ฮังตูวะห์ (อ่านเร็วๆ จะอ่านว่า ฮังตัวะ/ Hang Tuah) เป็นนายพลเรือที่เก่งกาจที่สุดผู้หนึ่งของอาณาจักรมะละกาในยุคที่ยังรุ่งเรืองสุดขีด
ฮังตูวะห์ เกิดในครอบครัวพ่อค้า ในวัยเด็กได้ทำงานเป็นคนตัดไม้ให้กับพ่อเขาเอง เมื่ออายุได้ 10 ปี จึงได้เริ่มฝึกวิชาสีลัตกับอาจารย์อาทิ ปุตรา
เขาเรียนสีลัตร่วมกับเพื่อนอีก 4 คน คือ ฮังกัสตูรี, ฮังเลกีร์, ฮังเลกิว และ ฮังจะบัต ที่ในอนาคต จะพลิกผันกลายเป็นศัตรูของเขาในวันข้างหน้า
ต่อมา ปรากฎชายกลุ่มหนึ่ง เกิดอาการวิ่งบ้าคลั่งขึ้นมาไล่ฆ่าผู้คน ตุนเปราก์ บันดาฮารา (เสนาบดี) สั่งทหารเข้าทำการไล่ล่าและจับกุมกลุ่มเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตุนเปราก์ ถูกกลุ่มชายเหล่านั้นตอบโต้หนักจนองครักษ์ของเขาได้หนีไป แต่ฮังตูวะห์กับเพื่อน ได้เห็นเหตุการณ์ จึงได้เข้าช่วยเหลือ
แม้ว่าจะสู้ไม่ได้และหนีไป แต่จากการได้ช่วยชีวิตตุนเปราก์ไว้ ทำให้เขาและเพื่อนๆ ได้รับรางวัลและได้เข้าเฝ้าสุลต่านมุซัฟฟาห์ ชาห์ แห่งมะละกา
ฮังตูวะห์ รับพระราชทานให้รับตำแหน่งนายพลเรือ หรือ ละก์สามานะ (Laksamana) ชื่อยศมาจากชื่อพระลักษมณ์ หรือ ลักษมณะ ในรามเกียรติ์เรา
ฮังตูวะห์ ยังได้รับให้เป็นองครักษ์ประจำองค์สุลต่าน เมื่อครั้งเดินทางไปยังต่างแดน หนึ่งในนั้นก็คือการเดินทางไปยังอาณาจักรชวามัชปาหิตด้วย
ที่มัชปาหิต ฮังตูวะห์ ได้ประลองฝีมือกับตะมิง สะรี นักรบของชวาที่เชี่ยวชาญเรื่องสีลัต ในสมัยโบราณ การประลองนั้น มักจะจบด้วยการแลกชีวิต
หลังจากที่เอาชนะตะมิง สะรีได้อย่างเด็ดขาด พระเจ้าสิงหวิกรมวัฒนะ กษัตริย์มัชปาหิต ได้พระรานทานกริชตะมิง สะรี ให้กับฮังตูวะห์ ผู้ที่ชนะ
นอกจากนี้ ครั้งหนึ่ง เขาได้รับหน้าที่ให้เป็นทูตที่เมืองปะหัง เพื่อไปหว่านล้อมเจ้าหญิงตุนตะจะห์ เมื่อฮังตูวะห์มาถึง จึงได้หว่านล้อมเจ้าหญิง
เจ้าหญิงเชื่อว่าพระองค์จะได้อภิเษกกับฮังตูวะห์ จึงได้ออกมาพร้อมกับฮังตูวะห์ แต่แล้วก็เปิดเผยกันกลางทางว่า พระองค์อภิเษกสมรสกับสุลต่าน
อย่างไรก็ตาม ในพงศาวดารมลายู กล่าวไว้ว่า ฮังตูวะห์ ได้รับมอบหมายมา แต่ไม่ได้บอกว่าสุลต่านจะขออภิเษกสมรส จึงถือว่าหลอกลวงสุลต่าน
ต่อมา ฮังตูวะห์ ถูกใส่ร้ายว่ามีความสัมพันธ์ลับๆ กับข้ารับใช้หญิงในวัง สุลต่านกริ้ว จึงสั่งลงโทษประหารชีวิตฮังตูวะห์โดยไร้การไต่สวนใดๆ ต่อเขา
เสนาบดีเชื่อว่าเขาถูกใส่ร้าย จึงได้พาเขาหลบซ่อนในพื้นที่ที่ห่างไกล ส่วนฮังจะบัต คิดว่าเพื่อนตนนั้นตายแล้ว จึงได้โกรธแค้นและได้ก่อกบฏขึ้น
เนื่องจากฮังจะบัต มีฝีมือและใช้กริชตะมิง สะรีนั้น จึงไม่มีใครสามารถต่อต้านฝีมือเขาได้ ดังนั้นเสนาบดีจึงสารภาพความจริงและทูลขออภัยโทษ
ฮังตูวะห์ ได้รับอภัยโทษและกลับมาต่อสู้กับฮังจะบัต กินเวลานานถึง 7 วัน ก่อนที่เขาจะจัดการสังหารเพื่อนรักและเขาก็ได้สิ้นใจใต้อ้อมอกของเขา
อย่างไรก็ตาม ในพงศาวดารมลายู กล่าวไว้ว่า ผู้ที่สังหารฮังจะบัตนั้นไม่ใช่ฮังตูวะห์ แต่เป็นฮังกัสตูรี เพื่อนรักอีกคนของทั้งฮังตูวะห์และฮังจะบัต
หลังจากฮังจะบัตตาย ฮังตูวะห์ก็ได้รับใช้สุลต่านต่อไป โดยเขาได้ถูกส่งไปสู่ขอเจ้าหญิงละดัง แต่ 'สินสอด' ที่เจ้าหญิงละดังขอนั้นทำให้เขาหนักใจ
เป็นต้นว่า ต้องการสะพานทองจากมะละกาไปยังเขาละดัง ถาดใส่หัวใจยุง 7 ถาด น้ำตาสาวพรหมจรรย์ 7 เหยือก พระโลหิตของพระราชโอรสองค์โต
ฮังตูวะห์ เห็นสินสอดที่นางขอมาแล้วก็ทำให้เขาหนักใจ (ไม่หนักใจก็แปลกแล้ว) จึงตัดสินใจโยนกริชทิ้งไปและหายสาบสูญไปจากอาณาจักรมะละกา
อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่า จริงๆ แล้ว ฮังตูวะห์ ยังอยู่จนแก่ตายและได้มีหลุมศพที่เมืองมะละกาในปัจจุบัน แต่บางคนเชื่อว่า มันเป็นหลุมศพเปล่าเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ฮังตูวะห์ ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษคนหนึ่งในโลกมลายู มีชื่อถนน สถานที่ต่างๆ ทั้งในมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ถูกตั้งชื่อตามเขา
มีประโยคที่ฮังตูวะห์ ได้กล่าวไว้ว่า "ตะก์กัน มลายู ฮิลัง ดิ ดูนียา" (Takkan Melayu Hilang di Dunia) แปลว่า ชาติมลายูจะไม่มีวันหายไปจากโลก
ประโยคดังกล่าว กลายเป็นประโยคปลุกใจของเหล่าทหารและกลุ่มชาตินิยมมลายู และจดจำไว้เช่นเดียวกับตำนานของเขาที่ยังเล่าขานจนทุกวันนี้ด้วย
----
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มีเพจแล้วนะ https://bit.ly/37gI0c0
ตำนาน ฮังตูวะห์ วีรบุรุษมะละกา
ฮังตูวะห์ เกิดในครอบครัวพ่อค้า ในวัยเด็กได้ทำงานเป็นคนตัดไม้ให้กับพ่อเขาเอง เมื่ออายุได้ 10 ปี จึงได้เริ่มฝึกวิชาสีลัตกับอาจารย์อาทิ ปุตรา
เขาเรียนสีลัตร่วมกับเพื่อนอีก 4 คน คือ ฮังกัสตูรี, ฮังเลกีร์, ฮังเลกิว และ ฮังจะบัต ที่ในอนาคต จะพลิกผันกลายเป็นศัตรูของเขาในวันข้างหน้า
ต่อมา ปรากฎชายกลุ่มหนึ่ง เกิดอาการวิ่งบ้าคลั่งขึ้นมาไล่ฆ่าผู้คน ตุนเปราก์ บันดาฮารา (เสนาบดี) สั่งทหารเข้าทำการไล่ล่าและจับกุมกลุ่มเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตุนเปราก์ ถูกกลุ่มชายเหล่านั้นตอบโต้หนักจนองครักษ์ของเขาได้หนีไป แต่ฮังตูวะห์กับเพื่อน ได้เห็นเหตุการณ์ จึงได้เข้าช่วยเหลือ
แม้ว่าจะสู้ไม่ได้และหนีไป แต่จากการได้ช่วยชีวิตตุนเปราก์ไว้ ทำให้เขาและเพื่อนๆ ได้รับรางวัลและได้เข้าเฝ้าสุลต่านมุซัฟฟาห์ ชาห์ แห่งมะละกา
ฮังตูวะห์ รับพระราชทานให้รับตำแหน่งนายพลเรือ หรือ ละก์สามานะ (Laksamana) ชื่อยศมาจากชื่อพระลักษมณ์ หรือ ลักษมณะ ในรามเกียรติ์เรา
ฮังตูวะห์ ยังได้รับให้เป็นองครักษ์ประจำองค์สุลต่าน เมื่อครั้งเดินทางไปยังต่างแดน หนึ่งในนั้นก็คือการเดินทางไปยังอาณาจักรชวามัชปาหิตด้วย
ที่มัชปาหิต ฮังตูวะห์ ได้ประลองฝีมือกับตะมิง สะรี นักรบของชวาที่เชี่ยวชาญเรื่องสีลัต ในสมัยโบราณ การประลองนั้น มักจะจบด้วยการแลกชีวิต
หลังจากที่เอาชนะตะมิง สะรีได้อย่างเด็ดขาด พระเจ้าสิงหวิกรมวัฒนะ กษัตริย์มัชปาหิต ได้พระรานทานกริชตะมิง สะรี ให้กับฮังตูวะห์ ผู้ที่ชนะ
นอกจากนี้ ครั้งหนึ่ง เขาได้รับหน้าที่ให้เป็นทูตที่เมืองปะหัง เพื่อไปหว่านล้อมเจ้าหญิงตุนตะจะห์ เมื่อฮังตูวะห์มาถึง จึงได้หว่านล้อมเจ้าหญิง
เจ้าหญิงเชื่อว่าพระองค์จะได้อภิเษกกับฮังตูวะห์ จึงได้ออกมาพร้อมกับฮังตูวะห์ แต่แล้วก็เปิดเผยกันกลางทางว่า พระองค์อภิเษกสมรสกับสุลต่าน
อย่างไรก็ตาม ในพงศาวดารมลายู กล่าวไว้ว่า ฮังตูวะห์ ได้รับมอบหมายมา แต่ไม่ได้บอกว่าสุลต่านจะขออภิเษกสมรส จึงถือว่าหลอกลวงสุลต่าน
ต่อมา ฮังตูวะห์ ถูกใส่ร้ายว่ามีความสัมพันธ์ลับๆ กับข้ารับใช้หญิงในวัง สุลต่านกริ้ว จึงสั่งลงโทษประหารชีวิตฮังตูวะห์โดยไร้การไต่สวนใดๆ ต่อเขา
เสนาบดีเชื่อว่าเขาถูกใส่ร้าย จึงได้พาเขาหลบซ่อนในพื้นที่ที่ห่างไกล ส่วนฮังจะบัต คิดว่าเพื่อนตนนั้นตายแล้ว จึงได้โกรธแค้นและได้ก่อกบฏขึ้น
เนื่องจากฮังจะบัต มีฝีมือและใช้กริชตะมิง สะรีนั้น จึงไม่มีใครสามารถต่อต้านฝีมือเขาได้ ดังนั้นเสนาบดีจึงสารภาพความจริงและทูลขออภัยโทษ
ฮังตูวะห์ ได้รับอภัยโทษและกลับมาต่อสู้กับฮังจะบัต กินเวลานานถึง 7 วัน ก่อนที่เขาจะจัดการสังหารเพื่อนรักและเขาก็ได้สิ้นใจใต้อ้อมอกของเขา
อย่างไรก็ตาม ในพงศาวดารมลายู กล่าวไว้ว่า ผู้ที่สังหารฮังจะบัตนั้นไม่ใช่ฮังตูวะห์ แต่เป็นฮังกัสตูรี เพื่อนรักอีกคนของทั้งฮังตูวะห์และฮังจะบัต
หลังจากฮังจะบัตตาย ฮังตูวะห์ก็ได้รับใช้สุลต่านต่อไป โดยเขาได้ถูกส่งไปสู่ขอเจ้าหญิงละดัง แต่ 'สินสอด' ที่เจ้าหญิงละดังขอนั้นทำให้เขาหนักใจ
เป็นต้นว่า ต้องการสะพานทองจากมะละกาไปยังเขาละดัง ถาดใส่หัวใจยุง 7 ถาด น้ำตาสาวพรหมจรรย์ 7 เหยือก พระโลหิตของพระราชโอรสองค์โต
ฮังตูวะห์ เห็นสินสอดที่นางขอมาแล้วก็ทำให้เขาหนักใจ (ไม่หนักใจก็แปลกแล้ว) จึงตัดสินใจโยนกริชทิ้งไปและหายสาบสูญไปจากอาณาจักรมะละกา
อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่า จริงๆ แล้ว ฮังตูวะห์ ยังอยู่จนแก่ตายและได้มีหลุมศพที่เมืองมะละกาในปัจจุบัน แต่บางคนเชื่อว่า มันเป็นหลุมศพเปล่าเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ฮังตูวะห์ ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษคนหนึ่งในโลกมลายู มีชื่อถนน สถานที่ต่างๆ ทั้งในมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ถูกตั้งชื่อตามเขา
มีประโยคที่ฮังตูวะห์ ได้กล่าวไว้ว่า "ตะก์กัน มลายู ฮิลัง ดิ ดูนียา" (Takkan Melayu Hilang di Dunia) แปลว่า ชาติมลายูจะไม่มีวันหายไปจากโลก
ประโยคดังกล่าว กลายเป็นประโยคปลุกใจของเหล่าทหารและกลุ่มชาตินิยมมลายู และจดจำไว้เช่นเดียวกับตำนานของเขาที่ยังเล่าขานจนทุกวันนี้ด้วย
----
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้