จัดการฝ่ายรับรู้ทุกวันว่าวันนี้ผมได้ทําอะไรไปบ้างและมีอะไรที่ทําสำเร็จแล้ว) (นี่คือครั้งที่ 2 ที่โดนให้ลาออก) /
ครั้งสุดท้ายคือมีปัญหานึงที่ทางฝ่ายคุณภาพไม่สามารถให้ข้อมูลความลับบริษัทได้ แล้วมีวันนึงทางจัดซื้อได้เชิญบริษัทนึง (เป็นบริษัทผู้ค้า) ที่ได้ขอข้อมูลความลับบริษัทเข้ามาให้ความรู้เรื่องนึงโดยจัดซื้อเป็นเจ้าภาพ หลังจากที่ให้ความรู้จบปรากฎว่าบริษัทนั้นได้แจ้งเรื่องที่ไม่ได้รับความสะดวกจากผม โดยโชว์เรื่องที่ไม่ได้รับความสะดวกจากผมผ่านทางบอร์ด powerpint ส่งเข้าโปรเจกเตอร์นำเสนอ (ซึ่งในห้องนั้นมีเจ้าหน้าที่แผนกต่าง ๆ ที่ได้รับเชิญเข้ามาฟังอยู่ด้วยหลายท่าน) ผู้จัดการแผนกถามผมว่าทําไมถึงไม่ให้ข้อมูลเขา ... ผมตอบไปว่าทางแผนกคุณภาพแจ้งว่าเป็นความลับของบริษัทจึงไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ...ผู้จัดการแผนกก็วีนแตก แล้วพูดกับผมว่าฉันจ้างเธอมาทําอะไร ... เขาไม่ให้แล้วเธอก็เฉยไม่คิดจะบอกฉันเลยเหรอ .... เธอไปอยุ่แผนกคุณภาพดีม่ะ ซะ แหม Service มันจังนะ ไม่ให้ข้อมูลก็ไปเชื่อพวกมัน ก็ไปซิ ไปขออยู่กับมันไป..... เป็นต้น (จริง ๆ มีเยอะกว่านี้) แล้วผมก็ออกจากห้องมาแอบร้องไห้ในห้องน้ำแล้วก็ล็อกห้องน้ำ (ครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้าย)
= โดนกดดันให้ลาออกแต่ก็สู้งานแต่รู้สึกไม่มีความสุขแล้วเนื่องจากทําอะไรก็ไม่ได้ดีเลย
หลังจากวันนั้นผมก็ไปเขียนใบลาออกเพราะผมสุดจะทนกับเรื่องนี้แล้ว (ทํางานที่นี่ทั้งหมด 3 ปี 3 เดือน) ก็ช่วงที่รอลาออกก็ไปสมัครงานแต่ก็ไม่มีใครรับซะที่ จนถึงทุกวันนี้ (ยังโชคดีที่ผมเป็นคนมีเงินเก็บอยุ่พอสมควรเลยยังไม่เดือดร้อนอะไรมาก นอกจากเดือดร้อนเรื่องการออกไปเที่ยวหรือออกไปหาของกินตามร้านอาหาร) ปัจจุบันยอมลดเงินตัวเองจาก 17+++ มาที่ 13+++ - 16+++ เพื่อที่จะได้หางานได้ (ส่วนตัวขอไม่รับงานพวกประกันชีวิต)
งานที่ค้นหาอยู่ทุกวันนี้คือ งานประเภทธุรการประสานงาน + ธุรการจัดซื้อ + ประกันควบคุมคุณภาพ เป็นต้น ยื่นสมัครไปแล้วหลายสิบที่มีเรียกสัมภาษณ์แล้วแต่ก็ไม่ผ่านเกณฑ์เขาซะที่ (ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมไม่เก่งภาษาอังกฤษและใช้ Excell ได้ดีก็จริงแต่บางสูตรผมอาจยังไม่ชำนาญก็ได้) ในเรื่องการพิมพ์ดีดไทย 31 คำ อังกฤษ 26 คำ / นาที
ตอนนี้สมัครงานที่ ๆ ใกล้บ้านสามารถเดินทางไปกลับได้ อาทิตย์นึงจะออกไป walk in ทีนึง (ส่วนใหญ่จะกดเอาในเว็บ) แต่ด้วยตอนนี้งานที่หาได้แต่ส่วนใหญ่รับแค่ตำแหน่งเดียวก็เลยมีคู่แข่งเยอะ เราเลยอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกหลัก ... จนตอนนี้ที่ยังไม่ได้งานผมก็มาคิดแหละครับว่างานมันหายาก อาจเพราะเรา walk in น้อยด้วย (เพราะบางที่อาจต้องการคนแต่ไม่ได้ลาประกาศไว้) เราควรจะหางานพวกเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้าน / คนครัว (เป็นคนชอบทำอาหาร) ดีไหม (แต่ก็ห่วงเรื่องภาระในอนาคตที่อาจจะเกิดเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ (ปัจจุบันยังโสด ไม่มีภาระหนี้สินอะไร)) หรือควรจะหางานตามต่างจังหวัดดี
ณ ตอนนี้ได้ลงเรียนรามคำแหงไว้ เพื่อที่จะได้มีอะไรทําในช่วงว่างงาน และก็หยิบเอาหนังสือภาษาอังกฤษมาอ่านบ้าง (แต่มีเป้าหมายแหละว่าถ้าได้งานจะนำเงินที่ได้ไปหาคอร์สเรียนซะ)
ณ ตอนนี้ก็ค่อนข้างเครียดมากที่ไม่มีงานทำจนคิดว่าตัวเองเป็นแมงดาเกาะพ่อเกาะแม่กินแล้ว และเวลาใครชวนไปไหนมาไหนก็ไม่อยากไปเพราะเราไม่อยากบอกเขาว่าเราออกงานมา (ขนาดครอบครัวยังปิดเรื่องนี้ไม่ให้ญาติ ๆ รู้) (มันรู้สึกไม่ด้อย ไม่มีอะไรไปสู้เขาน่ะ)
ก็ขอขอบคุณผู้ที่แวะเข้ามาอ่านสิ่งที่ผมระบายออกไปและตอบความเห็นนี้ครับ (แท็กผิดต้องขออภัยครับ)
ขอระบายทำไมถึงลาออกงานและงานหายากมากจนรู้สึกหมดกำลังใจ (อยากได้คำแนะนำว่าควรจะทำอย่างไรดี (ใครที่ตกงานอยู่ก็ระบายได้ค)
- ทํางานวันหยุด (วันอาทิตย์) เนื่องจากเราห่วงว่างานเอกสารเราจะไม่เสร็จ (เนื่องจากวันทํางานก็ยุ่งไปกับปัญหาสินค้าสารพัด) ทําให้เสียวันว่างที่ควรจะได้พักผ่อนไป ซึ่งพอมันบ่อยเข้าเราก็รู้สึกไม่มีเวลาให้กับชีวิต อีกทั้งรุ้สึกว่าเราบริหารเวลาชีวิตไม่เป็น
= ไม่มีเวลาและวันหยุด ทําให้สูญเสียโอกาสต่าง ๆ ในการพัฒนาตัวเเอง และเวลาพักผ่อนหับครอบครัวหรือเพื่อน ๆ
- ในแต่ละเดือนเราต้องมีประชุมอย่างน้อย 2 - 3 วาระ ซึ่งในแต่ละวาระถ้าไม่นำเสนออะไรก็นั่งนิ่งให้แผนกอื่นเขารุมตัวผม (ผมจะเป็นตัวแทนจัดซื้อเพียงคนเดียวในแผนกที่เข้าประชุม) หรือบ่อยครั้งก็จะเรียกซัพพลายเออร์เข้ามาพูดคุยปัญหา ซึ่งจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากแผนกจัดซื้อเท่าไหร่ (นอกจากจะเป็นงานที่เอาหน้าและเรื่องปัญหาไปถึงทางผู้จัดการฝ่าย ถึงจะมีแผนกตัวเองเข้าประชุมด้วย) และบางครั้งโทรนัดแผนกที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมรับฟังกับแผนกคุณภาพก็รับปากแต่พอวันจริงก็ไม่มาตามนัดแถมไม่ส่งตัวแทนมาด้วย ทําให้เราก็เสียหน้าไปพอสมควร
= ไม่ได้รับความร่วมมือจากแผนกที่เกี่ยวข้อง
- ผมรู้สึกว่าเวลาที่ผมสูญเสียไปทั้งวันหยุดที่หยุดก็จริงแต่โทรศัพท์ต้องรับตลอด บางทีรับแล้วก็ต้องทํางาน เช่น โทรเรียกให้ซัพพลายเออร์ประสานกับขนส่งรับของที่มีปัญหากลับ ไม่สามารถขอพื้นที่เพื่อให้ซัพพลายเออร์มารับของกลับในรอบส่งวันอื่น ๆ ได้ .... ในช่วงวันหยุดโดยเฉพาะวันเสาร์ก็ต้องมานั่งหวาดระแวงโทรศัพท์ไม่ก็ Line เด้งขึ้นมา ถ้าไม่อ่านก็โดนฟ้องโดนลงโทษฐานละเลยงานและหน้าที่
= สูญเสียสุขภาพจิตจากการที่วันหยุดต้องมาระแวงเสียงแจ้งเตือนทางโทรศัพท์
- บางวันผมต้องเดินทางไปอีกโรงงานนึงเพื่อไปดูปัญหาอีกที่ (เนื่องจากเราก็ไม่อยากนั่งออฟฟิศเฉย ๆ รับเรื่องมามีแต่รูปแต่ไม่เห็นปัญหา) ก็เดินทางจากพระโขนงไปบางนา กม.23 (โดยที่ไม่สามารถเบิกค่ารถได้) บางวันก็โดนเรียกตัวไปตึกอิตัลไทย (ก็เบิกค่ารถไม่ได้ (ไม่เซ็นเอกสารให้) เนื่องจากต้อง save cost บริษัท) จะซื้อของอะไรจากแคตตาล็อกก็ต้องเป็นของเดิม ๆ ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร และจะซื้อของแต่ละทีต้องเดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น (แผนกอื่น ๆ ได้ตลอด) ซื้ออะไรแล้วต้องตอบผู้จัดการด้วยว่าซื้อไปทำไม...ถ้าไม่ซื้อ เราจะซื้อมาใช้เองแทนได้ไหม (เพื่อประหยัดเงินบริษัท)
= บริษัทและผู้จัดการฝ่ายเห็นผลประโยชน์บริษัทมากกว่าสวัสดิการของลูกน้องที่ควรได้รับ
- ช่วงปี 63 ทีมจัดซื้อคุณภาพด้วยกันได้ลาออกยกทีม เหลือผมคนเดียว (ณ ตอนนั้นทางแผนกก็ไม่อยากจะรับคนเพิ่มแล้วจะย้ายผมไปอยู่ที่ลาดกระบัง แต่มาเปลี่ยนใจทีหลังเพราะฝ่ายนี้ยังคงจำเป็นอยู่ เพียงแต่ต้องเข้ามาคุมให้เข้มขึ้น) ผมอยู่จนทีมใหม่เข้ามา แต่ในช่วงที่อยู่เมื่อทําอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เช่น ลงปฎิทินไปเยี่ยมชมมโรงงานผู้ค้าแต่ลงแค่เฉพาะคนที่ไปด้วยเท่านั้น ไม่ได้ลงถึงผู้จัดการฝ่าย พอผู้จัดการฝ่ายรู้ก็ถึงกับโมโหจนออฟฟิศแตกแล้วเรียกผมให้เขียนใบลาออกแล้วไปอยู่แผนกอื่นซะ (ครั้งที่ 1 ที่โดนบังคับให้ลาออก) /
มีอยู่เคสนึงเป็นปัญหาลุกค้ากินขนมแล้วเจอเศษไม้ชิ้นยาว ผมได้ประสานงานขอเข้าเยี่ยมชมโรงงานผู้ค้าแต่ได้รับการปฎิเสธ พอแจ้งฝ่ายจัดซื้อก็บอกว่าเขาไม่ให้ไปก็ไม่ให้ไป อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทําอะไรให้พวกคุณภาพทํางานไป จนลูกค้าไปฟ้อง สคบ. เรื่องนี้ไปถึงเจ้าของบริษัท เจ้าของบริษัทต้องถือกระเช้าไปขอโทษลูกค้ารายนั้น หลังจบเคสนี้ ผมโดนเรียกประชุมก็โดนท้าให้ไปเขียนใบลาออกหรือย้ายแผนกอีกครั้ง เนื่องจากเรื่องเกิดแล้วไม่ยอมรายงานให้ผู้จัดการฝ่ายรู้ (ทั้งที่ทำงานแต่ละครั้งผมจะพิมเมลประกาศไปทั่ว (ก็โดนเหตุผลอีกว่าไม่โทรมาแจ้งให้อ่านเมลอีก)) (หลังจากปัญหานั้นก็ต้องพิมพ์ไลน์คอยรายงานงานประจำวันให้ผู้จัดการฝ่ายรับรู้ทุกวันว่าวันนี้ผมได้ทําอะไรไปบ้างและมีอะไรที่ทําสำเร็จแล้ว) (นี่คือครั้งที่ 2 ที่โดนให้ลาออก) /
ครั้งสุดท้ายคือมีปัญหานึงที่ทางฝ่ายคุณภาพไม่สามารถให้ข้อมูลความลับบริษัทได้ แล้วมีวันนึงทางจัดซื้อได้เชิญบริษัทนึง (เป็นบริษัทผู้ค้า) ที่ได้ขอข้อมูลความลับบริษัทเข้ามาให้ความรู้เรื่องนึงโดยจัดซื้อเป็นเจ้าภาพ หลังจากที่ให้ความรู้จบปรากฎว่าบริษัทนั้นได้แจ้งเรื่องที่ไม่ได้รับความสะดวกจากผม โดยโชว์เรื่องที่ไม่ได้รับความสะดวกจากผมผ่านทางบอร์ด powerpint ส่งเข้าโปรเจกเตอร์นำเสนอ (ซึ่งในห้องนั้นมีเจ้าหน้าที่แผนกต่าง ๆ ที่ได้รับเชิญเข้ามาฟังอยู่ด้วยหลายท่าน) ผู้จัดการแผนกถามผมว่าทําไมถึงไม่ให้ข้อมูลเขา ... ผมตอบไปว่าทางแผนกคุณภาพแจ้งว่าเป็นความลับของบริษัทจึงไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ...ผู้จัดการแผนกก็วีนแตก แล้วพูดกับผมว่าฉันจ้างเธอมาทําอะไร ... เขาไม่ให้แล้วเธอก็เฉยไม่คิดจะบอกฉันเลยเหรอ .... เธอไปอยุ่แผนกคุณภาพดีม่ะ ซะ แหม Service มันจังนะ ไม่ให้ข้อมูลก็ไปเชื่อพวกมัน ก็ไปซิ ไปขออยู่กับมันไป..... เป็นต้น (จริง ๆ มีเยอะกว่านี้) แล้วผมก็ออกจากห้องมาแอบร้องไห้ในห้องน้ำแล้วก็ล็อกห้องน้ำ (ครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้าย)
= โดนกดดันให้ลาออกแต่ก็สู้งานแต่รู้สึกไม่มีความสุขแล้วเนื่องจากทําอะไรก็ไม่ได้ดีเลย
หลังจากวันนั้นผมก็ไปเขียนใบลาออกเพราะผมสุดจะทนกับเรื่องนี้แล้ว (ทํางานที่นี่ทั้งหมด 3 ปี 3 เดือน) ก็ช่วงที่รอลาออกก็ไปสมัครงานแต่ก็ไม่มีใครรับซะที่ จนถึงทุกวันนี้ (ยังโชคดีที่ผมเป็นคนมีเงินเก็บอยุ่พอสมควรเลยยังไม่เดือดร้อนอะไรมาก นอกจากเดือดร้อนเรื่องการออกไปเที่ยวหรือออกไปหาของกินตามร้านอาหาร) ปัจจุบันยอมลดเงินตัวเองจาก 17+++ มาที่ 13+++ - 16+++ เพื่อที่จะได้หางานได้ (ส่วนตัวขอไม่รับงานพวกประกันชีวิต)
งานที่ค้นหาอยู่ทุกวันนี้คือ งานประเภทธุรการประสานงาน + ธุรการจัดซื้อ + ประกันควบคุมคุณภาพ เป็นต้น ยื่นสมัครไปแล้วหลายสิบที่มีเรียกสัมภาษณ์แล้วแต่ก็ไม่ผ่านเกณฑ์เขาซะที่ (ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมไม่เก่งภาษาอังกฤษและใช้ Excell ได้ดีก็จริงแต่บางสูตรผมอาจยังไม่ชำนาญก็ได้) ในเรื่องการพิมพ์ดีดไทย 31 คำ อังกฤษ 26 คำ / นาที
ตอนนี้สมัครงานที่ ๆ ใกล้บ้านสามารถเดินทางไปกลับได้ อาทิตย์นึงจะออกไป walk in ทีนึง (ส่วนใหญ่จะกดเอาในเว็บ) แต่ด้วยตอนนี้งานที่หาได้แต่ส่วนใหญ่รับแค่ตำแหน่งเดียวก็เลยมีคู่แข่งเยอะ เราเลยอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกหลัก ... จนตอนนี้ที่ยังไม่ได้งานผมก็มาคิดแหละครับว่างานมันหายาก อาจเพราะเรา walk in น้อยด้วย (เพราะบางที่อาจต้องการคนแต่ไม่ได้ลาประกาศไว้) เราควรจะหางานพวกเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้าน / คนครัว (เป็นคนชอบทำอาหาร) ดีไหม (แต่ก็ห่วงเรื่องภาระในอนาคตที่อาจจะเกิดเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ (ปัจจุบันยังโสด ไม่มีภาระหนี้สินอะไร)) หรือควรจะหางานตามต่างจังหวัดดี
ณ ตอนนี้ได้ลงเรียนรามคำแหงไว้ เพื่อที่จะได้มีอะไรทําในช่วงว่างงาน และก็หยิบเอาหนังสือภาษาอังกฤษมาอ่านบ้าง (แต่มีเป้าหมายแหละว่าถ้าได้งานจะนำเงินที่ได้ไปหาคอร์สเรียนซะ)
ณ ตอนนี้ก็ค่อนข้างเครียดมากที่ไม่มีงานทำจนคิดว่าตัวเองเป็นแมงดาเกาะพ่อเกาะแม่กินแล้ว และเวลาใครชวนไปไหนมาไหนก็ไม่อยากไปเพราะเราไม่อยากบอกเขาว่าเราออกงานมา (ขนาดครอบครัวยังปิดเรื่องนี้ไม่ให้ญาติ ๆ รู้) (มันรู้สึกไม่ด้อย ไม่มีอะไรไปสู้เขาน่ะ)
ก็ขอขอบคุณผู้ที่แวะเข้ามาอ่านสิ่งที่ผมระบายออกไปและตอบความเห็นนี้ครับ (แท็กผิดต้องขออภัยครับ)