สวัสดีค่า~
จากทีแรกคิดว่า จะเขียนภาคต่อการสมัครทุน แต่ก็ดองมานานหลายเดือน วันนี้ได้โอกาสเลยแวะเอาภาคสองมาแชร์กันค่ะ
----------------------------------------------------------------------------------------
มาต่อกันที่การเขียน SOP /study plan กันค่ะ
ส่วนเหตุผลที่เราแยกหัวข้อนี้มาอีกกระทู้นึงเลย เพราะว่า ตอนที่เราเริ่มเขียน SOP ตอนแรกๆเลยก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียนยังไง
เขียนแบบไหน ต้องมีเขียนให้เกี่ยวกับอะไรบ้าง
เราก็เริ่มทั่วๆไปเลยค่ะ ใช้อากู๋ หาตัวอย่างอ่านดูทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ แล้วก็ไปแอบขอ SOP ของเพื่อนเรามาดูบ้าง
พออ่านดูของหลายๆ คนก็รู้สึกว่าดีจัง แต่พอจะเริ่มเขียนของตัวเองก็นิ่งไปเหมือนเดิม เริ่มยังไงดีหว่า 55555
ส่วนตัวเราก็รู้สึกว่ามันยากนะ ที่จะเขียน SOP ของเราเองออกมาให้เสร็จสมบูรณ์ แล้วก็ดีไปพร้อมๆกัน
แต่คำถามก็คือ แล้ว SOP ที่ดีคือเป็นยังไง? แบบไหนถึงเรียกว่าดี?
ดังนั้นพอเราเขียน SOP ของตัวเองเสร็จ ใช้สมัครใช้อะไรเรียบร้อย
ก็นึกถึงตอนแรกๆ ที่เริ่มเขียน เลยอยากแชร์ในส่วนที่เรารู้ค่ะ เราหวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ต่อใครที่กำลังหาข้อมูลอยู่ไม่มากก็น้อยนะคะ
โดยเราจะขอข้ามความหมายของ Stament of purpose / study plan / Personal Statement ไปนะคะ
เนื่องจากว่า เราไม่แม่นว่าความหมายจริงๆ คืออะไร แต่ละอย่างแตกต่างจากกันที่ตรงไหน กลัวจะแชร์ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องค่ะ
ส่วนตัวเรา คืออ่านคำอธิบายเลยค่ะ ว่าในเนื้อหาต้องครอบคลุมอะไรบ้าง
ตอนเราสมัครบางมหาลัยก็ขอ SOP บางที่ก็ขอ Study Plan หรือบางที่ไม่เอาทั้ง 2 อย่าง แต่มีคำถามเป็นฟอร์มของตัวเองให้เขียน Essay ตอบ
(หลักสูตร IMBA ค่ะ) แต่หลักๆ เนื้อหามันก็จะครอบคลุมประมาณ SOP เลยค่ะ ดังนั้นเวลาเพื่อนๆ จะเขียน SOP เช็ค Criteria ด้วยะนะคะ ว่าแต่ละที่เขาอยากได้คำตอบครอบคลุมอะไรบ้าง
สำหรับตัวอย่าง เราขอ copy คำอธิบาย study plan มาจาก application guide ของ 2 หลักสูตรที่เราสมัครไปนะคะ
หลักๆ คืออธิบายเหตุผลที่มาเรียน เป้าหมายระยะสั้น ระยะยาว มองอนาคตตัวเองเอาไว้ยังไง แล้วหลักสูตรนี้จะช่วยเราได้ยังไง
Study plan :
Describe your short-term and long-term career goals. Explain how your future experience with XXX programme will assist you in reaching these goals contribute. Which contains details regarding his or her educational background, research interest, motivations for further study, etc.
Autobiography :
เนื่องจากตอนที่เราสมัคร มีมหาลัยนึงที่ต้องส่ง autobiography คู่กับ SOP ค่ะ
พอดีตอนจะเขียน autobiography พอค้นๆ ข้อมูลดูแล้วหาไม่ค่อยเจอ เลยขอเขียนแทรกไว้นะคะ เผื่อใครหาข้อมูลอยู่ค่ะ
จากการค้นอากู๋ดูก็จะเห็นตัวอย่าง autobiography เยอะเลยค่ะ
ส่วนใหญ่ที่เราเจอก็จะเป็นการเล่าเรื่อง บรรยายไปเรื่อยๆ เป็นประวัติส่วนตัวที่ไล่ตั้งแต่ วันเกิด อายุ ครอบครัวมีใครบ้าง เรียนที่ไหน ชอบทำกิจกรรมอะไร เข้ามหาลัยอะไร คณะอะไร สำหรับเรามันเป็น Essay ที่เล่าเรื่องบรรยายทั่วๆไป ดังนั้นเราอ่านแล้วก็คิดว่ายังไม่ตอบโจทย์ เลยขอผ่าน ไปหาแนวอื่นดีกว่า
ซึ่งจริงๆ การบรรยายไปเรื่อยๆ แบบนั้นก็เป็นการเขียน autobiography อย่างหนึ่ง แต่เราเองพอคิดในมุมของกรรมการดู เรารู้สึกว่าข้อมูลแบบนั้นไม่ช่วยให้กรรมการรู้จักเราในด้านที่เราอยากโชว์ว่าเรามีศักยภาพที่จะเรียนและอยากจะเรียนในหลักสูตรนั้นๆ เลยลองหาตัวอย่างแบบอื่นดูค่ะ
ตัวอย่างที่เราค้นเจอแล้วชอบ ชิ้นนึงเป็นตัวอย่างจากเพจ Skycoachmam โค้ชแหม่มสอนแอร์ ค่ะ
เขียนได้กระชับ และตรงประเด็นดีค่ะ โดยที่รายละเอียดต่างๆยังครบ แต่ทั้งนี้ตัวอย่างของโค้ชแหม่มเขียนเพื่อสมัครแอร์
อาจจะไม่ตรงกับ objective เราแบบเป๊ะๆ ที่เขียนเพื่อสมัครเรียนต่อ แต่สามารถดูเป็นโครงสร้างการเขียนเป็น guide ได้ค่ะ
ขอบคุณโค้ชแหม่มสอนแอร์ มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ Link~
ข้อควรระวัง!!!!!
อย่าลืมว่าถ้าหากเราต้องส่งทั้ง SOP / study plan และ autobiography ไปพร้อมกันในการสมัครหนึ่งหลักสูตร
ให้ระวังเรื่องเนื้อหาจะซ้ำกันด้วยนะคะ จริงอยู่ว่ากรรมการ คงอ่านทีละอัน แต่ถ้าเนื้อหาซ้ำกันก็น่าเสียดาย
เพราะนี่เป็นโอกาสที่เราจะใช้บอกเล่าให้เขาเข้าใจและรู้จักเรามากขึ้นค่ะ
เรามองว่า
sop หรือ study plan นำเสนอตัวเราในด้านที่เป็นประวัติการศึกษา วิชาการ เป้าหมายชีวิต แรงบันดาลใจที่อยากเรียนต่อ
หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับ Academic ส่วน
autobipgraphy เป็นการเขียนนำเสนอตัวเราว่าเราเป็นคนยังไง อาจจะในด้านของทัศนคติ,
ลักษณะนิสัย, หรือความถนัดต่างๆค่ะ
Guide การเขียน autobiography เราลงคร่าวๆ ประมาณนี้นะคะ อาจจะไม่ได้เป๊ะมาก เพราะเราเองเขียนแค่ชิ้นเดียว
- เป็นการเล่าเรื่อง
- ระบุผู้อ่านให้ชัดเจนค่ะ
- เริ่มต้นด้วย quote จริงๆ ตรงส่วนนี้ไม่ได้จำเป็นเสมอไปนะคะ แต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่าเขียนแบบนี้ก็น่าสนใจ เลยเริ่มต้นด้วย quote ค่ะ
- เป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งของเรา โดยไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่างค่ะ
ตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้นนะคะ
เช่น หากเขียนว่า เราชื่อ A เกิดวันที่ B ครอบครัวมีสมาชิก 4 คน ทำงานเป็นบลาๆๆ การเขียนแบบนี้
สิ่งที่กรรมการจะทราบคือ ชื่อและอายุค่ะซึ่งทราบได้จาก CV ที่เราแนบไป ส่วนข้อมูลอื่นๆไม่มีผลค่ะ เขียนแบบนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์
ลองเขียนใหม่นะคะ เช่น เราอยากนำเสนอว่าเราไม่ใช่คนที่ฉลาดเป็นกรด แต่ที่เราทำได้ทุกอย่างในตอนนี้เกิดจากความอดทนและพยายาม
อาจจะเขียนว่า ตอนที่เริ่มเรียนวิชา XX ก็รู้สึกว่าเป็นวิชาที่ยาก ไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหา ทำผลสอบได้ไม่ค่อยดี แต่พอปลายเทอมเราไม่อยากยอมแพ้ ก็แก้ไขด้วยการทบทวนบทเรียนบ่อยขึ้น ให้เพื่อนช่วยติว ทำแบบฝึกหัดซ้ำๆ ถามอาจารย์ในข้อที่สงสัย สุดท้ายก็สอบจบได้ด้วยคะแนน XX เป็นต้นค่ะ
สำหรับงานเขียนของเรา เรายก quote ขึ้นมาก่อนค่ะ เป็น 1 ประโยคที่บอกเล่านิสัยของเรา 1 อย่าง
แล้วค่อยๆ ไล่ขึ้นมาว่าเรามีนิสัยนี้ได้ยังไง ยกตัวอย่างเช่น หลายๆคน คงจะบอกไปเลยว่า I am…….
- Detail- oriented
- Ambitious
- Always love to develop myself
- Decisive
- Perfectionist
สำหรับงานเรา เราเอาส่วนที่บอกว่า I am......ใส่ใน SOP ค่ะ เพื่อบอกชัดๆไปเลย ว่านี่คือเรา
ส่วน How to become …… เราเอามาใส่ใน autobiography แทนค่ะ
สมัครทุน ICDF เรียนต่อไต้หวัน : Part II SOP / Autobiography เขียนยังไงดี ?
จากทีแรกคิดว่า จะเขียนภาคต่อการสมัครทุน แต่ก็ดองมานานหลายเดือน วันนี้ได้โอกาสเลยแวะเอาภาคสองมาแชร์กันค่ะ
----------------------------------------------------------------------------------------
มาต่อกันที่การเขียน SOP /study plan กันค่ะ
ส่วนเหตุผลที่เราแยกหัวข้อนี้มาอีกกระทู้นึงเลย เพราะว่า ตอนที่เราเริ่มเขียน SOP ตอนแรกๆเลยก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียนยังไง
เขียนแบบไหน ต้องมีเขียนให้เกี่ยวกับอะไรบ้าง
เราก็เริ่มทั่วๆไปเลยค่ะ ใช้อากู๋ หาตัวอย่างอ่านดูทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ แล้วก็ไปแอบขอ SOP ของเพื่อนเรามาดูบ้าง
พออ่านดูของหลายๆ คนก็รู้สึกว่าดีจัง แต่พอจะเริ่มเขียนของตัวเองก็นิ่งไปเหมือนเดิม เริ่มยังไงดีหว่า 55555
ส่วนตัวเราก็รู้สึกว่ามันยากนะ ที่จะเขียน SOP ของเราเองออกมาให้เสร็จสมบูรณ์ แล้วก็ดีไปพร้อมๆกัน
แต่คำถามก็คือ แล้ว SOP ที่ดีคือเป็นยังไง? แบบไหนถึงเรียกว่าดี?
ดังนั้นพอเราเขียน SOP ของตัวเองเสร็จ ใช้สมัครใช้อะไรเรียบร้อย
ก็นึกถึงตอนแรกๆ ที่เริ่มเขียน เลยอยากแชร์ในส่วนที่เรารู้ค่ะ เราหวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ต่อใครที่กำลังหาข้อมูลอยู่ไม่มากก็น้อยนะคะ
โดยเราจะขอข้ามความหมายของ Stament of purpose / study plan / Personal Statement ไปนะคะ
เนื่องจากว่า เราไม่แม่นว่าความหมายจริงๆ คืออะไร แต่ละอย่างแตกต่างจากกันที่ตรงไหน กลัวจะแชร์ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องค่ะ
ส่วนตัวเรา คืออ่านคำอธิบายเลยค่ะ ว่าในเนื้อหาต้องครอบคลุมอะไรบ้าง
ตอนเราสมัครบางมหาลัยก็ขอ SOP บางที่ก็ขอ Study Plan หรือบางที่ไม่เอาทั้ง 2 อย่าง แต่มีคำถามเป็นฟอร์มของตัวเองให้เขียน Essay ตอบ
(หลักสูตร IMBA ค่ะ) แต่หลักๆ เนื้อหามันก็จะครอบคลุมประมาณ SOP เลยค่ะ ดังนั้นเวลาเพื่อนๆ จะเขียน SOP เช็ค Criteria ด้วยะนะคะ ว่าแต่ละที่เขาอยากได้คำตอบครอบคลุมอะไรบ้าง
สำหรับตัวอย่าง เราขอ copy คำอธิบาย study plan มาจาก application guide ของ 2 หลักสูตรที่เราสมัครไปนะคะ
หลักๆ คืออธิบายเหตุผลที่มาเรียน เป้าหมายระยะสั้น ระยะยาว มองอนาคตตัวเองเอาไว้ยังไง แล้วหลักสูตรนี้จะช่วยเราได้ยังไง
Study plan :
Describe your short-term and long-term career goals. Explain how your future experience with XXX programme will assist you in reaching these goals contribute. Which contains details regarding his or her educational background, research interest, motivations for further study, etc.
Autobiography :
เนื่องจากตอนที่เราสมัคร มีมหาลัยนึงที่ต้องส่ง autobiography คู่กับ SOP ค่ะ
พอดีตอนจะเขียน autobiography พอค้นๆ ข้อมูลดูแล้วหาไม่ค่อยเจอ เลยขอเขียนแทรกไว้นะคะ เผื่อใครหาข้อมูลอยู่ค่ะ
จากการค้นอากู๋ดูก็จะเห็นตัวอย่าง autobiography เยอะเลยค่ะ
ส่วนใหญ่ที่เราเจอก็จะเป็นการเล่าเรื่อง บรรยายไปเรื่อยๆ เป็นประวัติส่วนตัวที่ไล่ตั้งแต่ วันเกิด อายุ ครอบครัวมีใครบ้าง เรียนที่ไหน ชอบทำกิจกรรมอะไร เข้ามหาลัยอะไร คณะอะไร สำหรับเรามันเป็น Essay ที่เล่าเรื่องบรรยายทั่วๆไป ดังนั้นเราอ่านแล้วก็คิดว่ายังไม่ตอบโจทย์ เลยขอผ่าน ไปหาแนวอื่นดีกว่า
ซึ่งจริงๆ การบรรยายไปเรื่อยๆ แบบนั้นก็เป็นการเขียน autobiography อย่างหนึ่ง แต่เราเองพอคิดในมุมของกรรมการดู เรารู้สึกว่าข้อมูลแบบนั้นไม่ช่วยให้กรรมการรู้จักเราในด้านที่เราอยากโชว์ว่าเรามีศักยภาพที่จะเรียนและอยากจะเรียนในหลักสูตรนั้นๆ เลยลองหาตัวอย่างแบบอื่นดูค่ะ
ตัวอย่างที่เราค้นเจอแล้วชอบ ชิ้นนึงเป็นตัวอย่างจากเพจ Skycoachmam โค้ชแหม่มสอนแอร์ ค่ะ
เขียนได้กระชับ และตรงประเด็นดีค่ะ โดยที่รายละเอียดต่างๆยังครบ แต่ทั้งนี้ตัวอย่างของโค้ชแหม่มเขียนเพื่อสมัครแอร์
อาจจะไม่ตรงกับ objective เราแบบเป๊ะๆ ที่เขียนเพื่อสมัครเรียนต่อ แต่สามารถดูเป็นโครงสร้างการเขียนเป็น guide ได้ค่ะ
ขอบคุณโค้ชแหม่มสอนแอร์ มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ข้อควรระวัง!!!!!
อย่าลืมว่าถ้าหากเราต้องส่งทั้ง SOP / study plan และ autobiography ไปพร้อมกันในการสมัครหนึ่งหลักสูตร
ให้ระวังเรื่องเนื้อหาจะซ้ำกันด้วยนะคะ จริงอยู่ว่ากรรมการ คงอ่านทีละอัน แต่ถ้าเนื้อหาซ้ำกันก็น่าเสียดาย
เพราะนี่เป็นโอกาสที่เราจะใช้บอกเล่าให้เขาเข้าใจและรู้จักเรามากขึ้นค่ะ
เรามองว่า sop หรือ study plan นำเสนอตัวเราในด้านที่เป็นประวัติการศึกษา วิชาการ เป้าหมายชีวิต แรงบันดาลใจที่อยากเรียนต่อ
หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับ Academic ส่วน autobipgraphy เป็นการเขียนนำเสนอตัวเราว่าเราเป็นคนยังไง อาจจะในด้านของทัศนคติ,
ลักษณะนิสัย, หรือความถนัดต่างๆค่ะ
Guide การเขียน autobiography เราลงคร่าวๆ ประมาณนี้นะคะ อาจจะไม่ได้เป๊ะมาก เพราะเราเองเขียนแค่ชิ้นเดียว
- เป็นการเล่าเรื่อง
- ระบุผู้อ่านให้ชัดเจนค่ะ
- เริ่มต้นด้วย quote จริงๆ ตรงส่วนนี้ไม่ได้จำเป็นเสมอไปนะคะ แต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่าเขียนแบบนี้ก็น่าสนใจ เลยเริ่มต้นด้วย quote ค่ะ
- เป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งของเรา โดยไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่างค่ะ
ตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้นนะคะ
เช่น หากเขียนว่า เราชื่อ A เกิดวันที่ B ครอบครัวมีสมาชิก 4 คน ทำงานเป็นบลาๆๆ การเขียนแบบนี้
สิ่งที่กรรมการจะทราบคือ ชื่อและอายุค่ะซึ่งทราบได้จาก CV ที่เราแนบไป ส่วนข้อมูลอื่นๆไม่มีผลค่ะ เขียนแบบนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์
ลองเขียนใหม่นะคะ เช่น เราอยากนำเสนอว่าเราไม่ใช่คนที่ฉลาดเป็นกรด แต่ที่เราทำได้ทุกอย่างในตอนนี้เกิดจากความอดทนและพยายาม
อาจจะเขียนว่า ตอนที่เริ่มเรียนวิชา XX ก็รู้สึกว่าเป็นวิชาที่ยาก ไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหา ทำผลสอบได้ไม่ค่อยดี แต่พอปลายเทอมเราไม่อยากยอมแพ้ ก็แก้ไขด้วยการทบทวนบทเรียนบ่อยขึ้น ให้เพื่อนช่วยติว ทำแบบฝึกหัดซ้ำๆ ถามอาจารย์ในข้อที่สงสัย สุดท้ายก็สอบจบได้ด้วยคะแนน XX เป็นต้นค่ะ
สำหรับงานเขียนของเรา เรายก quote ขึ้นมาก่อนค่ะ เป็น 1 ประโยคที่บอกเล่านิสัยของเรา 1 อย่าง
แล้วค่อยๆ ไล่ขึ้นมาว่าเรามีนิสัยนี้ได้ยังไง ยกตัวอย่างเช่น หลายๆคน คงจะบอกไปเลยว่า I am…….
- Detail- oriented
- Ambitious
- Always love to develop myself
- Decisive
- Perfectionist
สำหรับงานเรา เราเอาส่วนที่บอกว่า I am......ใส่ใน SOP ค่ะ เพื่อบอกชัดๆไปเลย ว่านี่คือเรา
ส่วน How to become …… เราเอามาใส่ใน autobiography แทนค่ะ